เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 165 ลงโทษได้ ตัดหัวไม่ได้
ตอนที่ 165 ลงโทษได้ ตัดหัวไม่ได้
คำพูดสุดท้ายมีความหมายชัดเจน ทำให้จูซารู้สึกถึงจิตสังหารของหนิงอี้
จูซาหรี่ตาลง นางรู้สึกได้ว่าหนิงอี้เหมือนจะสังเกตเห็นความไม่ถูกต้องในวัง…สวีชิงเยี่ยนถูกส่งเข้าวัง หากถูกปฏิบัติอย่างไม่สมควร แม้แต่นางเองก็ยังโกรธ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนิงอี้ที่มีอารมณ์รุนแรงล่วงเกินไม่ได้โดยธรรมชาติ
จูซาสูดลมหายใจเข้าลึก
คุณชายบอกนางว่าทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน
ดูท่าจิตสังหารในตัวหนิงอี้เหมือนไม่ใช่ของปลอม
จูซาครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะนำกระจกเชื่อมจิตนั้นออกมาจากกระเป๋าเอว ใช้พลังจิตหลายสายส่งเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้คร่าวๆ ไปหาคุณชาย
…..
ในเมืองหลวง เข้าใกล้ในวังแล้ว ประตูปิด มีคนตรวจสอบ
หนิงอี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก นำป้ายขุนนางรองท่องกระบี่นั้นออกมาให้ยามเฝ้าประตูดู ก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
จนมาถึงวิหารที่ใกล้กับตำหนัก ยามปกติ สององค์ชายและผู้มีอำนาจหนุ่มสาวมากมายในเมืองหลวงจะผ่านที่นี่ไปได้ นางสนมที่มีอำนาจหลายท่านจะเชิญเสาเอกชั้นกลางต้าสุยบางส่วนหรืออัจฉริยะหนุ่มมา ที่นี่จะแบ่งเป็นเหนือใต้ออกตกสี่เขตเล็ก ต่างมีผู้กุมอำนาจที่สอดคล้องกัน ตรงกับนางสนมทั้งสี่
หลังวังไม่ค่อยสงบ ที่แย่งชิงกันดุเดือดที่สุดคือเขตบูรพากับประจิม หรือก็คือมารดาขององค์ชายรองกับองค์ชายสาม คนที่เรียบนิ่งสุภาพเยือกเย็น ก็คือนางสนมเขตอุดร
ส่วนนางสนมเขตทักษิณ ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย ไม่แก่งแย่งชิง อยู่อย่างสงบ เฝ้าดูแลพื้นที่สามส่วน
ในสัมผัสของหนิงอี้ สวีชิงเยี่ยนน่าจะถูกให้อยู่ใกล้กับทางบูรพา ประตูหลายบานปิดสนิท องครักษ์เกราะทองที่นี่ เห็นได้ชัดว่ารู้จักตน ใบหน้าพวกเขาเคร่งขรึมขึ้นมา จับหอกยาวแน่น กดปลายหอกไขว้กัน
หนิงอี้เป็นขุนนางรองท่องกระบี่ ฉายาดังไปทั่วต้าสุย ไม่มีใครในวังไม่รู้จัก พวกเขากล้าขวางก็มีความมั่นใจอยู่
องครักษ์เกราะทองพูดเสียงต่ำ “ขุนนางรองหนิง ที่นี่ห้ามบุกรุก”
หนิงอี้พลิกตัวลงม้า เขาไม่แสดงป้ายคำสั่งอีก แต่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ตามกฎต้าสุย ข้าห้ามเข้าที่นี่รึ”
องครักษ์เกราะทองกลุ้มใจเล็กน้อย หนึ่งในนั้นถอนหายใจ “ขุนนางรองหนิง รู้ว่าท่านเก่งกาจ อย่าสร้างความลำบากใจให้เราเลย เบื้องบนมีคำสั่ง สองสามวันมานี้ปิดวังอย่างเข้มงวด ที่นี่ห้ามผู้บำเพ็ญเข้าไป สำนักศึกษาก็ดี เขาศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ห้ามเข้าไป โดยเฉพาะยังมีออกรายนามมาแล้ว ห้ามขุนนางรองหนิงเข้าไป”
“ออกรายนามมาแล้วรึ” หนิงอี้ยิ้ม เขาหรี่ตาลง เอ่ยถาม “ใครเป็นคนออก”
องครักษ์เกราะทองส่ายหน้า ดูท่าตีให้ตายก็คงไม่พูด
