เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 150 ข้าไม่มีทางเลือก
ตอนที่ 150 ข้าไม่มีทางเลือก
“ไม่ได้พบกันนาน คิดถึง”
คำพูดนี้ดังก้องในเส้นทางฝุ่นตลบอบอวล เด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้ว่าตนนั่งบนบัลลังก์กางร่มกระดาษมันอย่างเกียจคร้าน เกิดเสียงหินแตกแปะแปะขึ้นด้านบน
นี่เป็นท่าทางผู้มีอำนาจวางข้อศอกกอดหญิงงามที่ได้มาตรฐาน
บางทีอาจเป็นเพราะท่าทางที่ตกลงมาแนบแน่นเกินไป สวีชิงเยี่ยนในอ้อมกอดหนิงอี้จึงหน้าแดงเล็กน้อย เขินอายนิดๆ
สององค์ชายมีสีหน้าปั้นยากมาก
สถานการณ์แข็งทื่อ จนการสั่นสะเทือนของภูเขาแดงทำลายความเงียบลง
หนิงอี้มองไข่มุกเชื่อมสวรรค์ที่ลอยอยู่ไม่ไกล ก่อนจะปลงในใจอย่างยิ่ง…ไข่มุกเชื่อมสวรรค์ที่สะท้อนภาพได้อยู่ในเส้นทาง ภาพทุกอย่างในภูเขาแดงถูกอีกฝั่งของไข่มุกเห็น สององค์ชายเดินทางร่วมกันอย่างสนิทสนมได้ คงเพราะเหตุนี้ ดีเลวอย่างไรตนก็ถือว่าเป็นคนสนิทครึ่งหนึ่งของจักรพรรดิต้าสุย สองท่านนี้ไม่เป็นมิตร แต่ไม่เห็นแก่หน้าสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพุทธ ไม่ถึงขนาดที่จะลงมือในตอนนี้…
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ องค์ชายสามกับองค์ชายรอง สองคนมีสีหน้าปั้นยากก็เรื่องหนึ่ง แต่ก็แค่ปั้นยาก ไม่ได้มีอะไรตามมาที่แย่กว่า หนิงอี้สัมผัสภายในกายเงียบๆ เข้าใจเหตุผล จึงผ่อนลมหายใจโล่งอก
เส้นทางภูเขาแดง ผนึกแสงดารา
ในที่สุดหนิงอี้ก็ผ่อนคลายลง พิจารณามองไปรอบๆ จากนั้นหันหน้ามา เขามองด้วยความตกใจและเงียบ…ตอนนี้ตนนั่งอยู่บนอะไร มังกรแท้แกะสลัก เกล็ดรุกล้ำ แม้เอวจะชิดกับหลังเก้าอี้ ความรู้สึกที่ส่งมาจะไม่ถือว่าเก่าแก่เท่าไร แต่หนิงอี้ก็มองออกในทันทีว่าเป็นบัลลังก์จักรพรรดิ
“บัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้”
หนิงอี้พ่นมาสี่คำ
สวีชิงเยี่ยนในอ้อมกอดได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้น เห็นบัลลังก์จักรพรรดิข้างล่างตนอยู่สุดทางภูเขาแดง
นางยื่นมือมาลูบ ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สัมผัสมือแย่หน่อยๆ…
จากนั้นหนิงอี้พูดต่อด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ของปลอม”
ฝุ่นละอองบนฟ้าเส้นทางตกลงมา เหนือศีรษะกลับเข้าสู่ความเงียบช้าๆ
หนิงอี้หุบร่มกระดาษมันดังพรึ่บ เขาเอามือข้างหนึ่งปักด้ามร่ม ปลายร่มกดพื้น กอดเด็กสาวลุกขึ้นช้าๆ ไม่ได้ครุ่นคิดถึงความรู้สึกสัมผัสกับบัลลังก์จักรพรรดิข้างหลังอีก แต่พูดเสียงเบา “ติดที่ไข่มุกนี่ ดูท่าพวกเจ้าคงมีคำพูดมากมายที่พูดไม่ออก ทำอะไรหลายอย่างไม่ได้ อย่างเช่นด่าข้า หรือทุบตีข้า…ถึงอย่างไรทุกคนก็เป็นผู้มีเกียรติในเมืองหลวง พวกเจ้าไม่มีทางด่าข้า ทุบตีข้าที่นี่ได้”
