เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 142 เจ้าเข้ามา
ตอนที่ 142 เจ้าเข้ามา
ดาบเรียบทองเงินที่เปล่งประกายระยิบระยับกลางแสงอ่อนบนฟ้านั้น
เกิดเสียงดังกึก
หักเป็นสองท่อน
เจียงหลินที่ยกสองแขน ถือดาบในท่าป้องกัน ในดวงตาสะท้อนแสงตัวดาบแตกหัก เขาเหม่อมองดาบยาวนี้ อาวุธเทพที่บิดาให้ตนไว้ท่องโลกหล้า หักกลางแล้ว
เจตจำนงกระบี่ยืดยาวไหลผ่านพินิจเหมันต์ฟาดเข้าไปที่ตัวดาบ เจตจำนงกระบี่ที่ซ้อนทับกันสั่นสะเทือน สุดท้ายกระเทือนดาบยาวล่าวารีแตก
ทว่าตอนนี้เจียงหลินไม่ได้เหม่อเพราะเรื่องนี้
เด็กหนุ่มที่ลงพื้นเอ่ยนามของตน
“หนิงอี้…”
นามนี้ทำให้เจียงหลินขมวดคิ้ว เขาพยายามนึกถึงตอนที่ตนท่องใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ มีคนหนึ่งเคยพูดกับเขา
ใต้ฟ้าต้าสุยกำลังต้อนรับยุคสมัยใหม่ บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายมีความสง่าของมังกรหงส์ จำศีลไม่ออกมา ลั่วฉางเซิงที่ปกครองยุคสมัยทะลวงขอบเขตที่สิบ ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจทางนี้แทบจะไม่มีใครเทียบกับเซียนจุติต้าสุยได้ อัจฉริยะที่เหลือ เยี่ยหงฝู เฉาหลัน นามพวกนี้ เจียงหลินเคยได้ยินมาก่อน
คนที่ต่ำลงไปกว่านั้น ผู้เฒ่าแห่งเมืองธารน้ำคนนั้นเคยเอ่ยถึง เป็นสี่คุณชายใหญ่ของจวนขานฟ้าเมืองหลวง หลิ่วสืออีไร้พ่ายขอบเขตที่เจ็ดแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่แดนประจิม นักพรตสวีอวี๋แห่งเขาล่องโอฬารแดนบูรพา อารามยอดเสียงอัสนีเขาวิญญาณสำนักเต๋า เจ้าตระกูลเจ้าตำหนักสวรรค์จวนปฐพี นามพวกนี้เป็นผู้บำเพ็ญที่จะมีชื่อเสียงเลื่องลือใต้ฟ้าต้าสุยในอนาคต…นามพวกนี้อยู่ในมือของหยวนฉุนแห่งหอบัว ขีดเขียนลงมา บ้างถูกผูกไว้บนหอสูง รอตอนนั้นที่สิ้นธุลีและเปล่งแสง บ้างเดินออกจากเขาศักดิ์สิทธิ์ เตรียมเผยประกายคมต่อชาวโลก
ดังนั้นถึงได้มี…รายนามที่ทุกคนใต้ฟ้าต้าสุยแหงนหน้ามอง
ดาราบนฟ้า เซียนบนดิน แสงสว่างสุกสกาว ดาราอ่อนแสง
รายนามดารา
คนในรายนามนี้คืออัจฉริยะที่จะทำให้ดาราอ่อนแสงลงในอนาคตอันใกล้นี้
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญป่าเขาลำเนาไพรหรือรุ่นเยาว์เขาศักดิ์สิทธิ์ ขอแค่มีโอกาสเสี้ยวหนึ่งได้เปล่งแสงในใต้ฟ้าแห่งนี้ ก็จะถูกจัดเข้ารายนาม
หยวนฉุนแห่งหอบัวมีวิชาทำนายไม่แพ้ให้กับผู้เฒ่าเมืองธารน้ำใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ อยู่มาสี่ร้อยกว่าปี การพยากรณ์ ทำลายดีชั่ว ได้รับขนานนามว่าเบ็ดไผ่คันเดียวก็ตกมังกรกิเลนฉลามวาฬได้ทั้งใต้ฟ้าต้าสุย มีเงินทองซื่อตรง ห่อดวงชะตาทั้งใต้ฟ้า ไม่ให้รั่วไหลเด็ดขาด…นั่งตำแหน่งราชครูต้าสุย ตอนนี้อยู่มาสี่ร้อยปีไม่เคยพลาดเลยจริงๆ
เนื้อความในรายนามดาราไม่ใช่ว่าจะหยุดนิ่ง ไม่จัดรายนามก็มีเยอะ ก่อนงานราชวงศ์ใหญ่ต้าสุย อันดับในรายนามยากจะยืนยันความแข็งแกร่งและอ่อนแอได้ ในสี่หมื่นลี้ต้าสุยนี้ มีอัจฉริยะปรากฏมาไม่ขาดสาย บ้างโผล่เพียงปลายเขา ให้ทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์ทุ่มกำลังบ่มเพาะได้ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร ปิดด่านบำเพ็ญอยู่ส่วนลึกของเขาศักดิ์สิทธิ์ รอสร้างความตกใจในทีเดียว
