เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 146 พบมังกรยามหมอกลึก
ตอนที่ 146 พบมังกรยามหมอกลึก
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหมอกจางแล้วจะเห็นสิ่งที่เหมือนกัน”
หมอกสลายไป
หลี่ไป๋จิงที่ยืนอยู่สุดทางเดินพูดด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจังนิดๆ
เขายืนข้างหลี่ไป๋หลิน น้ำเสียงมีความรู้สึกแปลกๆ เอ่ยเนิบนาบ “ข้าลงแรงไปมากเพื่อวันล่าเหยื่อครั้งนี้…แดนบูรพาย้าย ‘หอศักดิ์สิทธิ์ทะเลสึกกร่อน’ มา ผู้บำเพ็ญหนุ่มมากมายติดตามข้าออกศึก มาที่ราบสูงเทพสวรรค์ ล่าเผ่าปีศาจบุพกาล”
“ข้ามาที่นี่คนเดียว เดิมทีเพื่อมีศึกในภูเขาแดง แม้จะไม่มีเขม่าดินปืน แต่เทียบกับศึกนั้นบนที่ราบสูงเทพสวรรค์แล้ว มันน่าตื่นตกใจยิ่งกว่า” หลี่ไป๋จิงพูดเสียงเบา “ข้าเตรียมยันต์ ค่ายกล กระบี่บินและเกราะเกล็ดไว้แล้ว…แน่นอนว่าข้ารู้ว่าใช้พวกนี้ไม่ได้ ก่อนมาที่นี่ ข้าเคยเฝ้ารอคอย…การประชันที่ท่านจัดวางไว้ ว่าจะเป็นรูปแบบใด เป็นกลยุทธ์หรือกำลังยุทธ์ หรือดวงชะตา”
หลี่ไป๋จิงพูดไม่เร็ว แต่น้ำเสียงเขาค่อยๆ ต่ำลง ถึงช่วงสุดท้าย ถึงท้ายที่สุด เขาจ้องสุดเส้นทางที่หมอกสลายไป ตรงนั้นมีไข่มุกเชื่อมสวรรค์เม็ดสุดท้ายลอยอยู่ องค์ชายรองเอ่ยทีละคำ “ข้าไม่นึกเลยว่า…ท่านลงแรงไปมากขนาดนี้ เพียงเพื่ออยากให้ข้ามาดู…”
เสียงเงียบไป
หลี่ไป๋ชิงพูดเย้ยเยาะตนเอง “บัลลังก์ตัวนี้ในภูเขาแดงรึ”
หมอกกระจายออกไป
ตรงสุดทางกลางหมอกจางๆ ยังมีเสียงคำรามมังกรเบาๆ สุดทางภูเขาแดงเป็นบัลลังก์จักรพรรดิที่ไม่สูงใหญ่แต่กลับโอ่อ่ามาก บัลลังก์จักรพรรดินี้ทำออกมาได้ประณีตและใหม่ ที่วางแขนสองด้านซ้ายขวาเป็นลายมังกรจางๆ ขด มังกรแท้ตัวหนึ่งขยับอยู่ข้างหลังบัลลังก์ หางมังกรยกขึ้นสูงตรงหน้าผาก เกิดคลื่นกระเพื่อม
ต้าสุยมีเก้าอี้มากมาย
แต่สิ่งที่มีความสามารถ มีความกล้าสลักสิ่งนี้ลงได้ มีเพียงเก้าอี้ชนิดเดียว
“บัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้”
บุรุษหนุ่มสองคน บุรุษที่อยู่สูงสุดในเมืองหลวง บุรุษที่มีใจต้องการตำแหน่งหนึ่งเหมือนกัน
หลังได้เห็นบัลลังก์นี้แล้วก็เข้าสู่ความเงียบไปช่วงสั้นๆ
ความทะเยอทะยานของพวกเขาเผยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวมาตลอด ขวางคนผ่านทางคนหนึ่งในเมืองหลวงมาสักคน หาประชาชนต้าสุยสักคน เกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์นี้บางทีอาจจะไม่ได้เข้าใจอะไรมาก แต่พวกเขารู้แน่นอนว่าคนที่เป็นดั่งมังกรและเสือ น้ำกับไฟต่อสู้กันก็คือสององค์ชายแห่งแดนบูรพาและประจิม
ทว่าคนต้นเรื่องดันไม่ยอมเอ่ยถึง พบกันปลายปี เจอกันที่เมืองหลวง ก็เพียงแค่ยิ้มและผ่านไป
รอยยิ้มซ่อนดาบ
ดูเหมือนดีต่อกันมาก รักใคร่กลมเกลียว
แต่ตอนนี้บุรุษ ‘ที่ชราภาพลงเรื่อยๆ’ และอยู่มาหกร้อยปีคนนั้น ได้วางบัลลังก์จักรพรรดิไว้สุดทางภูเขาแดง ยกมิตรภาพจอมปลอมระหว่างสองคนขึ้นมาบนเวที
นี่หมายความว่าอย่างไร
…….
