เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 153 อีเหรินยืนอยู่กลางเขา
ตอนที่ 153 อีเหรินยืนอยู่กลางเขา
บนยอดภูเขาแดง
บุรุษที่สวมชุดคลุมยาวสีครามเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะเริ่มงานราชวงศ์ใหญ่แล้ว ข้ากับแม่เจ้ามาเมืองหลวง จะหารือกับฝ่าบาท เจ้าก็หาเวลาบีบยันต์หยกกลับจากแดนอุดรเสีย จะได้มาเจอกันพอดี”
ทูตผู้ถือคำสั่งหนุ่มกรมปราบปีศาจแซ่ซ่งถูจมูก หัวเราะแหะๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าก็คิดถึงพวกท่านอยู่นะ…อยู่แดนอุดรมาหลายปี ข้ากับจูซาออกม้าทำศึก สู้จนเบื่อแล้ว ว่าจะรอวันล่าเหยื่อจบแล้วค่อยกลับไปดูที่เมืองหลวง”
บุรุษหนุ่มแซ่ซ่งพลันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ได้ยินว่าในสำนักท่านแม่มีกระบี่เซียนที่สุดยอดอยู่ สูญหายไปในแดนอุดร หามาหลายปีก็ยังไม่พบ”
หญิงสวมเสื้อคลุมใหญ่สีขาวเอ่ยเรียบๆ “กระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศของไท่อี่”
“ใช่แล้ว” บุรุษหนุ่มยิ้มตาหยี “เมื่อครู่รู้สึกว่าจะมีกลิ่นอายพลังของกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศออกมาเล็กน้อยด้วย”
เจ้าบ่อสวรรค์หรือก็คือเจ้าอารามแห่งอารามมารดาราชาประจิม ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเบา “มีอยู่จริงๆ…แต่ตอนนี้หายไปแล้ว สำนักเต๋าลงแรงไปมากกับกระบี่โบราณนี่ จะต้องได้กลับมา ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณมีสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับไท่อี่ ในตัวมีกลิ่นอายกระบี่โบราณเล็กน้อย ด้วยเหตุผลและน้ำใจ บางทีกระบี่เซียนนั่นอาจจะอยู่ที่นี่”
ทูตผู้ถือคำสั่งแซ่ซ่งคลึงระหว่างคิ้ว ทำเสียงอ้ออย่างผิดหวัง
เขายืนอยู่บนยอดเขา มองไกลๆ คลื่นสัตว์มากมายหมุนม้วนเข้ามา แม้การโต้ตอบของสามกรมจะช้าไปบ้าง แต่ก็น่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้ นี่เป็นศึกปราบสัตว์ปีศาจที่หาได้ยาก แต่ก็กำหนดบทสรุปไว้แล้ว ความเป็นตายของสัตว์ปีศาจบุพกาลพวกนี้ ผูกกับตัวปราชญ์ปีศาจโบราณที่คืนชีพมานั่นอย่างมาก
เขามองผ่านท้องนภา ข้ามป่าเขาหลายชั้นไปในทิศทางที่ลึกลับ เพราะด้วยวิชาลับบางอย่าง เขากับหญิงรับใช้งดงามนามจูซานั่นจึงมีการเชื่อมต่อจิตใจอย่างแนบแน่น ขอแค่ไม่ห่างกันเกินไปก็จะสัมผัสผ่านจิตใจ รู้ถึงทิศทางของกันและกัน
บนเขาเล็กไกลออกไป ทหารม้าเหล็กสิบกว่าคนหยุดนิ่ง เตรียมรอคลื่นสัตว์ชะลอลงบ้างแล้วค่อยถอยกลับฐาน
หญิงสาวสวมเกราะแดงรู้สึกผ่านจิตใจ จึงนำกระจกทองแดงออกมา
บุรุษหนุ่มแซ่ซ่งที่ยืนบนยอดเขายิ้ม มองแค่คิ้วและดวงตา ยังมีความเป็นลูกผู้ดีสามส่วน เขาพูดเสียงเบา “เก็บของ ท่านพ่อท่านแม่ข้ามาแล้ว เตรียมกลับบ้าน”
อีกด้านของภูเขาแดง ทหารม้าสิบกว่าคนหยุดอยู่บนเขาเล็ก เขาเล็กลูกนี้อยู่กลางคลื่นสัตว์ปีศาจ เหมือนก้อนหินที่ตั้งอยู่ดูเด่นตายิ่ง กลัวจะถูกกระแสน้ำพัดจมหายไปได้ตลอดเวลา มีคำพูดนี้ของบุรุษหนุ่มจึงเหมือนได้กินยาลูกกลอนมั่นใจที่ใหญ่ที่สุด
