เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 161 ข้าชอบคุณชายหนิงอี้
ตอนที่ 161 ข้าชอบคุณชายหนิงอี้
ลานบ้านสงบลง
ทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่งมีสหายกลุ่มใหญ่ ออกจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่ จวนที่เดิมทีเสียงดังพลันเงียบลง เสียงเท้าม้ากับเสียงจมูกม้าดังดอกประตูเงียบหายไปในอีกไม่ช้า
เหลือเพียงสองหญิงในลานบ้าน เงียบใส่กัน
“เคยเจอกันหลายครั้งแล้วเมื่อก่อน…” สวีชิงเยี่ยนพูดก่อน นางถามเสียงเบามาก “แม่นางเผย ข้าเรียกเจ้าว่าแม่นางเผย ได้หรือไม่”
เผยฝานตอบอืมเสียงเบา นางคลึงระหว่างคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม จากนั้นพูดอย่างจริงจัง “เรื่องที่ภูเขาแดง…เมื่อครู่ข้าลืมตัวไปหน่อย รอหนิงอี้ฟื้นมาแล้วข้าค่อยถามเขาเอง”
เมื่อเห็นสวีชิงเยี่ยนเงียบ เผยฝานก็ถามอีกครั้ง “อย่าคิดมาก ข้าไม่ได้มีเจตนาจะโทษเจ้า”
สวีชิงเยี่ยนฝืนยิ้ม เรียกสติกลับมา “ภูเขาแดงครั้งนี้…คุณชายหนิงอี้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยข้า เขาคงไม่หนักถึงขนาดนี้…ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ข้าแค่อยากขอบคุณเขาด้วยตัวเอง เส้นทางพลิกกลับ นี่ก็สายแล้ว เขายังไม่ตื่นมาเลย ดังนั้นข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว”
เผยฝานเงียบไป ไม่รู้ควรจะพูดอะไร
เดิมทีเขาอยากบอกว่าเอ่ยขอบคุณไม่อยาก อีกไม่นานหนิงอี้ก็จะตื่นมาแล้ว
แต่นางสังเกตเห็นสีหน้าของสวีชิงเยี่ยน สตรีที่เกิดมางดงามมากคนนี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย เหมือนจนปัญญากับตัวเอง ตอนนี้เอ่ยขอบคุณก็ยังรู้สึกถึงความเสียดายจากใจจริง
“อีกเดี๋ยวข้าต้องไปแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลง พูดเสียงเบา “บางเรื่องก็ไม่พ้นตัว พบกันครั้งหน้าก็ไม่รู้อีกนานเท่าไร”
เผยฝานเม้มริมฝีปาก สังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงหยั่งเชิงถาม “เจ้าจะ…เข้าวังรึ”
สวีชิงเยี่ยนพยักหน้า
นางยิ้ม ในอารมณ์ไม่มีความเจ็บปวดเท่าไรเลย แต่มีการหลุดพ้นและเฉยชา
สำหรับนาง ไปที่ใดก็เหมือนกัน
ทั้งต้าสุยไม่ต่างกัน
“อีกไม่นานจะมีคนมารับข้า” สวีชิงเยี่ยนเอ่ยช้าๆ และจริงจัง “ทูตผู้ถือคำสั่งหนุ่มกรมปราบปีศาจเมื่อครู่ คนแซ่ซ่งคนนั้นชื่อเต็มคือซ่งอีเหริน เจ้าน่าจะเคยได้ยินนามของเขา…เรื่องเบื้องหลังเขาคงไม่ต้องพูดอะไรมาก ครั้งนี้ระหว่างทางกลับเมืองหลวง คุณชายหนิงอี้หลุดจากมือองค์ชายสามได้อย่างปลอดภัยก็เพราะคุณชายซ่งช่วยไว้”