ตอนนี้เอง หลี่ไป๋จิงเกิดความคิดมากมายแล่นผ่าน
เขามองบัลลังก์นั้น เขารู้ว่าในประวัติศาสตร์ที่สืบทอดมาไม่รู้กี่ปีของต้าสุย ‘บัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้’ เป็นสิ่งต้องห้ามมาตลอด การสืบทอดทุกยุคของสายเลือดจักรพรรดิต้าสุย ระดับความเข้มข้นของสายเลือดจักรพรรดิบรรพบุรุษรุ่นแรกไปถึงระดับที่เหนือกว่าความเป็นอมตะ ต่อมาก็จางลงช้าๆ ต่อให้สายเลือดต้าสุยปัจจุบันจะยังเชิดหน้าอย่างทระนง แต่ก็เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
บัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้เป็นสมบัติที่ไม่อาจคาดคะเนได้
หากวางอาวุธเทพของใต้ฟ้าต้าสุยเข้าด้วยกัน อาวุธเต๋าของผู้สูงศักดิ์สวรรค์พวกนั้น สมบัติวิเศษของพระโพธิสัตว์ อาวุธเทพและกระบี่เซียนที่สูญหายในยุคโบราณ หยิบยกมาสักชิ้น อานุภาพสังหารก็ไม่อาจประเมินได้ แต่ก็เทียบกับบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ไม่ได้
นี่คือการเสริมพลังที่แกร่งที่สุดของเจ้าของใต้ฟ้า
ศึกทะเลพลิกผัน บรรพบุรุษสูงสุดลอกเนื้อหนังมังกรแท้ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ หลอมรวมศัตรูที่แกร่งที่สุดในชีวิตตนเป็นบัลลังก์จักรพรรดินี้ เขานั่งบัลลังก์จักรพรรดิ ทั้งใต้ฟ้าเปล่งแสงสว่าง เพียงความคิดเดียว พืชหญ้าก็แห้งเหี่ยวและเจริญงอกงาม
ในกาลเวลาที่ยาวนานมากหลังจากนั้น จักรพรรดิองค์แรกเป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างมาตลอด
ใต้ฟ้า เปล่งแสงสว่างจ้า
ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะนั่งบัลลังก์จักรพรรดินี้ได้ ระดับความเข้มของเลือดจักรพรรดิจะตัดสินว่าบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้จะแสดงพลังได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ว่าในราชวงศ์ต้าสุย ของพวกนั้นที่ไหลเวียนในสายเลือดคืออะไรกันแน่…ความสัมพันธ์ไร้รูปได้ผูกไว้กับกลุ่มคนส่วนน้อยที่สุดในใต้ฟ้าสี่หมื่นลี้ พวกเขามีการสืบเชื้อสาย เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน พวกเขาเกิดมาก็เป็นผู้ถูกคัดเลือกของจักรพรรดิ สายเลือดของจักรพรรดิองค์แรกแข็งแกร่งมาก มรดกที่สืบทอดกันมาก็มากพอจะให้ชนรุ่นหลังเสพสุขได้อีกนาน
แต่ก็เป็นอย่างนั้นที่ทุกคนรู้
จักรพรรดิองค์แรกสังหารความเป็นอมตะของเผ่าปีศาจสองท่านในทะเลพลิกผัน แต่เขายอมรับด้วยตัวเองว่าตนไม่ได้ไปถึงระดับความเป็นอมตะ ต่อให้เขาจะสังหารความเป็นอมตะได้…แต่เขาก็ยังสิ้นชีพลง เขาก็ยังแก่ ป่วย เจ็บและจากโลกนี้ไป สายเลือดเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด ราชวงศ์ต้าสุยทุกรุ่น ระดับความเข้มของสายเลือดจักรพรรดิจะเริ่มอ่อนลงช้าๆ
