เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 130 พันกร!
ตอนที่ 130 พันกร!
กลิ่นคาวเลือดหมุนวนกระจายในก้นสมุทร
เหมือนน้ำหมึกเข้มตรงจุดออกกระบี่ของหนิงอี้ พลังเลือดลมที่ใช้ไม่ได้มานานพวกนั้นรวมเป็นใยฝ้าย สุดท้ายลอยเป็นเค้าโครงมหึมาช้าๆ
“จะกลายร่างแล้วรึ…”
หนิงอี้จ้องหมอกแดงตรงหน้าพลางแค่นยิ้ม “ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญปีศาจใต้ฟ้าเผ่าปีศาจสามารถออกจากธรณีประตูของเผ่าปีศาจบุพกาลได้ กลายร่างเป็นร่างมนุษย์ จะอยู่ในร่างต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่ง”
ร่างต่อสู้เช่นนี้คือการกลายร่าง ลายสีทองดำของสายเลือดกิเลนแฝงพลังแก่กล้าที่สืบทอดมาจากจากโบราณจนถึงตอนนี้ พลังเช่นนี้ต่างกับแสงดาราและความเป็นเทพ เป็นวิชาพรสวรรค์เฉพาะ หากสำแดงการกลายร่าง กำลังรบย่อมเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่ผู้บำเพ็ญปีศาจที่ไปมาระหว่างขอบเขตบุพกาลกับร่างมนุษย์ จะเสียสติได้ง่ายมาก
การกลายร่างก็เหมือนโซ่ตรวนที่พันตัวผู้บำเพ็ญปีศาจ ไม่ต่างกับผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์จุดดาราชะตาเท่าไร ยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจที่แกร่งมากเท่าไรก็ยิ่งชำนาญระดับการกลายร่างของตนมากเท่านั้น เพียงแต่นี่เป็นกลอุบายชีวิตที่จะใช้น้อยมาก
ทว่าหมอกโลหิตนั้นค่อยๆ หายไป ในนั้นก็ยังเป็นบุรุษร่างกำยำนั้น
ไม่ใช่แบบที่หนิงอี้คิด แม้อานุภาพนี้จะแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้กดดันจนกิเลนต้องเผยร่างจริง
สามยอดปีศาจใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ยอดปีศาจนี่มีที่ยืนอยู่แน่นอน หลังสู้กับเฉาหลัน ยอดปีศาจนี่ก็ถูกสามกรมอนุมานที่มาของเขาอย่างชัดเจน สั่งให้ทุกคนในโลกเทา หากไม่มีพลังบำเพ็ญขอบเขตที่สิบ บังเอิญเจอกิเลนนี่จะต้องอ้อมไป
หนิงอี้มองกลางหมอกแดงที่กระจายไปช้าๆ
ยอดปีศาจหนุ่มที่ถูกหนิงอี้ฟาดกระบี่ลอยออกไป แผ่นหลังดึงออกจากผนังหินก้นสมุทรแตกพังช้าๆ หมอกโลหิตเต็มฟ้ากลับมารวมกันเป็นเงามืดมหึมากลางอากาศ มองออกว่าผู้บำเพ็ญจุดสูงสุดในรุ่นเยาว์คนนี้ถูกกระบี่นั้นฟาดจนโกรธจริงๆ แล้ว วางมาดจะใช้การกลายร่าง
หมอกโลหิตไหลเวียนในก้นสมุทร ไหลไปทางแขนขวาที่ขาดของเขา แสงสีทองดำสั่นไหวส่งเสียงวิ้งๆ สุดท้ายแข็งตัวทีละนิด เลือดเนื้อปริแตก สภาพเขาดูน่าอนาถยิ่ง อยู่กลางหมอกมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ดาบยาวตรงเอวสั่นไหวตลอด กิเลนนั่นที่แกะสลักบนฝักดาบถลึงตามองด้วยความโกรธ ราวกับว่าจะก้าวออกมาจากหนังฝักได้ตลอดเวลา แม้พลังปีศาจแสงดาราจะถูกผนึก แต่กลิ่นอายพลังของเขาก็ยังแผ่ออกมาช้าๆ