“ด้วยความเกี่ยวข้องกับคุณชายซ่ง คนในวังจึงยินดีให้เวลาข้าหนึ่งชั่วยาม” สวีชิงเยี่ยนยิ้มพลางพูดเสียงเบา “เวลานี้เหลือเฟือมาก ข้าอยากดื่มชาในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ คุยเรื่องสำคัญกับเจ้า”
เผยฝานพยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง “รอข้าเดี๋ยว”
นางวิ่งเหยาะกลับไปในจวน ค้นเอาใบชาที่ใส่ในกระป๋องทองแดง นำเครื่องชาที่หนิงอี้ซื้อกลับมาตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งแต่ก็ไม่เคยใช้เลยออกมา วางบนโต๊ะแปดเซียนในลานบ้าน
สวีชิงเยี่ยนกดสองมือกับหัวเข่า นางมีสีหน้าเรียบนิ่งและเฉยเมย มองปลายเท้าของตน เหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดบางอย่าง
ระหว่างทางกลับ นางมองแม่นางจูซาที่อยู่ข้างกายซ่งอีเหริน ได้ฟังเรื่องราวหลายอย่าง
แม้ตัวจะอยู่ในกรง นางก็ยังใฝ่หาแสงสว่าง นางรู้ว่าครั้งนี้ตนอยู่ข้างกายหนิงอี้ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร พี่ชายก็มองว่าเป็นการหักหลังถึงที่สุด…ยอดปีศาจภูเขาแดงพลิกรถม้า แต่คนที่เป็นพยานให้ตนได้ตายในหุบเขาภูเขาแดงกันหมด ยอดปีศาจที่ชื่อเจียงหลินนั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้กลับใต้ฟ้าเผ่าปีศาจไปแล้ว
ความจริงจมลงน้ำ
โชคดีที่มีคนที่แกร่งกว่า คนที่ไม่เชื่อฟังยิ่งกว่า ยินดีเป็นคนถือกรงนี้
สวีชิงเยี่ยนนึกไปถึงเส้นทางกลับ คนแซ่ซ่งคนนั้นพูดกับตนด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ต้องกังวลเรื่องแก้แค้น ฝ่าบาทเพียงแค่เอ่ยประโยคเดียวบนฟ้าภูเขาแดงก็เรียบร้อย
‘ส่งนางเข้าวัง’
เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าจะแก่งแย่งชิงดุเดือดกว่านี้ เบื้องหลังก็มีเจ้าของเพียงคนเดียว
ฝ่าบาทอยากเห็นนางเข้าวัง เช่นนั้นนางก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ไม่ว่าหลังรู้ข่าวองค์ชายสามจะโกรธเพียงใดก็ไม่กล้าขัดเสด็จพ่อของตน…ส่วนตนมีที่มาที่ไปอย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับแดนประจิม ฝ่าบาทดูเหมือนจะไม่สนใจ
สวีชิงเยี่ยนรู้ดีว่าเป็นเพราะพบเจอกับฝ่าบาทโดยบังเอิญ ทำให้บุรุษคนนั้นเอ่ยด้วยตนเอง ทำให้ตนเข้าวัง ซึ่งต่างจากพี่ชายตนมอบให้เป็นของขวัญอย่างสิ้นเชิง…อย่างแรก นางไม่รู้ว่าตนจะต้องเผชิญกับโชคชะตาแบบใด แต่อย่างหลัง นางรู้ว่านี่เป็นเพียงอีกชีวิตของนกในกรง
…….