มาถึงช่วงหลังก็จะไม่มีจักรพรรดิอีก การนั่งบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ในความหมายที่แท้จริง คือการขับเคลื่อนสมบัติวิเศษที่ทรงพลังที่สุดในโลกนี้ ไปสังหารเผ่าปีศาจ เข้ายึดดินแดน
ต่อให้เป็นไท่จงก็ไม่ได้
เพราะราคาต้องจ่ายสูงเกินไป
นั่งบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ ทั้งยังปลุกตื่นมัน จะต้องจ่ายไปอย่างมาก…ในบันทึกเก่าแก่ของเมืองหลวง บัลลังก์จักรพรรดินี้เป็นที่ยอมรับของเจ้าของสูงมาก หากคนนั้นที่นั่งบัลลังก์จักรพรรดิมีระดับความเข้มข้นของสายเลือดไม่เพียงพอ ก็อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมได้…ในกาลเวลาเมื่อนานมาแล้วมีคนตายบนบัลลังก์จักรพรรดิ นั่นคือราชาเมืองขึ้นต้าสุยคนหนึ่งที่ก่อรัฐประหารภายใน อยากจะนั่งบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ กำราบศัตรูทั้งหมดลงได้ คืนนั้นในสงครามกลางเมืองหลวง ประกายไฟพุ่งขึ้นฟ้า เขานั่งบัลลังก์จักรพรรดิ ลองปลุกมังกรแท้มาพิสูจน์ว่าตนเป็นจักรพรรดิต้าสุยในอนาคต
ดังนั้นเขาจึงตาย
ในตำราบันทึกไว้เลือนรางมาก
แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน
จักรพรรดิต้าสุยทุกท่านก่อนขึ้นครองราชย์ จะต้องประกาศต่อใต้ฟ้าว่าจะนั่งบัลลังก์จักรพรรดินี้
แต่ไม่ได้ปลุกกลิ่นอายสังหารของบัลลังก์จักรพรรดิ
นี่เหมือนกับบัลลังก์ที่ธรรมดาที่สุด แต่มีอย่างหนึ่งที่ต่างออกไป เจ้าต้องมีสายเลือดจักรพรรดิ ขอแค่มีจางๆ มีสัมพันธ์อ่อนๆ ก็จะนั่งบัลลังก์จักรพรรดินี้ได้
หลี่ไป๋จิงมองบัลลังก์จักรพรรดินี้ ไข่มุกเชื่อมสวรรค์นั้นลอยอยู่เหนือบัลลังก์จักรพรรดิเงียบๆ ที่นี่เป็นสุดทาง…บิดาของตนวางบัลลังก์จักรพรรดิไว้เช่นนี้ตรงหน้าตน ไม่มีทิ้งคำพูดอะไรไว้เลย
นี่หมายความว่าอย่างไร
สองคน ใครนั่งก่อน คนนั้นก็เป็นเจ้าของใต้ฟ้าในภายภาคหน้ารึ
หลี่ไป๋จิงก้มหน้าลง ส่ายศีรษะเบาๆ กลิ่นอายของบัลลังก์จักรพรรดินี้ซ่อนอยู่ภายในหมอก ไม่ได้มีอำนาจจักรพรรดิสูงส่ง เขาไม่เชื่อว่าบิดาตนจะวางบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ไว้ที่นี่ ที่นี่คือภูเขาแดง คือก้นทะเลพลิกผันเหนือสุดแดนอุดร ไม่ใช่อยู่ในเขตต้าสุย
สมบัติสุดยอดล้ำค่ายิ่งอย่างบัลลังก์จักรพรรดิ จะวางที่นี่ได้อย่างไร
“ของปลอม”
เสียงหลี่ไป๋หลินพลันดังแว่วมา
องค์ชายรองขมวดคิ้ว เขามองหลี่ไป๋หลินในชุดคลุมขาวโบกสะบัด ยืนอยู่ที่เดิมดุจรูปปั้นหิน ไม่ขยับไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
หลี่ไป๋หลินรู้สึกได้ถึงสายตานี้
เขาเอ่ยนิ่งๆ อีกครั้ง “ข้าเดา”
…….