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งจับด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ตามอำเภอใจ
องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งเห็นการเคลื่อนไหวนี้…เขารู้ว่าหนิงอี้พกร่มกระดาษมันติดตัว นี่เป็นอาวุธเลื่องชื่อของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานท่านนี้ และท่าทางการจับกระบี่ ย่อมเป็นการจะชักกระบี่
เขามีเหงื่อเย็นไหลลง พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คุณชายหนิงอี้ หากคิดจะบุกรุกวัง ผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราจะลงมือทันที”
หนิงอี้ได้ยินดังนั้นก็เงียบลง
จูซาที่ขี่บนหลังม้าพลิกตัวลงม้า นางนำป้ายคำสั่งหนึ่งออกมา แกว่งตรงหน้าองครักษ์เกราะทอง
จูซาเอ่ยนิ่งๆ “ข้าจะพาหนิงอี้เข้าวัง”
องครักษ์เกราะทองที่เดิมทีเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจสองคนพลันเปลี่ยนท่าทาง ไม่กดปลายหอกตัดกันอีก แต่พูดด้วยความเคารพ “ด้วยฐานะของท่านทั้งสอง ย่อมไม่มีปัญหา”
หนิงอี้ปล่อยด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ ถอนหายใจ
จูซายิ้มให้เขาเล็กน้อย “โลกนี้ไม่มีอะไรยาก กลัวก็แต่ผู้มีอำนาจ”
….
ปัง!
เสียงก้องและโกรธ
ถ้วยลายครามแตก สาดกระจายเต็มพื้น เสียงแสบหูก็ดังขึ้นในสวนห้องบูรพาทันที
นี่เป็นวันที่ห้าตั้งแต่สวีชิงเยี่ยนเข้าวัง
ไม่ว่าสวีชิงเยี่ยนจะทำตามคำสั่งของราชครูจิ้งไป๋อย่างไร เชื่อฟังอย่างไร จิ้งไป๋ก็มักจะใช้เหตุผลต่างๆ นานามาด่าว่าตน จากนั้นหาข้ออ้างที่สมเหตุผลมาลงโทษตน
ความเจ็บปวดทางกายไม่เท่าไร ความเจ็บปวดทางผิวหนัง สวีชิงเยี่ยนโดนจนชินแล้ว…
วันนี้ต่างออกไป
ความเป็นเทพที่คุกรุ่นในกายสวีชิงเยี่ยนไม่สงบอีก ความเจ็บปวดเช่นนี้ลุกลามไปในกายช้าๆ เหมือนไฟแผดเผา นี่เป็นความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง
วันที่ห้าหลังห่างกับหนิงอี้ ‘โรคความเป็นเทพ’ กำเริบแล้ว
สวีชิงเยี่ยนห้อยใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวนั้นไว้ตรงหน้าอก นางรู้ว่าขอแค่ตนกำใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวนั้น ความเจ็บปวดก็จะหายไปบ้าง…แต่จิ้งไป๋ใช้งานนางสารพัด ปัดกวาดเรือนรับแขกสวนห้องบูรพา ย้ายรูปปั้นลายคราม ล้วนเป็นงานใช้แรงงาน งานสกปรก งานหนัก งานเหนื่อย…งานพวกนี้ ต่อให้ใช้สาวรับใช้มาทำก็ต้องใช้สาวรับใช้หลายคน ไม่ใช่ให้ทำคนเดียว
จิ้งไป๋ให้นางทำงานให้เสร็จก่อนมืด
เดิมทีสวีชิงเยี่ยนจะกัดฟันผ่านช่วงนี้ไป ย้ายรูปปั้นลายครามแล้วก็บีบใบไม้ขลุ่ยกระดูก ลดความเจ็บปวดลง…
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ราชครูแห่งอารามน้ำค้างไม่ได้นอนบนเก้าอี้อาบแดดอย่างเกียจคร้านอีก แต่ลุกขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ ตามสวีชิงเยี่ยน ดูนางยกรูปปั้นลายครามอย่างลำบาก ปากยังด่าสาดเสียเทเสียไม่หยุด
“เจ้ามันนางคนใช้ชั้นต่ำ…เจ้าแอบอู้รึ เร็วหน่อย!”
“เจ้าคิดจะใช้ใบหน้าสองส่วนของเจ้าให้เป็นที่ถูกใจของคนใหญ่คนโตในวังรึ!”