หญิงสาวที่มีใบหน้าเย็นชามาตลอดยกมุมปากเล็กน้อย พูดอืมเสียงเบา
บนยอดเขา
บุรุษชุดคลุมครามที่สูงส่งเป็นแขกเขาวิญญาณพลันเรียกนามของบุตรชายตนเบาๆ
“อีเหริน”
บุรุษหนุ่มที่เก็บกระจกทองแดงหรี่ตาลง เขายืนบนยอดภูเขาแดงมองลงไป ภูเขาแม่น้ำสวยมาก สัตว์ปีศาจนับหมื่นอยู่ในสายตาทั้งหมด ส่วนซ้ายขวาของผนังหินสุสานโบราณที่ลอยขึ้นมานั้น สัตว์ปีศาจมากมายพุ่งเข้าไปไม่ขาดสาย ดอกไม้เลือดเนื้อเบ่งบาน คลื่นลมตรงนั้นเย็นยะเยือก หุ้มกลิ่นคาวเลือด…มีร่างเงาที่ดูไม่เข้าตาสองร่าง
ชายกับหญิง
พูดให้ถูกคือเหมือนคนเดียวมากกว่า สองคนนี้กอดกัน อยู่รอดท่ามกลางกระแสสัตว์ปีศาจมืดฟ้ามัวดินได้ก็เพราะร่มกระดาษมันที่ดูไม่ได้เลย
ซ่งอีเหรินรู้สึกตกใจเล็กน้อย เด็กหนุ่มนั่นหน้าไม่ชัด อาภรณ์ขาด ตนเหมือนจะคุ้นกับกลิ่นอายพลังในตัวเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้รังเกียจ
ส่วนเด็กสาวในอ้อมกอดเด็กหนุ่ม…มองแค่แวบแรก บุรุษหนุ่มแซ่ซ่งคนนี้ก็เข้าใจว่าเหตุใดบิดาตนถึงสนใจสองคนนี้ เด็กสาวนั่นงดงามมากจริงๆ นี่เป็นการตกตะกอนของเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ทำให้มองครั้งแรกก็ไม่อาจถอนตัวได้
ซ่งอีเหรินไม่เคยเจอเด็กสาวที่งดงามเช่นนี้มาก่อน มาพร้อมกับสายลม เมฆหมุนม้วน สัตว์ปีศาจ สุสานและหินที่หลุดร่วง เขาเองยังรู้สึกได้ถึงความงดงามพิเศษเฉพาะ
จนเสียงบิดาตนดังขึ้นอีกครั้ง เขาถึงตกใจตื่นเล็กๆ
บุรุษชุดคลุมครามที่เอานิ้วมือวนลูกประคำ เตรียมลงเขาไปช่วยสององค์ชายต้าสุยใจกลางหินผาภูเขาแดงถามเรียบๆ
“สองคนนี้…เป็นสหายของเจ้าหรือไม่”
…….
หนิงอี้ไม่รู้ว่าบนยอดภูเขาแดงไกลลิบจะมียอดฝีมือขอบเขตนิพพานฝ่ายพุทธถามคำถามนี้
นี่เป็นแค่คำถามตามใจของแขกพิเศษแซ่ซ่งคนนั้น
แต่กลับพัวพันถึงปัญหาชีวิตของหนิงอี้
ตอนนี้หนิงอี้ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาไม่รู้จักทูตผู้ถือคำสั่งกรมปราบปีศาจนั่นบนยอดภูเขาแดง หากให้โอกาสหนิงอี้อีกครั้ง ให้เขารู้ว่าบุรุษหนุ่มนามซ่งอีเหรินเป็น ‘เซียนรุ่นสอง’ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในต้าสุย สามารถเอ่ยคำเดียวก็ช่วยชีวิตเขาได้ง่ายๆ…เช่นนั้นหนิงอี้มาที่ราบสูงเทพสวรรค์ สิ่งแรกที่จะทำคือข้ามเขาไปหาทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬที่ซ่งอีเหรินอยู่ อย่างน้อยก็ให้คุ้นหน้ากัน
ข้างกายหนิงอี้เป็นสายลมรุนแรง เหมือนปากยักษ์ของสัตว์ปีศาจ พัดใบร่มกระดาษมันโคลงเคลงจะล้มลง
ศึกในสุสานก้นทะเล ยอดปีศาจหนุ่มนั่นทุบใบ่ร่มตนจนแทบขาด ยันต์พวกนั้นที่แปะข้างในเต็มไปหมดลอยลิ่ว เสียประสิทธิภาพลงไปเล็กน้อย ตนอยู่กลางฟ้าแห่งนี้ ยังจะยื้อได้นานเท่าไร…หนิงอี้ไม่มั่นใจเลย