หนิงอี้หัวเราะ
เขากวาดสายตามอง
ก่อนอื่นเป็นองค์ชายรองที่หน้ามืดทะมึน ผู้ปกครองหนุ่มแห่งดอกบัวแดนบูรพาท่านนี้ขมวดคิ้ว เหมือนไม่เข้าใจว่าตนมาภูเขาแดงได้อย่างไร…ถึงอย่างไรในแผนการของหลี่ไป๋จิง หลังจากเปิดผนังหินภูเขาแดง หานเยวียจะหลอมรวมหนิงอี้บนแท่นสูงมรณะ นำเข้าหลอดแก้วแดนบูรพา
จากนั้นมององค์ชายสามที่มีสีหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด
หลี่ไป๋หลินไม่ได้มองหนิงอี้ แต่จ้องสวีชิงเยี่ยนเขม็ง
เด็กสาวกำหมัด ก้มหน้าลง
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสามไม่รู้ว่านอกภูเขาแดงเกิดอะไรขึ้น…
ผู้คนมักจะยินดีเชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า ส่วนความจริงคืออะไรไม่สำคัญ เขาแค่ต้องการคำตอบที่ตรงกับแนวความคิดตน ตอนที่เขาเห็นหนิงอี้ที่ตนเคียดแค้นอยู่กับนกลายทองในกรงของตน เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องคิดอีกว่าใครเป็นคนเปิดกรง
เป็นใครไม่สำคัญ
บัญชีนี้ตกอยู่ที่หนิงอี้
สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลง นางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและสับสน มีความอบอุ่นส่งผ่านมาที่ฝ่ามือ หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกุมกำปั้นนางไว้ ห่อไว้เบาๆ อุณหภูมิของฝ่ามือแผ่กระจาย ในสะพานที่สร้างด้วยที่ราบกระดูกอบอวลไปด้วยความเป็นเทพ
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองหนิงอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉย
เพียงแค่ชำเลืองตามองทีเดียว สามสี่ลมหายใจ หนิงอี้ก็เก็บข้อมูลสายตาของทุกคนไว้ เขารู้ว่าองค์ชายรองสงสัยตน และเห็นความอาฆาตแค้นขององค์ชายสามที่มีต่อตน อารมณ์มากมายไหลมาอย่างเงียบเชียบ ต่อให้ไม่เคยเผยออกมาด้วยคำพูดและการกระทำ ภายใต้สภาพแวดล้อมเงียบสงัดในตอนนี้ก็ดูตึงเครียดอย่างยิ่ง
หินภูเขาบนศีรษะโคลงเคลงอีกครั้ง
สององค์ชายเงยหน้าขึ้น ในหกสัมผัสของพวกเขารู้สึกถึงกระแสสัตว์ร้ายบ้าคลั่งข้างนอก เหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พลังปีศาจที่พุ่งขึ้นฟ้ามาพร้อมกับอานุภาพที่ไม่อาจต่อต้าน หลั่งไหลมาทางภูเขาแดง
ตอนนี้เองเสียงหนิงอี้ดังขึ้น
เขาถอนหายใจก่อน “ข้าพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก…”
จากนั้นก็พูดอย่างคล่องแคล่ว
“บัลลังก์จักรพรรดิปลอมนี่ ข้างหลังเชื่อมกับปากทางภูเขาแดง”
หนิงอี้พูดจบก็หยุดไปช่วงสั้นๆ
ภูเขาแดงข้างบน การสั่นสะเทือนทั้งหมดก็หยุดนิ่งตาม
อาภรณ์หนิงอี้หยุดนิ่งชั่วครู่
“แต่พวกเจ้าไม่กล้าแตะต้องมัน”
