เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 132 ผ่านไปพันปี สุสานเปิดออกอีกครั้ง
ตอนที่ 132 ผ่านไปพันปี สุสานเปิดออกอีกครั้ง
“เลือดกิเลนอร่อยจริงๆ…ให้ข้าดื่มอีกสักอึกได้หรือไม่”
คำพูดนี้ดังก้องสุสานก้นสมุทรภูเขาแดง หนิงอี้ที่พูดออกมาหน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นแรง เช็ดคราบเลือดแล้วก็ตั้งสมาธิแน่วแน่ จับพินิจเหมันต์ใหม่อีกครั้ง
คอด้านขวาของเจียงหลินเกิดความเจ็บปวดทะลวงหัวใจแสบร้อน ตรงนี้ถูกหนิงอี้กัดไปทั้งเลือดและเนื้อ พลังเลือดลมกิเลนกลุ่มใหญ่กระจายออกมา สำหรับเขา เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่เจ็บปวด แต่ยังน่าอัปยศยิ่งกว่า
โลหิตบริสุทธิ์กิเลนกระจาย
เขาจ้องหนิงอี้
ไม่คาดคิดเลยว่ากายและจิตที่ตนหล่อหลอมมาดุจเหล็กทอง เหตุใดถึงถูกมนุษย์เช่นนี้กัดฉีกได้
หนิงอี้แสยะปากยิ้ม เผยฟันขาวหิมะ เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร…มีที่ราบกระดูกเสริมพลัง อย่าว่าแต่ร่างเลือดเนื้อของยอดปีศาจกิเลนนี่เลย ต่อให้เป็นเหล็กบริสุทธิ์พันปีที่แท้จริง เขาก็ยังกัดแตกได้!
…….
สองคนกำลังยืนกรานหน้าสุสานก้นสมุทร
แดนต้องห้ามโบราณแห่งนี้หลับใหลมานาน ไม่รู้ว่าไม่เคยเปิดมากี่ปีแล้ว ตำหนักยักษ์โอ่อ่ายิ่งนั้นตั้งอยู่กลางน้ำทะเลหมื่นชั่ง ผนังหินเก่าแก่ล้อมรอบสี่ด้านแกะสลักหัวสิงโตยักษ์ ใบหน้าต่างกัน มีทั้งเมตตาเศร้าโกรธ กำราบเก้าทิศทางของฟ้าดินแห่งนี้ มองการเปลี่ยนแปลงของเวลาร้อยปีพันปีอย่างสงบนิ่งและเฉยชา
ผู้บำเพ็ญที่ยังไม่ทะลวงขอบเขตที่สิบสองคน แสงดาราและพละกำลังทั้งหมดถูกผนึก การต่อสู้ที่นี่ดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่ความจริงมองจากมุมสูง เป็นเพียงการต่อสู้ของมดปลวก
เทียบกับยอดปีศาจเชื่อมฟ้าที่แท้จริง กิเลนนั่นตรงหน้าหนิงอี้ก็เป็นเพียงเด็กน้อย
หลังหนิงอี้กินเลือดกิเลนเข้าไป รู้สึกไฟลุกท่วมทั้งตัว เลือดเดือดพล่าน พร้อมจะพุ่งทะลักตลอดเวลา แต่เขาไม่รีบร้อนลงมือ
ทุกการใช้ความเป็นเทพ จะเป็นการทุบค้อนใส่ร่างกาย ต่อให้จิตใจของหนิงอี้จะแบกไว้ได้ แต่ร่างกายก็ต้องการเวลาพักบ้าง น่าเสียดายตอนนี้พลังบำเพ็ญของหนิงอี้ต่ำเกินไปหน่อย ที่ราบกระดูกหล่อหลอมกายและจิต เกี่ยวข้องกับพลังบำเพ็ญแสงดารา หากหนิงอี้ไปถึงขอบเขตที่เจ็ด เช่นนั้นกายและจิตเขาก็จะก้าวกระโดดไป
อย่างน้อยแดนต้องห้ามแห่งนี้ หากเผชิญหน้ากับกิเลนที่ไม่กลายร่างหรือใช้วิชาลับ เช่นนั้นก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนอีก
หนิงอี้หรี่ตาลง แรกเริ่มเป็นศึกหมัดเท้า เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่ไม่ใช้กลอุบายพรสวรรค์ แต่ใช้การต่อสู้ระยะประชิดก็ยังเข้าใจได้ว่าเป็นความโอหังที่ตนเป็นอัจฉริยะ เจียงหลินรู้ตัวเองว่าเป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงสุดใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ต่อให้ไม้มีวิชาพรสวรรค์อะไรก็ยังกำราบอีกฝ่ายได้
นี่ก็คือ ‘บุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์’ ที่ว่า
ทว่าเลือดเนื้อกิเลนชิ้นหนึ่งของเขาถูกหนิงอี้กินไป ตอนนี้ไฟโทสะพุ่งขึ้นฟ้า วางภาระลงแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ…
ตรงคอเจียงหลินปรากฏสายฟ้าสีทองดำเล็กๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนมีคนถือพู่กันวาดเค้าโครง ทาไปอย่างแนบเนียน ระยะห่างราวๆ หนึ่งหมัดจากบาดแผลเขา แผ่สายฟ้าสีทองดำออกมา วนเวียนไปมา ก่อนจะปกคลุมลงมาช้าๆ หลอมรวมเข้าไปในผิวหนัง
หนิงอี้รู้ว่านี่คือวิชาลับของสายเลือดกิเลน
ลายสีทองดำไหลเวียนบนผิวหนัง ลุกลามไปถึงครึ่งแก้ม ใบหน้าเจียงหลินไม่ได้โกรธเกรี้ยวอีก แต่เย็นลงช้าๆ จ้องหนิงอี้เขม็ง
สายเลือดกิเลนเป็นเผ่าต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่ง ไม่ว่าเจอศัตรูแบบใด พวกเขายังคงรักษาความใจเย็นถึงที่สุดในการต่อสู้ได้ มั่นใจว่าตนจะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ
เจียงหลินดึงดาบออกมาดัง ‘บึ้ม’ ครั้งนี้ล่าวารีไม่เปล่งแสงสว่างอีก แต่มาพร้อมกับสีดำสนิท ตอนชักดาบแสงดำปรากฏขึ้น ใต้เท้าเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ ตัวเหมือนถูกคนผลักอย่างแรง พุ่งเข้าไปราวกับลูกธนูหนัก
หนิงอี้หรี่ตาแคบลง เขาจับพินิจเหมันต์แน่นและพุ่งเข้าไปพร้อมกัน ทว่ากิเลนที่อยู่ไกลเร็วมาก หนิงอี้เพิ่งก้าวก็เห็นแสงดำพุ่งมาตรงหน้า รีบจับกระบี่ฟัน คมพินิจเหมันต์ฟันจากล่างขึ้นบน ลากเศษหินแตกเป็นพรวน นี่คือ ‘เหมันต์พันกอง’ ในคัมภีร์กระบี่เขาสู่ซาน สังหารศัตรู คมกระบี่ยกขึ้นตัดผ่าน ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันอีกฝ่ายเป็นสองส่วนซ้ายขวา เลือดกระจายเหมือนหิมะตกหนัก เน้นที่การออกกระบี่เร็ว ตาเนื้อมองเห็น แต่ปัดป้องไม่ทัน
ทว่าดาบนั้นเร็วขึ้น
หนึ่งบนหนึ่งล่างปะทะกัน
พลังมหาศาลจากดาบยาวล่าวารีสีดำทำให้พินิจเหมันต์ของหนิงอี้แทบจะหลุดจากมือ พลันถูกกดลงพื้น หัวไหล่เจียงหลินกระแทกหน้าอกหนิงอี้ ใบหน้าคนข้างหลังพลันขาวซีด แทบกระอักเลือด ต้านการชนไหล่ครั้งนี้ไว้ได้ แม้จะไม่ถูกชนกระเด็น แต่ก็แทบจะถูกชนล้มในทีเดียว
ดินหินกระเทือนขึ้นระหว่างสองฝ่าย จากนั้นแหลกเป็นเสี่ยงๆ
เจียงหลินถือดาบด้วยมือเดียวกดพินิจเหมันต์ลง ชกหมัดเข้าที่หน้าหนิงอี้ ผู้บำเพ็ญเผ่าปีศาจให้ความสำคัญกับ ‘ตาต่อตาฟันต่อฟัน เลือดล้างคืนด้วยเลือด’ ความอัปยศที่ได้รับเมื่อครู่ เขาจะคืนกลับไปเป็นสิบเท่าร้อยเท่า!