ในใต้ฟ้าต้าสุย นามพวกนั้นที่โชคดีเจียงหลินจำได้ ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้
เพียงแต่คนที่มาฝึกฝนเป็นตายที่แดนอุดรก็มีเพียงเฉาหลัน
สำหรับอัจฉริยะที่ปิดด่านบำเพ็ญไม่ออกมาพวกนี้ เจียงหลินดูถูกมาตลอด ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจก็มีอัจฉริยะมากมายเช่นกัน มีสายเลือดแข็งแกร่งของราชวงศ์ แต่ไม่ยอมออกท่องแดนอุดร สู้กับเผ่ามนุษย์ เอาแต่แสวงหาโชควาสนา หนีศัตรูฝึกบำเพ็ญ
เสด็จพ่อของเขาเคยเป็นยอดปีศาจสายเลือดบุพกาลจากยุคหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว เคยสู้กับจักรพรรดิบรรพจารย์ของต้าสุย เล่าลือว่าทัดเทียมกับความเป็นอมตะ ส่วนตนตอนนั้นเป็นเพียงตัวอ่อนที่ซ่อนโลหิตบริสุทธิ์ชีวิตกิเลนไว้ วิวัฒนาการมาไม่รู้กี่ปี โชคลิขิตสมพงศ์ ตัวอ่อนถึงเติบโต จนเมื่อเขาเปิดสติปัญญา ออกมาจากบ้านกิเลน ถึงรู้ว่าบิดาตนสู้รบจนตัวตายไปแล้ว
ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจกับใต้ฟ้าเผ่ามนุษย์ ตอนนี้ดูแล้วคงคล้ายๆ กัน
ทุกคนกำลังรอโชควาสนาบางอย่าง
เพียงแต่ว่ามีคนหนึ่งเป็นข้อยกเว้น
นามนั้นพุ่งขึ้นสูงจุดสูงสุดของเมืองหลวงต้าสุยในคืนเดียว
แดนประจิมของต้าสุยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาจากอารามรกร้าง วันนั้นที่มีชื่อเสียง หยวนฉุนในหอบัวพยากรณ์ ลบนามของลั่วฉางเซิงออก และคนที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่เยี่ยหงฝูหรือเฉาหลัน และยิ่งไม่ใช่อัจฉริยะบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ได้แต่แหงนหน้ามองมากมาย
แต่เป็นคนธรรมดาที่ชื่อหนิงอี้
ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจได้ยินข่าวนี้เช่นกัน ตอนนั้นเจียงหลินได้ยินก็แค่ทำเสียงฮึดออกจมูก วันนั้นประจวบเหมาะกับยอดปีศาจมากมายมารวมกันที่เมืองธารน้ำ นักพยากรณ์เปิดแท่นบวงสรวงสนทนามรรค ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป ไม่มีใครตกใจเลย
ใต้ฟ้าต้าสุยไม่ได้ปรากฏอัจฉริยะที่แท้จริงมานานมาก ‘กระบี่เทพมรรค’ สามคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเมื่อสิบปีก่อน ไม่ได้ก้าวมาทะเลพลิกผันแดนอุดรอย่างแท้จริง ไม่ได้สู้กับยอดปีศาจสูงสุดของเผ่าปีศาจ
ยอดผู้บำเพ็ญส่วนหนึ่งของเผ่าปีศาจคิดว่าต้าสุยตกต่ำแล้ว ผู้บำเพ็ญที่ถูกคุยโวขึ้นฟ้าพวกนั้นก็ได้แค่เท่านั้น
ดังนั้นความตายของสวีจั้งที่สั่นสะเทือนต้าสุย ดังมาถึงใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ก็เป็นเพียงสายลมใบไม้ร่วง แม้แต่หญ้าบนที่ราบสูงเทพสวรรค์ยังไม่พลิ้วไหว พวกเขาไม่เคยเห็นปราณกระบี่ของสวีจั้ง ดังนั้นเลยไม่ได้ตกใจร่วมด้วยกับข่าวนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงรู้สึกเสียดายหรือดีใจ