ไม่มีคำพูดมากกว่านี้
ท่านพ่อไม่ได้บอกใบ้อะไรไว้เลย
ก็เหมือนหลายปีมานี้ ความจริงไม่ค่อยพบหน้ากันเท่าไร สายเลือดระหว่างบิดากับบุตรพวกเขายุ่งเหยิง จางลงถึงที่สุด มาภูเขาแดงนี้ เป็นเจตนาจากในวัง ทุกอย่างเหมือนปริศนา
ลุยข้ามแม่น้ำ ไม่รู้ลึกตื้น
ที่นี่มีเพียงเส้นทางมืด หมอกที่สลายไปแล้ว แสงไข่มุกเชื่อมสวรรค์ริบหรี่
และยังมีบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแกะสลัก
“ข้าอยากนั่ง แต่ข้าไม่กล้านั่ง” หลี่ไป๋หลินมองบัลลังก์นั้น เขามองพี่ชายของตนพลางพูดเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “ข้าเดินมาถึงที่นี่แล้ว แต่ข้าได้แต่ยืนดูอยู่ตรงนี้…”
องค์ชายสามชะงักไปก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่น่าจะเป็นความคิดของเจ้าตอนนี้กระมัง”
หลี่ไป๋จิงเงียบ
“ความจริงข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” องค์ชายสามก้มหน้าหลุบตาลง “ไม่ว่ามันจะเป็นของจริงหรือปลอม มันก็มีความหมายเหมือนกัน นี่คือตำแหน่งของเจ้าของต้าสุยในภายภาคหน้า พี่รอง…พวกเขาเกิดมาสูงส่งกว่าใคร และยังมาถึงที่นี่ ใครบ้างไม่อยากนั่งตำแหน่งนี้”
“ไม่ว่าเจ้าคิดอย่างไร ข้าก็อยากต่อสู้แย่งชิง ไม่กลัวต้องจ่ายเพื่อสิ่งนี้ ถึงตายก็ไม่เป็นไร” หลี่ไป๋หลินมองไข่มุกเชื่อมสวรรค์นั้น คำพูดไม่มีความเกรงกลัวใดๆ เลย เขาใจกว้างมาก น้ำเสียงเรียบนิ่งถึงที่สุด เพราะรู้ว่าที่นี่คือภูเขาแดง ดังนั้นหลี่ไป๋หลินจึงเหยียดหลังตรง ไม่ได้กลัวพี่รองข้างกายตน
หลี่ไป๋จิงเงียบ อึ้งไปเล็กน้อย
ในการต่อสู้ลับๆ มาตลอดยี่สิบสี่ปีนี้ เขาไม่เคยเห็นน้องชายตนอยู่ในท่าทางเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้พูดไม่ออกนิดๆ รู้สึกขำหน่อยๆ
“เสด็จพ่ออยากให้เราสองคนเห็นสิ่งที่เหมือนกัน” หลี่ไป๋หลินพูดต่อนิ่งๆ “ข้าไม่อยากคิดอะไรมาก และไม่อยากเข้าใจอะไรมาก…ข้าแค่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมด จริงกับปลอม เสด็จพ่อรู้ดีที่สุด ในนี้ไม่มีคำโกหกทั้งนั้น”
“ในเมื่อเจ้าไม่หวาดหวั่นเช่นนี้…” หลีไป๋จิงพูดราบเรียบ “ตอนนี้เจ้าเห็นแล้ว เหตุใดถึงไม่ไปนั่งดูหน่อยล่ะ”
หลี่ไป๋หลินไม่ได้ตอบคำถามนี้ทันที