“ข้ารู้นามของเจ้า…เจียงหลิน ทายาทยอดปีศาจที่มีชื่อเสียงโด่งดังในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ” หนิงอี้เช็ดมุมปาก หลังเขาฟันกระบี่นั้น โครงร่มของพินิจเหมันต์มีรอยแตกเล็กน้อย ส่วนใบร่มถูกยอดปีศาจหนุ่มทุบหลายสิบครั้งจนขาด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ร้ายแรงที่สุด
พลังในตัวเขา หลังจากยืนหยัดป้องกันต่อในอึดใจเดียวแล้ว ในที่สุดก็ได้โอกาสพักหายใจ ตอนนี้ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงได้ชิงโอกาสเตรียมตัวมากพอสำหรับศึกที่จะมาถึงแล้ว
“แต่ข้าไม่รู้นามของเจ้า และไม่อยากรู้ด้วย…”
ยอดปีศาจหนุ่มส่งเสียงแว่วมา เขาปักดาบยืน มือข้างหนึ่งกดด้ามดาบเรียบทองเงิน ชุดคลุมหยาบขาวที่ปลิวไสวในน้ำทะเลไม่หยุดย้อมเป็นสีแดงฉานแล้ว แขนครึ่งหนึ่ง ภายใต้ลายสีทองดำวนเวียน ก็ได้สร้างเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่ สำหรับผู้บำเพ็ญก่อนดาราชะตาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก พรสวรรค์เผ่ากิเลนแข็งแกร่งมาก อยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญปีศาจที่เหนือกว่าขอบเขตบุพกาล เผ่ามนุษย์มีคุณสมบัติไม่มากพอจริงๆ
แววตาเจียงหลินยังคงเฉยชา
การประชันกันของสองฝ่ายเมื่อครู่ ดูเหมือนเขาเสียเปรียบมาก แต่ความจริงรับกระบี่กะทันหันของหนิงอี้ได้ เดิมทีเขาได้เปรียบอย่างมาก เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญที่ดูธรรมดา พลังเหือดแห้งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางรอดไปจากหมัดสุดท้ายของตนได้…
ต่อมาประชันกันอีก ตนจะต้องได้เปรียบอย่างยิ่งแน่นอน
ลายสีทองดำลุกลามไปในก้นทะเล เหมือนปลาเวียนว่าย แขนขวาเขาฟื้นกลับมาปกติเร็วมาก ขยับสองทีในน้ำทะเล กระแทกคลื่นน้ำกระจายไปรอบๆ มีเสียงระเบิดดังลับๆ
นี่เป็นพรสวรรค์การต่อสู้ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์กิเลน บาดเจ็บสาหัส ขอแค่ไม่ถึงตายในทันทีเขาก็จะฟื้นกลับมาได้ มีเผ่าปีศาจน้อยมากที่จะสู้ระยะประชิดกับเขาได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ใต้ฟ้าต้าสุย ต่อให้เป็นผู้หลอมกายระดับสุดยอดจากภูเขาวิญญาณ ก็ยากจะทัดเทียมกับพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดของเขาได้
เจียงหลินสูดลมหายใจเข้าลึก
เขาจ้องหนิงอี้ ครั้งนี้ เขาจะไม่ให้โอกาสเด็กหนุ่มนี่อีก
หลังจากตั้งใจไว้แล้ว ใต้เท้ายอดปีศาจหนุ่มพลันแตกเป็นใยแมงมุมยักษ์ เศษหินกระจาย พลังถาโถมไปพันลี้ ก่อนพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
หนิงอี้หรี่ตาลง เขาปรับตัวไม่ทันกับความเร็วของอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่หกสัมผัสเฉียบคมได้บอกตนว่า…ยอดปีศาจนี่ มาแล้ว!
