เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 166 ลากออกไป
ตอนที่ 166 ลากออกไป
“ลงโทษได้…ตัดหัวไม่ได้”
คำพูดนี้ดังก้องในสวนห้องบูรพา บรรยากาศทั้งลานบ้านเงียบดุจหุบเหวลึก เข็มตกยังได้ยิน
ราชครูจิ้งไป๋หรี่ตาลง นางรู้สึกเย็นที่คอ เศษกระเบื้องแหลมคมนั้นกดที่เส้นเลือดคอของตน เด็กสาวนั่นมีสีหน้าแน่วแน่มาก
“ดีมาก…เจ้าดีมาก”
นักพรตหญิงชราแห่งอารามน้ำค้างรู้สึกเจ็บตรงคอ เศษกระเบื้องเย็นเยือก เลือดร้อน…นางไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นเช่นนี้มานานมาก และสีหน้าแน่วแน่ของเด็กสาวทำให้นางเชื่อว่าหากตนไม่ใจเย็นลง ก็อาจจะถูกเศษกระเบื้องนี้เอาชีวิตได้
ดังนั้น นางจึงครุ่นคิดอยู่นานมาก
ตอนเอ่ยอีกครั้งจึงไม่เป็นตัวของตัวเอง ตัวสั่นไหวนิดๆ
จิ้งไป๋พยายามให้เสียงตนราบเรียบ โอนอ่อน
“เจ้าวางเศษกระเบื้องลง อย่าบุ่มบ่าม ฆ่าคนในวังหรือเห็นเลือด จะมีผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด…เจ้าน่าจะรู้ดีนะ” ราชครูจิ้งไป๋พูดด้วยความซื่อตรงมาก “ข้ารับรองว่าจะไม่แตะต้องเจ้าอีก”
สวีชิงเยี่ยนแน่นิ่ง
นางพูดอย่างเย็นชา “วางกรรไกรเหล็กลง”
เงียบไปช่วงสั้นๆ
“ตกลง”
ราชครูจิ้งไป๋ปล่อยกรรไกรเหล็กลงช้าๆ
เกิดเสียงดังแก๊ง กรรไกรตกลงพื้น
สองคนยืนกรานกันอยู่ตรงผนังห้องของสวนห้องบูรพา
คนหนึ่งยืนอยู่ ทำอะไรไม่ถูก อีกคนนั่งบนพื้น แต่ยังอยู่ในท่าชูแขน
สิ่งที่ทำให้สวนห้องบูรพาเงียบงัน คือเศษกระเบื้องในมือเด็กสาวที่นั่งบนพื้น
ราชครูจิ้งไป๋ใช้ปลายเท้าเตะกรรไกรเหล็กไปไกล นางปล่อยมือที่จับผมสวีชิงเยี่ยน ตอนที่ทำสิ่งเหล่านี้ นางไม่เคยหยุดพูดเลย
“เจ้าใจเย็นก่อน…ความผิดข้าเอง…ไม่ว่าอย่างไร…เจ้าก็วางเศษกระเบื้องก่อน”
หลายวันมานี้นางอยู่กับสวีชิงเยี่ยน นางรู้จักแม่นางที่งดงามยิ่งคนนี้ดี เป็นกระดาษขาว ไม่เคยแช่อ่างสี ไม่เข้าใจความชั่วร้ายของจิตใจคน เป็นเพียงลูกแกะที่มีจิตใจดีมาแต่กำเนิด
แต่นางไม่นึกเลยว่าสวีชิงเยี่ยนจะเก็บเศษกระเบื้องไว้ อีกทั้งยังกล้ากดคอของตน
แม้ตนจะเป็นผู้บำเพ็ญแสงดาราขอบเขตแรก แต่โดนเศษกระเบื้องปาดคอก็ไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเช่นกัน…นางไม่มีแสงดาราคุ้มกัน และไม่มีสมบัติเอาตัวรอด หลายปีมานี้ หญิงที่เข้าวังมาพวกนั้น ยอมโดนตนทุบตีด่าทอ ไม่สวนกลับ ด่าก็ไม่ด่ากลับ
ไม่เคยมีใครกล้าอย่างสวีชิงเยี่ยน
นี่จะฉีกหน้ากัน ไม่ยอมอ่อนข้อกันแล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้ามาก อยากจะฆ่าข้า จ่ายชีวิตไปก็ช่าง แต่ว่า…”
ราชครูจิ้งไป๋พลันใจเย็นลง นางมองเศษกระเบื้องอย่างเฉยชา พ่นลมหายใจหนึ่ง พูดเสียงเบา “แม่นางสวี เจ้ายังมีอนาคตที่ดี…เจ้าคิดดูก่อน หรือลึกๆ ในใจเจ้าไม่มีใครที่ห่วงหาเลยหรือ หากเกิดเลือดกระจายห้าก้าวในวัง เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต พวกนั้นที่เจ้าเฝ้ารอคอยจะกลายสูญสลายไป”