สุสานก้นทะเลที่ลอยขึ้นมานั้นมีแรงดูดมหาศาล หนิงอี้ถือยันต์ แสงดาราไหลไปข้างในก็ยังไม่อาจต้านแรงดูดจากทั่วทุกสารทิศได้ ได้แต่เข้าไปใกล้หินผาเงียบๆ
นี่เป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวัง
สัตว์ปีศาจมากมายกองเป็นบันไดยาวเลือดเนื้อ เกาะสุสานก้นทะเลและหินผาโบราณ หลังสัตว์ปีศาจพวกนี้ลงถึงพื้นยังไม่ทันวิ่งไปไกลเท่าไร กระดูกและเลือดภายในกายก็ถูกปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณชิงไป ระเบิดกระจาย เนื้อหนังปริแตก สาดกระจายใส่หินผาเป็นสีแดง
สัตว์ปีศาจนับหมื่นตัวเล็กใหญ่ ‘กลิ้ง’ ขึ้นหินผาสุสาน ทาสีแดงชั้นหนึ่ง มีสัตว์ปีศาจเข้ามาใกล้ระดับความสูงของร่มกระดาษมันของหนิงอี้ เพราะได้กลิ่นมนุษย์ การล่าเหยื่อโดยสัญชาตญาณทำให้พวกมันอ้าปากกว้างกลางอากาศ กระโดดไล่ตามไป จากนั้นเพราะสูงไม่พอจึงตกลงมา
สวีชิงเยี่ยนหน้าซีดขาว นางรู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มที่กอดตน มือนั้นที่ถือร่มส่งเสียงกึกๆ มาตลอด…นี่คือพินิจเหมันต์จะต้านไม่ไหวแล้วรึ
ใบร่มพินิจเหมันต์ขาดเป็นรอยมองเห็นด้วยตาเนื้อ สายลมฉีกใบร่ม หนิงอี้หรี่ตาลง เขาพยายามรวมความเป็นเทพ…ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ เขาไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด ความเป็นเทพส่งเข้าไปในร่มกระดาษมัน สองร่างเงาต่อต้านแรงดูด กระชากแกว่งไปมาไม่หยุด
หนิงอี้ที่โดดออกจากภูเขาแดงไม่นึกเลยว่า…สุสานก้นทะเลนั้นจะพุ่งขึ้นมาเหนือพื้นดินอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้ามภูเขาใหญ่สิบกว่าลูก สร้างภาพที่น่าตื่นตกใจ นี่เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตร่างคนเท่านั้น
สิงโตเก้าหัวที่ติดตามผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
สัตว์ปีศาจที่ทยอยกันเข้ามาพวกนี้เซ่นไหว้เลือดเนื้อตนเองมาบูชาปราชญ์ปีศาจโบราณตนนี้ ฟื้นคืนพลังบำเพ็ญ เลือดเนื้อพุ่งใส่หินผาทีละชั้น ไต่ขึ้นข้างบน ดำเนินไปถึงช่วงครึ่งหนึ่ง
พลันมีเสียงสิงโตคำรามด้วยความโกรธดังก้องฟ้าดิน!
นี่คือเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ
สัตว์ปีศาจที่อยู่ใกล้มากถูกเสียงคำรามสิงโตกระเทือนจิตใจ แม้แต่เลือดเนื้อยังถูกกระเทือนแตก นอกหินผา หนิงอี้ที่อยู่ค่อนข้างใกล้พลันหน้าซีดขาว เขาถูกกระเทือนจนสติดำมืดลงชั่วขณะ ก่อนจะหมดสตินั้น ความคิดเดียวของเขาคือกอดสวีชิงเยี่ยนในอ้อมกอดไว้ให้แน่น
มือนั้นที่จับกระบี่ยังคงจับแน่น ร่มกระดาษมันพลันเกิดรอยแตกเพิ่มมาเจ็ดแปดรอย เหมือนดอกไม้ขาวเล็กถูกพายุฝนพัด ตกลงมาช้าๆ
บนทะเลสาบจิตของหนิงอี้
กระบี่บินสามเล่มหลับใหลมานานมาก ฝุ่นที่เกาะตัวกระบี่ถูกน้ำทะเลสาบชะล้าง เผยประกายแสงสว่าง
มีคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนทะเลสาบ ตัวกดกระบี่บินสามเล่ม
ทะเลสาบจิตของหนิงอี้เดือดพล่าน ทางนั้นของสะพานที่รวมจากกระดูก มีคนไหวไหล่เบาๆ