หมัดนี้มีเสียงพายุสายฟ้าดังสนั่น วิชาลับพรสวรรค์ของเผ่ากิเลนสำแดง สายฟ้าสีทองดำห่อหุ้มผิวกำปั้น ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ หนิงอี้ยื่นฝ่ามือไปกันไว้ข้างนอก ทั้งตัวถูกอัดกระเด็นออกไป พละกำลังของหมัดนี้แกร่งกว่าก่อนเกือบสิบเท่า
ยอดปีศาจนั่นพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สองคนชนกัน เจียงหลินอยู่หน้า หนิงอี้อยู่หลัง หน้าหลังชนเสาหินยักษ์ถล่มไปสามสี่ต้น ชนจนมาถึงผนังหินตำหนักโอ่อ่านั้น ผนังหินแตกเหมือนสายน้ำ ข้างหลังหนิงอี้เว้าลงไปแตกเป็นใยแมงมุมยักษ์
หนิงอี้ใช้สองมือจับสองปลายของพินิจเหมันต์ ปากและจมูกมีเลือดไหลมาจำนวนมาก จากการปะทะกันเมื่อครู่ อีกฝ่ายเหมือนกระทิงที่มีกำลังไร้ขีดจำกัด ใช้หนึ่งกำลังชนะหมื่นวิชา หากตนต้านพลังอีกฝ่ายไม่ได้ ก็ได้แต่ต้องรับรองว่าจะไม่ถูกอัดเละในทีเดียว จะได้ไม่โดนยอดปีศาจนี่ทุบตีตาย และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทุบตีต่อเนื่อง
พละกำลังตรงหน้าเบาขึ้นมา
หนิงอี้มีโอกาสผ่อนคลายช่วงสั้นๆ แผ่นหลังเขาเพิ่งออกจากผนังหินก็ได้ยินเสียงดังสะท้านหู
เงยหน้าขึ้น
เจียงหลินพุ่งถอยไปข้างหลัง เขารวดเร็วยิ่ง ปลายเท้าถีบพื้นหลายครั้ง กระโดดถอยไปหลายที ทิ้งระยะห่างไปสามสี่สิบจั้ง สายตาจ้องเด็กหนุ่มที่ถูกตนพุ่งชนฝังกับผนังหิน ทันทีที่แผ่นหลังอีกฝ่ายออกจากผนังหิน เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหลัง พุ่งเข้าไปอย่างฉับพลัน สายน้ำดุจพายุหมุน น้ำวนกระจาย ตอนที่เข้าใกล้ยิ่งก็ชักล่าวารี พลันฟันดาบใส่พินิจเหมันต์ที่หนิงอี้ใช้สองมือจับสองด้านยกขึ้นมากัน
ตัวกระบี่ส่งเสียงร้องโหยหวน
หนิงอี้ร้องออกมาทีหนึ่ง เขาเพิ่งจะพ่นลมหายใจนั้นออกมาก็ต้องกลั้นใจอีกครั้ง ตอนนี้ถูกแรงมหาศาลพุ่งชน เกือบจะแตกพ่าย
เขาก้มหน้าลง กลั้นใจ แววตาจากมืดหม่นก็ค่อยๆ กลับมาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
ความโชคดีในโชคร้ายคือ…ต่อให้ตนอยู่ในสภาพอับจน หนิงอี้ก็ยังมีโล่หลังที่ใหญ่ที่สุด
ความเป็นเทพ
พลังจากดาบยาวสีดำนั่นไหลเข้าไปในตัวกระบี่พินิจเหมันต์แล้วก็อยากจะเข้าไปในกายหนิงอี้หลายครั้ง กลับถูกความเป็นเทพขวางไว้ ความเป็นเทพที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ส่งผ่านสะพานใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งนั้นในมือเด็กสาว ไหลเข้าไปในตันเถียนของหนิงอี้ นี่เป็นกระแสอุ่นช่วยชีวิต
ความเป็นเทพคือฟางช่วยชีวิตที่ใหญ่ที่สุด
หนิงอี้ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหากไม่มีความเป็นเทพ ตนจะเอาอะไรมาสู้กับยอดปีศาจ
และในตอนนี้ เด็กสาวที่ส่งความเป็นเทพในที่ราบกระดูกไม่หยุดนั้น หน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ พิงในมุมมืดของสุสานภูเขาแดง ตั้งแต่เริ่มสู้ นางก็หาที่ที่ปลอดภัยพักแล้ว
……
สวีชิงเยี่ยนพิงไปข้างหลัง ยันต์กันน้ำต่อต้านน้ำทะเล ความเป็นเทพจุดไฟเหมือนตะเกียง ส่องทลายเงามืดที่นี่
นางชิดหลังในเงามืดยักษ์
นั่นคือประตูบานหนึ่ง