ทุกคำที่เขาพูดในเส้นทางภูเขาแดงต้องผ่านการตรึกตรองอย่างระมัดระวัง
เขาต้องมั่นใจว่าตนพูดความจริง
ดังนั้นหลังจากเงียบอยู่นานก็พูดปลงเสียงเบา
“ข้ายังไม่พร้อม”
หลี่ไป๋หลินมองบัลลังก์จักรพรรดินั้น ในดวงตาถอดความปรารถนาลงไปช้าๆ เขายังคงสติของตนไว้ รู้ว่าตนจะพูดอะไร จะทำอะไร บุรุษหนุ่มชุดคลุมขาวหันหน้ามาช้าๆ มองพี่ชายของตน “สุดทางภูเขาแดงเป็นบัลลังก์นี้…หากอยากออกจากที่นี่ ทางนั้นของบัลลังก์ก็คือทางออก หากไม่มีอะไรผิดพลาด หลังนั่งบัลลังก์ ภูเขาแดงเปิดเส้นทาง การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะรู้ผล”
หลี่ไป๋หลินเอ่ยเสียงเบา “หากนั่งบัลลังก์ของภูเขาแดงหมายความว่าจะชนะในวันล่าเหยื่อ เช่นนั้นชัยชนะครั้งนี้ก็จะยกให้เจ้า…ต่อให้กลับไปเมืองหลวง เสด็จพ่อก็จะส่งทรัพยากรมาให้อย่างเต็มที่ นั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ”
องค์ชายรองมองน้องชายที่ไม่เยาว์วัยอีกของตน
เขานึกถึงไฟป่าครั้งนั้นที่จวนน้ำค้าง คุณชายแดนประจิมเคยให้สองคำที่คลุมเครืออย่างยิ่งไว้กับตน
เขารู้สึกว่าน้องชายของตนเติบใหญ่ขึ้นจริงๆ แล้ว มีสติปัญญา แสดงละครเก่ง ในเส้นทางภูเขาแดงนี้ ทุกคำพูดพูดได้อย่างสวยงามและตรงไปตรงมา… ‘เสียสละ’ โอกาสที่จะชนะการเดิมพันครั้งนี้ ยกบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ที่ใหญ่มากกับตน
แต่น่าเสียดายมาก
หลี่ไป๋จิงพูดปลงเสียงเบา “บัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ น่ายำเกรง ข้าไม่กล้านั่งหรอก อีกทั้งยังไม่อยากเอาเปรียบเจ้า”
นี่เป็นเหตุผลที่ดีมาก หลี่ไป๋จิงเดิมพันเช่นกัน
บัลลังก์นี้ ใช้มองดูมาตลอดในกาลเวลายาวนานของต้าสุย
แค่ดูก็พอ
อย่าว่าแต่นั่งเลย
แค่เข้าใกล้เขายังไม่อยากเข้าใกล้
ยิ่งเป็นสิ่งที่สวยงามเท่าไรก็ยิ่งมีพิษมากเท่านั้น
องค์ชายรองที่รู้ลึกถึงหลักการนี้ประสานมือคารวะเบาๆ เอ่ยกับไข่มุกเชื่อมสวรรค์เสียงนุ่ม “เทียบกับนั่งตำแหน่งนั้น ให้ภูเขาแดงเปิด ตัดสินแพ้ชนะ ข้ายอมละทิ้งโอกาสนี้…”
หลังจากชะงักไป องค์ชายรองก็ถอนหายใจ “หากเสด็จพ่อไม่มีความหมายอื่นมากกว่านี้ เช่นนั้นไป๋จิงก็จะขอกลับไปทางเดิม”
เงียบ
ทางนั้นของไข่มุกเชื่อมสวรรค์ไม่มีเสียงตอบรับ
…………………………..