แต่เจียงหลินจำได้มาตลอดว่าผู้เฒ่าเมืองธารน้ำที่มีบุญคุณกับตนเคยพูดไว้เช่นนี้
‘สองใต้ฟ้า สิบปีมานี้ หากมีผู้บำเพ็ญคนเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นเซียนกระบี่…’
คนนั้นจะต้องเป็นสวีจั้งแน่นอน
เจียงหลินจำคำพูดนี้ไว้
ดังนั้นวันนั้นที่สวีจั้งตาย หนิงอี้ที่รับพินิจเหมันต์จากสวีจั้งและสืบทอดปณิธานเซียนกระบี่ในอนาคต จึงถูกเจียงหลินจดจำไว้เช่นกัน
ยอดปีศาจกิเลนหนุ่มวางสองมือซ้ายขวาลงช้าๆ
ก็ยังคงจับดาบ
ดาบหักล่าวารีแตกเป็นเสี่ยงๆ สะท้อนแสงสีขาวซีด
เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้า
เอ่ยคำว่าหนิงอี้ในใจ ความเจ็บปวดในร่างกายถูกเขาโยนไว้ข้างหลัง
……
สวีชิงเยี่ยนหน้าซีดขาว นางประคองหนิงอี้ข้างกายไว้
ใบหน้าหนิงอี้ยังคงสงบนิ่ง แต่เสียงอ่อนแรงมาก ใช้เสียงที่หุ้มด้วยความเป็นเทพที่เหลือส่งไปถึงหูสวีชิงเยี่ยน
“ประคองข้าไว้”
สวีชิงเยี่ยนรู้ว่ายอดปีศาจหนุ่มนั่นมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา ดาบยาวล่าวารีในมือนั้นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต้องเป็นอาวุธเทพที่มีชื่อเสียงแน่นอน…นางไม่คาดคิดเลยว่าหนิงอี้จะกระโดดขึ้นไปและฟันกระบี่ลงมาเช่นนี้
ดาบยาวแยกเป็นสองส่วน แตกหักลงตรงนี้
สองคนแนบชิดกัน ห่างกับยอดปีศาจนั่นสิบกว่าจั้ง นี่ไม่ใช่ระยะปลอดภัย ตรงกลางยังเกิดฝุ่นควัน คลื่นปราณกระบี่ที่เหลือพุ่งใส่ตำหนักใหญ่ ทำให้โดยรอบมีหินแตกตกลงมา กระทบพื้น กลิ้งกระจายไป
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก มองตรงหน้าด้วยความตึงเครียดมาก กังวลว่ายอดปีศาจนั่นจะพุ่งเข้ามาตลอดเวลา
สภาพร่างกายหนิงอี้ตอนนี้ ดูจากการพูดของเขาเมื่อครู่ก็อนาถถึงที่สุดแล้ว
การใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัดทำให้ร่างกายหนิงอี้ฝืนเหมือนตอนถนนนิมิตชาดอีกครั้ง ทำให้เขาต้องนอนในจวนหลายวัน อ่อนล้าไปทั้งตัว ต่อให้ยกระดับไปขอบเขตหลัง ความเจ็บปวดจากการใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัดก็ยังต้องกัดฟันสู้ แต่จะให้สู้อีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
“เจ้าวางใจเถอะ”
“วิชากระบี่จากฟ้านี่ สวีจั้งเป็นคนสอนข้า มีอานุภาพสูงมาก วิชากระบี่แข็งมาก…เขาต้านไม่ไหว”
หนิงอี้แสยะปากยิ้ม เขาจ้องไปข้างหน้า ร่างกำยำกลางฝุ่นควันนั้นลดสองแขนลงช้าๆ ต่างถือดาบหักคนละท่อน แน่นิ่งไม่โคลงเคลง ดูมั่นคงเหมือนหินก้อนใหญ่ แต่ความจริงหนิงอี้รู้แก่ใจดีที่สุด ตนจ่ายไปมากขนาดนี้ ล่าวารียังแตกแล้ว ยอดปีศาจนั่นจะไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไร
แผ่นหลังของเจียงหลิน ชุดคลุมหยาบสีขาวถูกคลื่นปราณกระบี่ฟันเป็นสองส่วน ขาดจากตรงกลาง กระบี่นี้ทำลายล่าวารี ปราณกระบี่ไหลเข้าไปในกาย ลายลึกลับสีทองดำมากมายไหลเวียน ฝุ่นควันไม่ได้สลายไปทันที เพราะตอนนี้ ยอดปีศาจนั่นที่รับกระบี่ของหนิงอี้ไม่ได้พุ่งเข้ามาเหมือนเดิมอีก
ภายในฝุ่นควัน เจียงหลินกระแอมไอเบาๆ