หลังเอ่ยออกมาแล้ว
สวีชิงเยี่ยนก็เงียบลง
นางนึกถึงเด็กหนุ่มที่ยิ้มให้ตนอย่างอ่อนโยนคนนั้น
คุณชายหนิงอี้…
ใช่ ชีวิตนางยังอีกยาวไกล คุณชายหนิงอี้เคยบอกตนว่าเดินไปอีกช่วงเวลาหนึ่งก็จะเห็นแสงสว่าง
หากเจอกากเดน ก็เอาชีวิตตนไปแลกความยุติธรรม แลกการแก้ปัญหา…แล้วจากนี้จะทำอย่างไร
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้า กัดฟันไม่พูด
ใบหน้าอัปลักษณ์ของจิ้งไป๋พลันยิ้มขึ้นมา นางเหมือนคาดเดาความคิดเด็กสาวคนนี้ได้ จึงยื่นมือมาจับข้อมือของสวีชิงเยี่ยน เศษกระเบื้องนั้นแทงลึกเข้าไปในผิวหนังสามส่วน
จิ้งไป๋ไม่สนใจเลย นางพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นางสวี เจ้าแค้นข้าขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีความกล้าสังหารข้าหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนสิ้นหวังในใจนิดๆ
นางกำหมัดแน่น ทันใดนั้นก็มีแรงมหาศาลส่งมาที่ข้อมือ
ราชครูจิ้งไป๋ทำหน้าเหี้ยมเกรียม บิดข้อมือเด็กสาวอย่างแรง
เสียงเพี๊ยะดังก้องในลานบ้านสวนห้องบูรพา
เศษกระเบื้องนั้นตกลงพื้น ราชครูจิ้งไป๋เหยียบแรงๆ เหยียบแตกเป็นเสี่ยงๆ นางจ้องเด็กสาวที่ถูกตนตบลงไปกองกับพื้นพลางตะโกนเสียงดัง “เจ้าอยากตายรึ ถึงคิดฆ่าข้า!”
สวีชิงเยี่ยนถูกตบจนกระอักเลือด ความเจ็บปวดจากความเป็นเทพในกายนางหลั่งไหลเข้ามาอย่างรุนแรง
ขดตัวบนพื้น สองมือกุมหน้าอก ใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวถูกนางกำไว้ผ่านอาภรณ์ นั่นคือความอบอุ่นเดียวในโลก ซึมถึงจิตใจ ไล่ความเจ็บปวดไปชั่วขณะ
ราชครูจิ้งไป๋เหมือนสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กสาว นางแกะสองมือเด็กสาวอย่างแรง ฉีกใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวนั้นออกมาจากอาภรณ์ เพ่งพินิจก็ยังมองไม่ออก ก่อนจะมองเด็กสาวบนพื้นจากที่สูง แค่นยิ้ม “นี่มันบ้าอะไรกัน ของตัวแทนความรักรึ ลึกๆ ในใจเจ้ามีคนที่ห่วงหาอยู่จริงๆ”
ราชครูจิ้งไป๋ยื่นมือมาข้างหนึ่ง แส้จามรีที่นอนบนเก้าอี้ราชครูสั่นไหว ก่อนจะพุ่งผ่านอากาศเข้ามาในมือนาง
เด็กสาวมีสีหน้าเจ็บปวดสามส่วน สิ้นหวังเจ็ดส่วน นางพิงผนังหิน มองราชครูจิ้งไป๋เข้ามาใกล้ทีละนิด นางได้แต่ขยับไปทางประตูใหญ่ของสวนห้องบูรพา ฝ่ามือดันพื้น ห้องนี้ห่างจากประตูใหญ่ไม่ไกล ไม่นานก็ไม่มีทางให้ถอย
จนตรอกแล้ว
เงาราชครูจิ้งไป๋ขวางอยู่ปากประตูสวนห้องบูรพา
“เมื่อก่อนข้าตีเจ้าก็ไม่เคยใช้แสงดารา”
เสียงของจิ้งไป๋เย็นยะเยือกมาก
“ครั้งนี้ตีเจ้า จะให้เจ้าจำไปจนตาย ให้เจ้ารู้ว่าที่นี่มีกฎ”
ชูแส้จามรีขึ้น!