ประตูโบราณของสุสานภูเขาแดงปิดสนิท ในสภาพแวดล้อมมืดมิด ถูกน้ำทะเลกัดเซาะมาหลายร้อยปีถึงพันปีก็ยังไม่มีร่องรอยสั่นคลอนหรือพังทลาย แต่ขึ้นสนิมมานานแล้ว ตอนนี้ถูกแสงความเป็นเทพส่องเผยใบหน้าแท้จริงมุมหนึ่ง ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นวัสดุลายทองสัมฤทธิ์ ด้านบนแปะยันต์นับไม่ถ้วน ยันต์พวกนี้กันน้ำไม่ได้ ดังนั้นจึงถูกแช่จนเปื่อยยุ่ย เสียสมรรถภาพไปแล้ว เหมือนเพื่อผนึกและกักขังบางอย่าง…และการที่มีประตูโบราณทองสัมฤทธิ์นี้ สิ่งที่ผนึกไว้ย่อมเป็นทั้งสุสานภูเขาแดง
สวีชิงเยี่ยนหน้าขาวซีดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
นางส่งความเป็นเทพเข้าไปในที่ราบกระดูกเรื่อยๆ ยิ่งหนิงอี้สู้กับยอดปีศาจนั่นนานเท่าไร ตนก็ต้องส่งไปมากเท่านั้น…เมื่อก่อนแม้ตนจะมีกายที่กำเนิดความเป็นเทพเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยใช้มากขนาดนี้มาก่อน ใต้ฟ้าต้าสุย บนแผ่นดินใหญ่ แทบจะหาภาชนะที่ใช้ความเป็นเทพไม่ได้เลย
นางได้ยินเสียงจู่โจมดังสนั่นก้นสมุทร อยู่ไกลและไม่ไกล ประตูทองสัมฤทธิ์สุสานภูเขาแดงถูกแรงปะทะหนักส่งผ่าน สั่นสะเทือนไม่หยุด
หนิงอี้ตั้งใจเลือกที่ที่ค่อนข้างไกล เพื่อไม่ให้อันตรายมาถึงตน ส่วนยอดปีศาจนั่นเหมือนอยากจะจับเป็นตน ดังนั้นจึงไม่ถือสาเช่นกัน…สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ดูจากความเร็วในการถูกสูบความเป็นเทพแล้ว ตอนนี้หนิงอี้ตกอยู่ที่นั่งลำบาก อีกทั้งเสียงพุ่งชนไกลๆ ทุกครั้งยังมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
นางพิงประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ของสุสาน ในความคิดมีเพียงคำถามเดียว
ควรทำอย่างไร
สวีชิงเยี่ยนกัดฟัน เหมือนตัดสินใจแล้ว
ความเป็นเทพอุ่นเริ่มไม่สงบนิ่งอีก
ภายในกายนาง ความเร็วในการกำเนิดหยดความเป็นเทพเริ่มเพิ่มขึ้น
เพื่อให้หนิงอี้ผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ สวีชิงเยี่ยนจึงทำการเลือกที่ยาก
นางลองกระตุ้นคลังสมบัติความเป็นเทพในกายตนเอง หากบอกว่าชีวิตของคนปกติคนหนึ่ง ควรจะเอาจำนวนการเต้นของหัวใจมาพิจารณา เช่นนั้นชีวิตของสวีชิงเยี่ยนก็ควรจะเอาจำนวนการกำเนิดความเป็นเทพมาแทน นางอยู่อารามรู้กรรม มาเมืองหลวง พักตรอกฝนพรำ ความพยายามทั้งหมดก็เพื่อถ่วงการกำเนิดความเป็นเทพ…นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่เมื่อนางละทิ้งการถ่วงความเป็นเทพ เลือกกระตุ้นขั้นตอนนี้
เช่นนั้นเรื่องนี้…ก็จะง่ายขึ้นมาก
บนผนังหินไกลๆ เด็กหนุ่มที่ถูกล่าวารีโจมตีไม่หยุดรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในตันเถียนของตน เขาไม่ได้ออกกระบี่ในทันที แต่หันหน้าไปมองทางเด็กสาวอย่างมึนงง
หนิงอี้เดาได้ว่าแม่นางโง่เขลานั่นกำลังทำอะไร…
เขาริมฝีปากแห้งเล็กน้อย ไม่ทันพูด น้ำทะเลรอบตัวก็เริ่มสั่นสะเทือน
เจียงหลินขมวดคิ้ว
สวีชิงเยี่ยนที่พิงประตูโบราณทองสัมฤทธิ์มีสีหน้าอ่อนแรง ง่วงงุน นางเงยหน้าขึ้นมองผนังหินเหนือศีรษะ หัวสิงโตที่กำลังมองตนนั้นอ้าปากกว้างทีละนิด
กระแสน้ำปั่นป่วน
ประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ข้างหลังนางสั่นไหวนิดๆ
ฝุ่นที่เกาะมาพันปีไหลหลากออกมา
ผ่านไปพันปี สุสานเปิดออกอีกครั้ง
……………………….