เกิดเสียงดังสนั่น
โลกก้นสมุทรสั่นสะเทือนอีกครั้ง
หนิงอี้กางร่มกระดาษมัน ความเป็นเทพในกายเขา ครั้งนี้ไม่ได้เหือดแห้งเหมือนก่อน สวีชิงเยี่ยนอยู่ข้างหลังเขา จับใบขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งเงียบๆ ความเป็นเทพเหมือนแม่น้ำใหญ่โหมซัดสาดในกายเขา
เกิดเสียงดังพรึ่บ
ร่มกระดาษมันกางออก หมัดที่แฝงลายซับซ้อนสีทองดำนั้นชกร่มกระดาษมันยุบลงไป
ก็เหมือนกับครั้งก่อน ยอดปีศาจกิเลนผู้หยิ่งยโสเห็นไพ่ตายของหนิงอี้ชัดเจนแล้ว กระทั่งไม่แยแสจะใช้ดาบเลย
“คิดจะใช้หมัดกำราบข้ารึ”
หนิงอี้รู้สึกได้ถึงแรงกดมหาศาลนั้น ก่อนหน้านี้ต้านไม่ไหว เพราะความเป็นเทพในกายมีไม่พอ นี่ไม่ใช่การตัดสินอย่างยุติธรรมเลย สองคนเพิ่งประมือกับผู้บำเพ็ญปีศาจใต้ฟ้าเผ่าปีศาจซึ่งหน้าครั้งแรก เพียงแค่ศึกของกายและจิต ยังไม่ถือว่าเข้าใจกลอุบายของอีกฝ่ายเท่าไร
แต่ครั้งนี้…ไม่เหมือนกันแล้ว
เจียงหลินชกหมัดเข้าที่ร่มกระดาษมัน พลันขมวดคิ้วขึ้น ก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ว่าพลังมหาศาลซ่อนอยู่ในตัวเด็กหนุ่มใต้ร่มนั่น ต่างไปจากเดิม เด็กหนุ่มนี่ไม่ใช่มะเขือนิ่มที่ให้ตนเหยียบย่ำตามใจได้อีก แต่รู้สึกถึงพลังเลือดลมเดือดพล่านที่หลั่งไหลผ่านใบร่ม
เหมือนมังกรน้อยที่จำศีลมานาน!
กางร่ม!
เกิดเสียงดังปัง เจียงหลินไม่ได้ทุบหมัดทำลายร่มนี้ แต่ถูกพลังมหาศาลจากใบร่มกระแทกขาลอยจากพื้น กระเด็นไปข้างหลัง
นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
นี่หมายความว่าอย่างไร
นี่หมายความว่าหมัดนั้นของตนเมื่อครู่ มีกำลังไม่มากเท่าอีกฝ่าย!
“เป็นไปได้อย่างไร” ชั่วขณะที่เจียงหลินฝืนหยุดถอยไปนั้น เขากำสองหมัดและทุบพื้นทันควัน
ร่มกระดาษมันนั้นพลันหุบลง
เจียงหลินเก็บหมัด อยากจะหลบกระบี่ที่เหมือนกับเมื่อครู่ ทว่าหลังหุบร่ม หนิงอี้ไม่ได้ออกกระบี่ แต่ปักพินิจเหมันต์ลงพื้นทะเล ขาข้างหนึ่งเหยียบพินิจเหมันต์ กระโดดลอยขึ้น
ชกหมัด!