ใบหน้าของเคียงกระบี่ถอดโคลนออกไปเล็กน้อย ดวงตาเขาคืนชีพกลับมา ดินโคลนบนตัวหลุดร่วง ความเป็นเทพมากมายไหลเข้ามา พร้อมคืนชีพตลอดเวลา
เคียงกระบี่นั่งบนกระบี่บินสามเล่ม เขามองเห็นภาพข้างนอกผ่านทะเลสาบจิต จิตใจของหนิงอี้ถูกเสียงคำรามสิงโตกระเทือนหมดสติไป เขาเข้าควบคุมร่างกายช่วงสั้นๆ ขณะเดียวกันยังแบ่งจิตส่วนหนึ่งไปปกป้องเด็กหนุ่มเด็กสาวใต้ร่ม ไม่ให้บาดเจ็บจากเสียงคำรามสิงโต
ในตำหนักยักษ์ เขายังเห็นร่างเงานั้นที่ใช้เสียงคำรามสิงโตมาเร่งความเร็วการเก็บเลือดเนื้อ นี่เป็นยอดปีศาจที่ไม่รู้อยู่มานานเท่าไรแล้ว ตอนนี้กำลังฟื้นคืนชีพทุกด้าน หากไม่ขวางไว้เกรงว่าสภาพของอีกฝ่ายจะดีขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสู้ได้ยาก
เคียงกระบี่หรี่ตาลง เตรียมจะลงมือใช้ปราณกระบี่สังหารยอดปีศาจโบราณนั้นในสุสานอย่างฉับพลัน
เขาพลันอุทานเสียงเบา
ทะเลสาบจิตเก็บกลับมาอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหนิงอี้ที่เดิมทีจับด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ตัวอ่อนลง กอดสวีชิงเยี่ยน สองคนเหมือนดอกไม้ที่ไร้เรี่ยวแรง กำลังตกลงไปในกระแสสัตว์ปีศาจ
……..
บนยอดภูเขาแดง ซ่งอีเหรินที่ยืนข้างกายบุพการี หรี่ดวงตาแคบยาว กำลังคิดอยู่ตลอดว่าตนเคยพบเด็กหนุ่มคนนี้ที่ใด ใช่เด็กสาวที่เคยพบในฝันหรือไม่ ถึงกับตกใจสะดุ้งกับเสียงสิงโตคำราม คลื่นเสียงไร้รูปแตกกระจายนอกครึ่งลี้รอบตัวบุพการีตน แต่เสียงก็ยังดังเข้ามาไม่อาจหลีกเลี่ยง สั่นสะเทือนแก้วหู
ซ่งอีเหรินมองสองร่างเงานี้ถูกเสียงสิงโตคำรามกระเทือนในระยะใกล้มาก ก็ตกลงไปในทันที
คนแซ่ซ่งที่ ‘อ่อนโยนกับสตรี’ มาตลอดพลันนึกได้ว่า หากตกลงไปในกระแสสัตว์ปีศาจในช่วงเวลาสำคัญนี้ จะเสียสตรีที่งดงามไป เขาจึงรีบพูด
“ช่วย…”
เขาเพิ่งเอ่ย บุรุษชุดคลุมหยาบสีครามก็ยกฝ่ามือขึ้นพยากรณ์ ฟ้าดินหนึ่งทิศฉีกออกบนฝ่ามือเขา ห่อหุ้มหนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนมาที่ยอดภูเขาแดงในทันควัน สองคนกลิ้งลงพื้น ร่มกระดาษมันหุบดังพรึ่บ ควันสีดำลอยโชย
ซ่งอีเหรินย่อตัวลง ชื่นชมใบหน้าเด็กสาวในระยะใกล้ก่อนทำเสียงจิ๊ๆ ปลงอนิจจัง คนงามล่มแคว้นล่มเมือง คงไม่พ้นคนนี้
เขาพลันเกาศีรษะ กระจกทองแดงสั่น เขาไม่ได้นึกถึงจูซาที่รอตนบนเนินเขาเล็ก แต่รีบหันมาพิจารณามองเด็กหนุ่มที่หมดสติ มองหนิงอี้ที่สภาพเหมือนคนป่า เวลานี้บุรุษหนุ่มไม่เข้าใจเลย ใจนึกว่าเป็นเทพเซียนที่ใดกันถึงกอดหญิงงามเช่นนี้โดดลงจากภูเขาแดง
ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ
มองอยู่นานก็ยังมองไม่ออก เมื่อค่อยๆ เบนสายตาไปที่ร่มกระดาษมันที่มีควันดำลอยขึ้นนั้น รวมถึงคมกระบี่ขาวหิมะในโครงร่ม…ซ่งอีเหรินที่อ่านตำรามาตั้งแต่เด็กก็หรี่ตาตามจิตใต้สำนึก
เขาจำกระบี่เล่มนั้นได้
“นี่คือพินิจเหมันต์ของคุณชายเจ้าหรุย…”
……………………….