หนิงอี้เอ่ยต่ออีกครั้ง ตัวภูเขาพลันสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น หลายคนในเส้นทางไม่เคยเอียงซ้ายไปขวาเลย ยังคงยืนอย่างมั่นคง แต่อาภรณ์เริ่มแกว่งไกวแล้ว
มีสายลมพัดมาไกลๆ
ในเส้นทางข้างหลังสี่คนมีเสียงแตกดังกังวานขึ้น…ไข่มุกเชื่อมสวรรค์เกิดรอยแตกร้าว แสงสว่างพุ่งออกมา ส่องสว่างในหมอกดำ
พลังปีศาจหลั่งทะลักเข้ามา
หนิงอี้พูดทีละคำ ช้าๆ
เขายืนใต้ไข่มุกเชื่อมสวรรค์ เหงื่อซึมออกมาที่ฝ่ามือแล้ว เขาจำเป็นต้องพูดพวกนี้ เพราะเขาไม่มีทางถอย ไข่มุกเชื่อมสวรรค์เริ่มแตก หนิงอี้รู้ว่าทุกคำพูดของตนที่นี่จะดังไปถึงในวัง บุรุษคนนั้นจะได้ยิน
เขาจะทำในสิ่งที่ผิดมหันต์ และคำพูดพวกนี้จะอธิบายการกระทำของตนต่อไปนี้
หลี่ไป๋หลินจ้องหนิงอี้ พบว่าเด็กหนุ่มนั่นหน้าซีดขาวเล็กน้อย อาภรณ์เปื้อนเลือด เหมือนผ่านศึกใหญ่มา เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าพลังปีศาจผ่านผนังหินเข้ามา
“แต่ความจริง…นั่งไปแล้วอย่างไร”
หนิงอี้พูดจบ องค์ชายรองหรี่ตาลง
หลี่ไป๋จิงรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะสัมผัสค่ายกลเคลื่อนย้ายคล้ายๆ จุดแปลกและตกลงมา จากนั้นมาอยู่ที่นี่อย่างเหนือความคาดหมาย
หนิงอี้ตกลงมาอย่างไม่มีทางเลือก
หากเป็นบ่อน้ำเขาก็จะตกบ่อน้ำ เปียกปอนไปทั้งตัว หากเป็นอ่างไฟ เขาจะตกลงเปลวเพลิง อาภรณ์จะถูกเผาไหม้
แต่ตรงนั้นดันเป็นบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นหนิงอี้เลยได้แต่นั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ
หลี่ไป๋จิงนึกไปอย่างสับสนเล็กน้อย หนิงอี้พูดพวกนี้เพื่ออะไร เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นล่ะ
ใช่อย่างที่คิดจริงๆ
หนิงอี้พูดอย่างจนปัญญา “ข้าไม่มีทางเลือก”
เด็กหนุ่มเอ่ยมาห้าคำ
ข้าไม่มีมีทางเลือก
ชั่วขณะที่สององค์ชายยังไม่ทันตั้งตัวนั้น หนิงอี้ก็หันคมกระบี่พินิจเหมันต์
เขาลากสวีชิงเยี่ยนถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นชูพินิจเหมันต์
ในใจหนิงอี้ตอนนี้รู้สึกโชคช่วยนิดๆ…เขารู้สึกโชคดีที่ตอนพิงผนังหินพักในสุสานภูเขาแดงได้รวมกำลังพอให้ออกได้อีกกระบี่ รู้สึกโชคดีที่ตนไม่ได้เลือกปะทะกับดาบราชสีห์ขาว แต่ทำลายจุดแปลก ออกจากสุสาน
และที่หนิงอี้รู้สึกโชคดีที่สุดคือตนมาที่นี่ได้ สิ่งที่ขวางหน้าตนมีเพียงบัลลังก์จักรพรรดิปลอม
เขาอยากมีชีวิตรอด
อยากออกจากภูเขาแดง
สำหรับหนิงอี้แล้ว ทางออกเดียวคือบัลลังก์จักรพรรดินี่ เชื่อมกับปากทางภูเขา
เขาไม่มีทางเลือก
มีเพียงกระบี่ฟันทำลายมังกรแท้
แสงกระบี่สว่าง เพิ่งปรากฏ ก็มีเสียงคำรามมังกรกังวานดังเหนือบัลลังก์จักรพรรดิ
ความเป็นเทพของพินิจเหมันต์หลั่งไหลเข้าไปเป็นชั้นๆ ซ้อนทับกัน คมกระบี่ลากผ่าน ห้วงอากาศเหมือนกระแสน้ำสองสายพุ่งทลาย