จิ้งไป๋เหมือนหญิงเสียสติ
นางบอกกับคนภายนอกว่าตนเป็นนักพรตหญิงแห่งอารามน้ำค้าง
แต่ความจริงนางไม่ได้ใช้ชีวิตในอารามน้ำค้างตามที่หวัง ศิษย์พี่หญิงรังเกียจนาง ไม่มีใครชอบนาง นางชอบจับกระต่ายป่าริมทางอารามเต๋า ลอกเส้นเอ็นลอกหนัง มองสิ่งมีชีวิตอ่อนแอถูกตนทารุณทีละนิดจนตาย
ถึงอารามน้ำค้างจะไม่ใหญ่ แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง ในอารามเต๋า ไม่เคยมีผู้บำเพ็ญอย่างนางที่ยังเป็นศิษย์ขอบเขตแรกมาหลายปีแล้ว…ต่อมานางถูกส่งไปทางโลก ล้มลุกคลุกคลาน โชคลิขิตประจวบเหมาะ ได้มาเมืองหลวง ไม่นานนางก็ชินกับการเป็น ‘ครู’ ในวัง นางกำนัลผู้อ่อนแอและต่ำต้อยพวกนี้ อยู่ต่อหน้าตนก็เหมือนกระต่ายน้อยข้างทางอารามเต๋า ตนจะตีจะด่า พวกนางก็ไม่มีกำลังสวนกลับ
พวกนางยิ่งงดงามมากเท่าไร ตนก็ยิ่งโกรธ ยิ่งรังเกียจ และยิ่งอยากทำให้เสียโฉม
มีสิทธิ์อะไร ชีวิตตนล้มเหลวเช่นนี้ พวกนางถึงยังมีความสุขได้
จิ้งไป๋ไม่เคยเห็นเด็กสาวที่งดงามอย่างสวีชิงเยี่ยนมาก่อน
นางแทบจะไม่ให้สายตาของตนสัมผัสกับใบหน้าของสวีชิงเยี่ยน เพราะนางรู้ดีว่าคนใหญ่คนโตในวังให้ตนแค่ ‘สั่งสอน’ อีกฝ่ายเท่านั้น หากมองใบหน้ารูปไข่ที่งดงามยิ่งนี้นานเข้า นางกลัวว่าจะเกิดความปรารถนาที่คุมใจไว้ไม่อยู่ ลงมือทำลาย ‘กระต่ายน้อย’ ที่สมบูรณ์แบบนี้ลง
เวลาอื่นๆ นางก็ยังอดทนได้
แต่มีอย่างเดียวที่นางทนไม่ได้
ไม่ว่านางจะทุบตีด่าทออย่างไร เด็กสาวคนนี้ก็จะแค่เงียบ
ไม่เคยยอม และยิ่งไม่ก้มหัว
จิ้งไป๋เกลียดคนเช่นนี้ที่สุด
นางไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีคนที่ไม่ยอมก้มหัวได้ตลอด ความยึดมั่นในธรรม ความหยิ่งยโสของเด็กสาวคนนี้เป็นแค่ของจอมปลอมเท่านั้น…
เสแสร้งให้ใครดูกัน
ราชครูจิ้งไป๋เดินมาหนึ่งก้าว นางแย่งเครื่องลายครามมาทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง จากนั้นชูมือขึ้นสูง ฟาดลงที่แก้มสวีชิงเยี่ยน ฟาดจนเด็กสาวซวนเซ ล้มลงกับพื้น
ในฝ่ามือนี้ กระทั่งนางยังอดใส่แสงดาราเข้าไปไม่ได้…ไม่ใช้แสงดารา นางยังทนความเจ็บปวดได้ แต่ถ้าเจ็บอีกนิด เจ้าจะยังทนไหวหรือไม่
เด็กสาวที่ล้มกับพื้น กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด
ราชครูจิ้งไป๋เห็นภาพนี้ก็ยิ้มลำพองใจ
นางอยากเห็นภาพแบบนี้ ในที่สุดเด็กสาวก็รู้ถึงความเจ็บปวด ในที่สุดก็รู้รสชาติของความทุกข์ หลายวันมานี้ นางฟาดแส้จามรีใส่สวีชิงเยี่ยนไม่น้อย เรื่องที่ครึ่งเดือนจะมีคนมาตรวจดูที่สวนห้องบูรพาถูกนางโยนไว้ข้างหลัง นักพรตหญิงบ้าที่มาจากอารามน้ำค้างคนนี้มองช่วงเวลาที่อยู่กับสวีชิงเยี่ยนเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตไปแล้ว
นางอยากเห็นสวีชิงเยี่ยนดิ้นไปมาในมือตน สุดท้ายขอร้องอ้อนวอน