เกิดเสียงดังสนั่น
ประตูใหญ่สวนหอบูรพาพังทลาย ราชครูจิ้งไป๋ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกประตูใหญ่พังกระแทกใส่
กลางฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ร่างหนึ่งฝ่าหมอกควันก้าวเข้ามา ชั่วครู่เดียวก็มาอยู่ในลานบ้านสวนหอบูรพา หนิงอี้เอาเท้าข้างหนึ่งเตะที่ท้องของนักพรตหญิง
จิ้งไป๋กระเด็นออกไปเหมือนว่าวเชือกขาด
หนิงอี้มีใบหน้าเย็นยะเยือก เขายกมือขึ้น หุบฝ่ามือเล็กน้อย แสงดาราเต็มฟ้าดุจพายุห่าฝน รวมเป็นพายุหมุนเล็ก ดูดหญิงที่กระเด็นออกไปนั้นกลับมาในฝ่ามืออีกครั้ง
ขณะเดียวกันยังบิดเอวยกสะโพก
ฝ่ามือที่สั่งสมแรงจนเต็มที่ฟาดที่แก้มของราชครูจิ้งไป๋
ฟันสามสี่ซี่คละปนเลือดกระเด็นออกไป
สวนห้องบูรพาฝุ่นฟุ้งกระจาย
หนิงอี้จับคอเสื้อของจิ้งไป๋ กลั้นโทสะของตนสุดกำลัง ถามทีละคำ “เจ้าบอกข้ามา ที่นี่มีกฎอะไร”
เขาจับคอเสื้อจิ้งไป๋ ยกนางสองขาลอยขึ้นจากพื้น
นักพรตหญิงชราที่มีฝุ่นทั้งตัว แก้มครึ่งหนึ่งปูดบวมสูงและอาบเลือดถลึงตามองหนิงอี้ เสียงนางแหบแห้งและเข้าใจยาก ตะโกนสุดเสียง “ที่นี่คือวัง!”
หยุดไปชั่วขณะ
เสียงหนิงอี้ดังขึ้น
“วัง แล้วอย่างไร”
เพิ่งเอ่ยจบ หนิงอี้ก็พลิกมือง้างฝ่ามือฟาดแก้มอีกข้างของราชครูจิ้งไป๋อย่างแรง
อ๊าก เสียงร้องน่าเวทนา เลือดกระจาย หยดลงเป็นไข่มุก
เสียงลมหายใจเจ็บปวด…
หนิงอี้มองจิ้งไป๋อย่างเฉยชา
นี่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกตัวจ้อย
สองฝ่ามือนี้ไม่ได้แฝงพลังแสงดารา ไม่อย่างนั้นคงตบศีรษะนางแตกไปแล้ว อีกทั้งใช้แค่พละกำลัง หนิงอี้เก็บพลังไว้อย่างมาก ก็เพื่อไม่ให้ตบนางตาย
ตบนางตาย จะทำให้นางสบายเกินไป
หลังตบไปสองฝ่ามือ หนิงอี้ยกจิ้งไป๋ขึ้น เหมือนกับตุ๊กตาด้ายหลุด สองแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าตกลง ลอยไปตามลม ใบหน้าเปื้อนเลือด ไหลผ่านมุมปากลงมาไม่หยุด รวมเป็นเส้นสีแดงขาดๆ หายๆ หยดลงพื้นดังติ๋งๆ ยังคงได้สติอยู่
หนิงอี้มองไปที่ขลุ่ยกระดูกเชือกแดงนั้นในมือราชครูจิ้งไป๋…มิน่าตนถึงรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีมาตลอด กระทั่งสุดท้ายขาดการเชื่อมต่อ เหตุผลทั้งหมดอยู่ที่หญิงที่แต่งตัวเป็นนักพรตเต๋าคนนี้
เขามองสวีชิงเยี่ยน เด็กสาวที่ขดตัวตรงมุม สองมือกอดเข่า มีรอยเขียวช้ำเต็มตัว ยากจะจินตนาการได้ว่าในช่วงหลายวันมานี้ในวัง ต้องทรมานมากเพียงใด
จิ้งไป๋ถูกทุ่มลงพื้นอย่างแรง
เด็กสาวที่ขดตัวตรงมุมรู้สึกถึงความอบอุ่น