“หนิงอี้…กระบี่เมื่อครู่ของเจ้า สวีจั้งเป็นคนสอนเจ้า”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาปักพินิจเหมันต์ ได้สวีชิงเยี่ยนประคองไว้ ไม่ได้เลี่ยงเจียงหลินที่เอ่ยถึงนามสวีจั้งเลย
“ใช่”
“หากเจ้ายังมีแรงก็เข้ามาฆ่าข้าเลย…แต่เจ้าไม่มี”
ยอดปีศาจหนุ่มนั่นไม่รู้กำลังคิดอะไร พอเอ่ยก็มีความแหบสามส่วน และยังมีปลงอนิจจังเจ็ดส่วน ตอนที่เขาเอ่ยถึงคำว่า ‘แต่’ ก็ได้จงใจเน้นน้ำเสียง มีความเย้ยเยาะส่วนหนึ่ง “นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีแรงมากกว่านี้ ไม่มีเลยสักนิด”
หนิงอี้เงียบ
“เจ้าไม่ใช่แค่ชูกระบี่ไม่ได้ แม้แต่แรงใช้ยันต์ยังไม่มี…” เจียงหลินชะงักไป เงาเขาอยู่กลางฝุ่นควัน เหมือนรูปปั้นแน่นิ่ง หากเพ่งมองไป สองมือที่ถือดาบหักลง ความจริงกำลังสั่นสะเทือนเบาๆ และต่อเนื่อง สลายอำนาจของกระบี่นั้นที่เหลืออยู่
ปราณกระบี่ของหนิงอี้อยู่ในกายเขา กลิ้งไปมาในเลือด พลังของกระบี่นี้เหี้ยมโหดมาก แต่เจียงหลินมีสีหน้าไร้ความรู้สึก รับได้อย่างไร้กังวล
เขามองหนิงอี้พลางยิ้มเย้ยเยาะ “พูดให้ถูกคือสู้กันถึงตอนนี้ เจ้าไม่มียันต์แล้วสิ”
หนิงอี้ก้มหน้าลง
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกว่าจะประคองเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ไหวนิดๆ นางกลัดกลุ้มมาก หนิงอี้สวมอะไรเอาไว้ถึงได้หนักขนาดนี้
“ไม่ต้องประคองข้าแล้ว…” หนิงอี้พูดจบก็พ่นลมหายใจยาว
ผ่อนลมหายใจผ่อนคลาย
สวีชิงเยี่ยนปล่อยสองมือด้วยความกังวลเล็กน้อย
เกิดเสียงดัง ‘แก๊ง’
หนิงอี้ปักพินิจเหมันต์ลงพื้น
ทว่าเขาไม่ได้ใช้สองมือปักกระบี่ แต่ใช้ท่วงท่าที่สง่างามองอาจฝืนยันอยู่กับที่ พูดกับยอดปีศาจนั่นอย่างอวดดี บอกว่าเจ้าเข้ามา
เขาไม่ได้ใช้มือเดียวประคองพินิจเหมันต์ แต่นั่งลงช้าๆ อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ พูดกับเจียงหลินด้วยรอยยิ้ม ข้าให้เจ้าหนึ่งก้านธูป รอเจ้าฟื้นพลังแล้วค่อยมาสู้กันใหม่
หนิงอี้ปีกพินิจเหมันต์แล้ว
เขาเอนไปข้างหลังเล็กน้อย จากนั้นเอาหลังพิงผนังหิน ไหลลงช้าๆ จนก้นถึงพื้น สวีชิงเยี่ยนมองเด็กหนุ่มด้วยความงุนงง ใช้ท่าทางที่เรียบร้อยยิ่งนั่งลงพื้น แยกสองขา จากนั้นถอนหายใจเบาสุขสบาย
“เจ้าพูดถูกมาก ข้าไม่มีแรงแล้ว ไม่มีเลย แต่ข้ายังมีแรงเขียนว่าหนิงอี้มาถึงที่นี่บนผนังหินภูเขาแดง ยังมีแรงเขียนเติมไปข้างหลังอีกว่าดาบหักสองท่อนเป็นที่ระลึก” หนิงอี้นั่งลงแล้ว เขาก็มองเงาในฝุ่นควันนั้นพลางยิ้มเล็กน้อย “ข้ายังมีแรงด่าเจ้า หัวเราะเยาะเจ้า…”
“เจ้าเจียงหลินคือขยะของใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ความอัปยศและพวกขี้แพ้…เจ้าเจียงหลินคือตัวตลกของเผ่ากิเลน เป็นลูกกำพร้าของแดนอุดร…”
คำพูดแต่ละคำ
หนิงอี้พูดพวกนี้ก็เพื่อยืนยันว่าตนยังมีแรง ตอนที่เขาพูดถึงช่วงสุดท้ายก็เหนื่อยนิดๆ หน้าอกขยับขึ้นลง พักอยู่ชั่วครู่จากนั้นถามอย่างจริงใจ
“เจ้าล่ะ ยังมีแรงหรือไม่”
“เจ้าเข้ามา!”
……………………….