ต้มน้ำชาเสร็จแล้ว
ควันร้อนลอยโชย
เผยฝานขัดเด็กสาวด้านข้างอย่างเกรงใจ ดูจากท่าทางแล้วสวีชิงเยี่ยนอยู่ในห้วงความคิด ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรถึงได้เหม่อลอยเช่นนี้
สวีชิงเยี่ยนพลันได้สติกลับมา
นางเหมือนสังเกตเห็นว่าเวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว จึงรูดความคิดก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนอยู่ภูเขาแดง คุณชายหนิงอี้ไปล่วงเกินสององค์ชายแล้ว” สวีชิงเยี่ยนยกถ้วยชาขึ้นจิบเร็วๆ อึกหนึ่ง น้ำชาร้อนนิดๆ นางนึกไปถึงสถานการณ์ที่ตนกับหนิงอี้ตกลงจุดแปลกภูเขาแดงด้วยกัน เส้นทางควันฟุ้งกระจายขวางกั้น นางมั่นใจได้ว่าในสายตาขององค์ชายรองกับองค์ชายสามมีความไม่เป็นมิตรอย่างยิ่งอยู่
นางหยุดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “นับจากนี้ไป เกรงว่าจะต้องระมัดระวังในเมืองหลวงให้มาก สององค์ชายไม่ใช่คนจิตใจโอบอ้อมอารี แม้ภายนอกจะดูเหมือนอาบสายลมใบไม้ผลิ ดูอบอุ่นไม่มีพิษมีภัย แต่ก็มีแอบแทงข้างหลัง…”
เผยฝานหรี่ตาลง นางนึกถึงจวนเขาคราม ตอนที่นางกางร่มกระดาษมันไปรับหนิงอี้ เจอองค์ชายรองคนนั้นครั้งแรก ภายนอกดูสุภาพสบายๆ แต่ใครจะไปคิดว่าไม่ใช่คนดี หนิงอี้ไปภูเขาแดงครั้งนี้ก็เพื่อทำงานให้องค์ชายรอง…
เด็กสาวกำหมัดเล็กช้าๆ
“ไม่รู้ว่าคุณชายหนิงอี้จะตื่นมาเมื่อไร แม่นางเผยอย่าออกไปข้างนอกจะดีที่สุด จะโดนปองร้ายเอา” สวีชิงเยี่ยนพูดอย่างจริงใจ เอ่ยเสียงเบา “คนแซ่ซ่งบอกว่าเขาจะมาบ่อยๆ เขาเป็นคนหนุ่มที่สุดยอดในเมืองหลวง วัดกันที่เบื้องหลังอย่างเดียว ราชวงศ์ยังต้องให้เกียรติเขา…เขาน่าจะรอจนคุณชายหนิงอี้ฟื้นแล้วค่อยมาเยี่ยมใหม่”
เผยฝานตอบอืมเบาๆ
เผยฝานพลันเลิกคิ้วขึ้น เสียงเท้าม้าดังมาจากนอกประตู ครั้งนี้ต่างจากทหารม้าเหล็กนั้นของซ่งอีเหริน และยังมีเสียงวางเกี้ยวลงดังสนั่น
คนจากวังมาเร็วขนาดนี้เชียว
เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่นักพรตชุดคลุมหยาบขวางไว้ไม่ได้ ไม่นานนักประตูใหญ่จวนก็ถูกคนผลักเบาๆ ท่าทางของคนนั้นไม่หยาบเลย แต่กลับนุ่มนวล ยืนตรงปากประตู มองลานบ้านในจวน
ขุนนางชรายิ้มหยีตา “คนอื่นมาแทนก็ไม่วางใจ ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้ามารับแม่นางสวี”
เผยฝานเคยพบชายชราคนนี้บนเขาเล็ก นางรับหนิงอี้ ชายชรากลับวัง สองคนเคยพบหน้ากัน
ขุนนางชราใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ อุทานเบาๆ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “และยังมีคนรู้จักอีกคน”
สวีชิงเยี่ยนไม่เป็นธรรมชาตินิดๆ นางหันไปมองก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “ครบหนึ่งชั่วยามแล้วรึ”
“ยังหรอก” ขุนนางชราเอาสองมือสอดในแขนเสื้อ พูดเสียงเบา “ก็จะให้ท่านรอไม่ได้ ถูกหรือไม่”
“ทั้งสองท่านคุยกันไป เราปิดประตู ไม่แอบฟัง เดี๋ยวก็ถึงชั่วยามแล้ว…อีกไม่นาน ก่อนเราเปิดประตูจะเคาะสามครั้ง”