ส่วนบทสรุปสุดท้ายของตน นางไม่กังวลเลย…เพราะเบื้องหลังมีคนรับรองให้นาง นางไม่เคยเชื่อว่าทำดีได้ดี และยิ่งไม่เชื่อว่าทำชั่วได้ชั่ว นางสนใจแค่ตรงหน้า สนใจแค่ว่าตนมีความสุขหรือไม่
ความสุขนี้ มักจะอยู่บนความเจ็บปวดของคนอื่น
และนี่คือความสุขของนาง
สวีชิงเยี่ยนที่ล้มนั่งกับพื้นพิงข้างประตูวิหาร สายลมข้างนอกพัดมา ตรงมุมปากนางมีสะเก็ดแผลสีแดง ผิวพรรณเขียวม่วง ความเจ็บพวกนี้ไม่สำคัญ…ฝ่ามือนั้นของจิ้งไป๋เจ็บมาก แต่ความเจ็บปวดของความเป็นเทพรุนแรงยิ่งกว่านี้มาก
นางเอาใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวนั้นออกมาไม่ได้
เด็กสาวกำพร้าไร้ที่พึ่งเหมือนจอกแหนกลางสายลม นางมองราชครูจิ้งไป๋เงียบๆ
ราชครูจิ้งไป๋ชื่นชมใบหน้าขาวซีดของเด็กสาว นางพลันนึกอะไรดีๆ ได้
จึงเดินเร่งรีบไป
ไม่นานนัก
นักพรตหญิงชราอารามน้ำค้างที่กลับมาอีกครั้งยิ้มแป้น ห้านิ้วมือซ้ายถือกรรไกรเหล็ก
นางยืนหน้าธรณีประตู เงาสะท้อนลงมา ลากไปยาวมาก
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้ามองนักพรตหญิงชรา
“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าคิดอะไร…ตอนนี้เจ้าแค้นข้ามาก เจ้าคิดว่าเจ้าทุกข์ทรมานมากแล้ว”
จิ้งไป๋ยิ้ม เข้ามาใกล้ทีละก้าว
“เจ้าเรียกว่านั่นคือความทุกข์ทรมานรึ”
ใบหน้ายิ้มค่อยๆ เหี้ยมโหดขึ้น ยื่นมือมาข้างหนึ่ง เปิดหมวกผ้าของตนออก
สวีชิงเยี่ยนมองนักพรตหญิงชราที่เหมือนกับมารเข้าสิงเงียบๆ หลังเปิดหมวกเต๋าออก บนศีรษะนางมีรอยแผลเป็นเหมือนโดนเผา แทบจะไม่มีเส้นผมเลย นางแผดเสียงตะโกนออกมาทีละคำ “เจ้าจะเข้าใจอะไรกับความเจ็บปวดนั้นที่ข้าได้รับ!”
“ข้าถูกคนทอดทิ้ง ถูกคนหยามเหยียด ถูกคนเหยียบย่ำ ‘คนใจดี’ ส่งข้ามาอารามน้ำค้าง ในอารามไม่มีใครชอบข้า ทุกคนหลบข้า หนีข้า…เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น!”
ราชครูจิ้งไป๋ตะคอกใส่
นางตัวสั่นไปทั้งตัว
ราชครูจิ้งไป๋เอามือข้างหนึ่งจิกผมสวีชิงเยี่ยน ตะคอกใส่ หลังจากนั้นการกระทำก็นุ่มนวลไปถึงกระดูก
นัยน์ตาจิ้งไป๋มีความสุข นางพูดงึมงำ “เจ้ายังใจเย็นเช่นนี้ ยังโอหังสูงส่งเช่นนี้ เหมือนศิษย์พี่หญิงพวกนั้นของข้าเลย…เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะช่วยเจ้าเต็มที่เลยแล้วกัน”
เพิ่งง้างกรรไกรออก
เสียงสั่นและเจ็บปวด แฝงความโกรธก็ดังขึ้นข้างหูนาง
“ลงโทษได้…”
เด็กสาวคลำเอาเศษกระเบื้องเล็กยาวแหลมคมออกมาจากกระเป๋าเอวตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตอนนี้แทงเข้าที่คอของราชครูจิ้งไป๋อย่างเงียบเชียบ
เศษกระเบื้องคมเปิดรูเลือดยาว
สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก พูดประโยคหลังต่อ
“แต่ตัดหัวไม่ได้”
………………………….