หนิงอี้ฟันกระบี่ท่ามกลางแววตาตกใจระคนมึนงงสุดขีดของสององค์ชาย
มังกรแท้ที่ขดบนบัลลังก์จักรพรรดินั้นถูกกระบี่ฟันขาด
ไม่ใช่แค่มังกรแท้เท่านั้น แม้แต่บัลลังก์จักรพรรดิยังถูกแสงกระบี่ฟันทำลายจนแตกจากตรงกลาง
ภูเขาแดงสั่นไหว
การสั่นไหวครั้งนี้ไม่ได้มาจากภายนอก แต่มาจากภายใน
ท่ามเสียงดังสนั่น ทุกคนถูกแสงสว่างร้อนแรงส่องแสงตรงหน้า
ภูเขาแดงเปิด
สายลมพัดแก้มสวีชิงเยี่ยน นางเห็นใบหน้าสงบนิ่งและเฉยเมยของหนิงอี้ บัลลังก์มังกรแท้พังทลาย เศษถูกลมพัดมา เฉียดผ่านแก้มนาง
เมื่อแสงสว่างปากทางภูเขาพุ่งเข้ามา พลังผนึกแสงดาราในแดนโบราณแห่งนี้ก็หายไปในที่สุด แสงดาราที่ห่างหายไปนานหลั่งไหลในกายหนิงอี้ช้าๆ
สองคนยืนอยู่บนยอดภูเขาแดง มองลงไปข้างล่าง ข้างล่างเป็นสัตว์ปีศาจเต็มไปหมด รวมกันเหมือนน้ำหลาก บนหน้าผาแน่นเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน บนฟ้าเต็มไปด้วยสัตว์ปีก ส่งเสียงกระเทือนแก้วหู
จันทร์โค้งยักษ์ดวงหนึ่ง แสงสว่างจ้า ลอยอยู่บนฟ้าสูง
สวีชิงเยี่ยนพลันตกใจตื่น พบว่าตนกับหนิงอี้ยืนอยู่ปลายสุดของหน้าผา จะตกลงไปได้ทุกเมื่อ
หินภูเขาลาดเอียง หินแตกใต้เท้าตกลงไป ไม่ได้ตกไปไกลนักก็ถูกปากใหญ่เต็มไปด้วยฟันเลื่อยกินและเคี้ยว สัตว์ปีศาจที่ปีนหน้าผาอยู่มีรูปร่างไม่ถือว่าแกร่งมาก ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตแรกก็สังหารได้…แต่จำนวนน่ากลัว มองไปไม่สุดสายตา ต่อให้โยนผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบเข้าไป เกรงว่าอีกไม่นานก็จะถูกกินจนไม่เหลือซาก
เด็กสาวพูดเสียงสั่นนิดๆ
“หนิงอี้…”
นางเอ่ยนามที่ตนคิดว่าพึ่งพาได้มากที่สุดตามจิตใต้สำนึก
เห็นได้ชัดว่าหนิงอี้เองก็คาดไม่ถึงว่าหลังจากตนเปิดภูเขาแดงจะพบภาพที่น่าตื่นกลัวและเลวร้ายเช่นนี้…หลังจากดึงราชสีห์ขาว ทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดยอดขึ้น เผ่าปีศาจบุพกาลที่ไร้สติปัญญาพวกนี้ หากคลุ้มคลั่งขึ้นมาและมาแสวงบุญที่ภูเขาแดง ใครจะต้านไหวกัน
หนิงอี้เอาสองมือกดบ่าสวีชิงเยี่ยน เด็กสาวได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นและตึงเครียดของเด็กหนุ่มข้างหลัง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกแล้ว
หนิงอี้พูดด้วยความจำใจ “โดดเถอะ”
สวีชิงเยี่ยนมึนงงนิดๆ
โดดหรือ
อาภรณ์ของหนิงอี้ถูกลมพัดปลิวไสว เขาไม่หันกลับไป
แต่หนิงอี้รู้ว่าคนชั่วสองคนนั่นข้างหลังตน เดาว่ายังคงหยุดอยู่ในการทำผิดมหันต์ที่ตนฟันบัลลังก์จักรพรรดิอยู่ ตอนนี้ยังไม่ได้สติกลับมา…
ปากทางภูเขาแดงถูกตนเปิดแล้ว ผนึกแสงดาราก็หายไปแล้ว
เหลือเวลาให้ตนไม่มากแล้ว
เขาถอนหายใจ “ยังจะทำอะไรได้อีก โดดเถอะ”
…………………….