ใบหน้าขุนนางชราเต็มไปด้วยความเมตตา เขายื่นนิ้วมือหนึ่งมาเบาๆ ชี้ไปบนศีรษะ ก่อนพูดเสียงนุ่มนวล “จะต้องส่งแม่นางสวีเข้าวังก่อนฟ้ามืด รบกวนทั้งสองท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจด้วย”
พูดจบก็ปิดประตูใหญ่ลงช้าๆ
ลานบ้านเข้าสู่ความเงียบไปชั่วขณะ
สวีชิงเยี่ยนมองประตูห้องหนิงอี้ตามจิตใต้สำนึก นางใช้สองมือกุมแก้ว เหมือนลังเลจะพูด
เผยฝานสังเกตเห็นท่าทางนี้
สวีชิงเยี่ยนยังรอหนิงอี้ตื่น…เกรงว่าคงไม่ใช่แค่ขอบคุณเท่านั้น
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
สวีชิงเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ข้ามีคำถามหนึ่ง ไม่รู้ว่าแม่นางเผยจะให้คำตอบแทนคุณชายหนิงอี้ได้หรือไม่”
เผยฝานตอบเสียงเบา “เจ้าถามมา ข้าจะลองดู”
สวีชิงเยี่ยนสังเกตสีหน้าเด็กสาว เม้มริมฝีปาก ก่อนถามอย่างระมัดระวัง “แม่นางเผย เป็นอะไรกับคุณชายหนิงอี้”
เด็กสาวก้มหน้าลง เข้าสู่ความเงียบ
นางเอามือข้างหนึ่งวางบนโต๊ะแปดเซียน ถือถ้วยชา ไอร้อนลอยขึ้นแม้ไร้สายลม
เด็กสาวส่ายหน้า พูดเสียงเบามาก “เป็นญาติ และก็ไม่ใช่ญาติ”
นี่เป็นคำตอบสองแง่สองง่าม
เป็นญาติ และไม่ใช่ญาติ
เดิมทีสวีชิงเยี่ยนจะถามหนิงอี้ด้วยตัวเอง จากนั้นได้รับคำตอบจากหนิงอี้เอง…
นางก้มหน้าลงมองเงาสะท้อนใบหน้าตนในถ้วยชา นึกถึงตอนตนเยาว์วัย พี่ชายพาตนไปดูละคร นักแสดงบนเวทีน้ำตานองหน้า ขับร้องเรื่องรักแค้นของชายหญิงพวกนั้น เพลงจบคนลาจาก ตอนนั้นตนไม่เข้าใจ ตอนนี้พอจะเข้าใจบ้างแล้ว
บนเวที มีคนอยากพบหน้ากันครั้งสุดท้าย สุดท้ายก็ไม่ได้ตามที่หวัง
ตอนนี้นางอยากพบหน้าหนิงอี้มาก ใจรู้ว่า…คงยากจะเป็นตามที่หวังไว้
ดังนั้นสวีชิงเยี่ยนจึงถามเสียงเบาอีกครั้ง “เช่นนั้นแม่นางเผยรู้หรือไม่ว่าคุณชายหนิงอี้มีคนที่ชอบแล้วหรือยัง”
เผยฝานอึ้งไป
นางมองผ่านหมอกหลายชั้น เหม่อมองทางนั้นของโต๊ะ มองสวีชิงเยี่ยนที่เอาสองมือกุมถ้วยชาและถามอย่างระมัดระวัง
สวีชิงเยี่ยนที่หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากหน้าแดงเล็กน้อย สองมือกุมถ้วยชา มองผ่านในน้ำชาเต็มไปด้วยเงาตัด ใบหน้านั้นที่เลือนรางจ้องปลายเท้าของตน
ในใจนางถูกร้อยด้วยใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาวเชือกแดง เหมือนหยกเย็นแนบผิวหนังตน ห้อยอยู่ตรงหน้าอก ได้ยินเสียงหัวใจเต้น เหมือนกวางน้อยวิ่งชนไปมาในป่า
มีคนเคยเปิดประตูแสงสว่างนั้นข้างนอกให้ตน
คนนั้นยังเปิดประตูบานนั้นตรงส่วนลึกในใจตน
สวีชิงเยี่ยนพูดเสียงเบา “ถ้าบอกว่าไม่อยากไป ไม่อยากลาจาก…คือการชอบ”
“เช่นนั้น…”
เด็กสาวออกแรงอย่างมากในที่สุดก็เอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้ ใบหน้าแดงและสดซึมซาบอยู่กลางควันชา
“ข้าก็ชอบคุณชายหนิงอี้ ชอบแบบนั้นที่ชอบมาก ชอบแบบนั้นที่ไม่อยากจากกัน”
………………………..