หนิงอี้นั่งยองลง ผูกเชือกแดงกับใบไม้ขลุ่ยกระดูกที่คอสวีชิงเยี่ยนอีกครั้ง
จิ้งไป๋เริ่มสติพร่าเลือน…นางไม่เข้าใจเลยว่าเด็กหนุ่มนี่มีสิทธิ์อะไรถึงกล้าเข้าวังตามอำเภอใจเช่นนี้ และยังทุบตีคนในวังอย่างกำเริบเสิบสานแบบนี้
หนิงอี้กดฝ่ามือกับหน้าผากสวีชิงเยี่ยนเบาๆ เขารู้สึกได้ว่าตัวเด็กสาวร้อนขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดจากความเป็นเทพกำเริบแล้ว ตอนนี้ต้องรักษาให้นางอย่างเร่งด่วน…หนิงอี้กอดสวีชิงเยี่ยน ไม่สนใจจิ้งไป๋ที่นอนบนพื้นเกือบตาย แต่หาห้องในสวนห้องบูรพาผลักประตูเข้าไป
ที่นี่เงียบสงบมาก ไม่นานก็ถูกเสียงเท้าม้าทำลาย
จิ้งไป๋ที่นอนบนพื้นเข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใด…สิ่งแรกที่เห็นคือหญิงชุดคลุมยาวสีแดง ขี่บนหลังม้า ใบหน้าสุขุม
ข้างหลังนางเป็นทหารม้าเหล็กสามสี่นาย ดูไม่เหมือนองครักษ์เกราะทองในวัง กลิ่นอายธุลีดินสิบส่วน ในแววตาไม่มีเจตนาร้ายที่หนิงอี้ทำลายความสงบของวัง แต่มองตนนอนบนพื้นอย่างเฉยชา นัยน์ตายังมีความโกรธอยู่ลับๆ
จิ้งไป๋สับสนเล็กน้อย นางตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้
ทั้งสวนห้องบูรพาเงียบสงัด
ในความคิดนักพรตหญิงชราว่างเปล่า
นึกย้อนไปถึงคำพูดของคนใหญ่คนโตท่านนั้นที่พูดกับตน ก่อนจะพบมีเจตนาแอบแฝงอยู่ ไม่ได้บอกตัวตนของหญิงคนนี้ เดิมทีนางคิดว่าหญิงคนนี้เป็นเพียงจอกแหนไร้ราก เป็นหญิงต่ำต้อย มีคนในวังให้ตน ‘สั่งสอนให้ดี’…ความหมายไม่มีชัดเจนกว่านี้อีกแล้ว หลายปีมานี้นางใช้วิธีการเช่นนี้สอนนางกำนัลมาไม่รู้เท่าไร ต่อให้ลงมือโหด เอาถึงชีวิตก็ยังเคย ในวังแห่งนี้คนที่ใช้มือข้างเดียวก็บดบังฟ้าได้คือพระสนมทั้งสี่ท่าน
การฝังชีวิตต่ำต้อยสักคนอย่างเงียบเชียบ เป็นแค่เรื่องเล็กเท่านั้น
เรื่องราวมาจนถึงตอนนี้ นางได้แต่รอองครักษ์เกราะทองมาแล้ว
บุกวังมีโทษประหาร
ใครก็เลี่ยงไม่ได้
แต่นางก็ต้องผิดหวัง…ไม่มีองครักษ์เกราะทองมา นอกจากเสียงเท้าม้าของทหารม้าอักษรทมิฬแล้วไม่มีอย่างอื่นเลย ไม่อยากเชื่อว่าในวังจะอนุญาตให้คนอื่นควบม้าพกกระบี่ได้ตามใจ
วังห้ามคนอื่นเข้ามา
คนพวกนี้เป็นใครกัน
ชายฉกรรจ์ขี่ม้าหลายคนพลิกตัวลงม้า เงียบไม่พูดไม่จา
จิ้งไป๋ที่นอนจมกองเลือดตัวเองรออยู่นาน ในที่สุดก็เกิดผล
ทหารม้าอักษรทมิฬแหวกทางให้บุรุษหนุ่มคนหนึ่ง
บุรุษหนุ่มคนนั้นก้าวเข้ามาในสวนห้องบูรพา มองนักพรตหญิงชราจากข้างบน ความรังเกียจในแววตาเผยมาอย่างโจ่งแจ้ง
“ลากออกไป”
…………………………