เกิดเสียงดังวิ้ง เกิดเสียงโลหะกระทบ
สองร่างเงาถอยไปทันที ต่างกระเด็นไปสองทาง
เจียงหลินชาหนังศีรษะ เขาไม่ได้ใช้วิชาลับเผ่ากิเลน และไม่ได้การกลายร่าง แต่ถึงจะอย่างนั้น กายและจิตเขาก็มากพอจะเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญปีศาจชั้นแนวหน้าสุด ทว่าการปะทะของหมัดนี้ ตนกลับไม่ได้เปรียบเลยสักนิด
เขาคำรามเสียงดัง เสียงคำรามหมุนม้วนในสุสานก้นสมุทรภูเขาแดง ก่อนจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขายังคงไม่ใช้วิชาลับกิเลนทองดำ และไม่ใช้กลอุบายกลายร่าง แต่จะใช้กายและจิตที่มีมาแต่กำเนิดของตนปะทะกับเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกสักครั้ง ดูว่าใครจะแกร่งกว่ากัน
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาถอยไปข้างหลัง กลายเป็นเงายาวมายาเช่นกัน ไปพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่นไม่รู้กี่ครั้ง
มีความเป็นเทพไหลเข้าไป ที่ราบกระดูกก็เป็นอาวุธสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งใต้ฟ้า ช่วยเขาได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด กายและจิตของหนิงอี้เดิมทีแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แทบจะหาผู้บำเพ็ญขอบเขตพลังเดียวกันในใต้ฟ้าต้าสุยเทียบได้ หลังปะทะหมัดกับเจียงหลิน กายและจิตเขาพลันบาดเจ็บ หลังจากปะทะก็มีความเป็นเทพมารักษา อีกทั้งยังยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
มีตัวช่วยโดยไม่ต้องเสียอะไรเช่นนี้ ยินดีสละดาบปีศาจนั่นมาสู้มือเปล่ากับตนตัวต่อตัว เหตุใดหนิงอี้จะไม่ชอบกัน
สองร่างเงาพลันชนกัน หมัดเท้าปะทะ กลายเป็นเงามายามากมายปะทะกัน
หนิงอี้สำแดงวิชาลับที่เรียนมาจากท่านพันกรในเขาสู่ซาน
มือซ้ายเขาทำปางมือเป่าผิง มือขวาทำปางมือหลิวหลี หลังยกมือขึ้น มือซ้ายทำปางมือหั่นซาน มือขวาทำปางมือรื่อเยวี่ย ยกขึ้นหนึ่งระดับก็เปลี่ยนเป็นวิชาลับสู้ระยะประชิด วิชาพวกนี้เป็นวิชาลับที่ไม่สืบทอดที่เวินเทาได้มาจากสุสานภูเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตอนท่องใต้ฟ้าต้าสุย บ้างสูญหายไปนานมาก ล้วนถูกเก็บรักษาไว้ในหอสูงเขาสู่ซาน เจ้าภูเขาน้อยเอามาปรับแก้ เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย คนนอกเลยมองไม่ออก
ราชันดาราพันกร ที่ได้ฉายานี้ก็เพราะการโจมตีของนาง ข้างหลังปรากฏร่างอิทธิฤทธิ์ลี้ลับ พันแขนออกมาพร้อมกัน พลังยิ่งใหญ่โอ่อ่า
อาวุธสังหารที่รุนแรงที่สุดของราชันดาราพันกรก็คือวิชาลับที่หนิงอี้ใช้ตอนนี้
หนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือ มีการใช้งานหลากหลาย พันกรพันแขน เหมือนผูกกับคลื่นยักษ์
สองคนชิดกัน หกสัมผัสของเจียงหลินแกร่งมากเช่นกัน กระทั่งเขาเห็นร่องรอยของทุกปางมือชัดเจน หมัดเท้าปะทะกัน แต่รู้สึกไม่ได้เปรียบหนิงอี้เลย การต่อสู้ตอนนี้ต่างจากการกางร่มสู้ ผู้บำเพ็ญมนุษย์คนนี้ใช้วิชาสู้ระยะประชิดของใต้ฟ้าต้าสุย อีกทั้งยังน่าตกใจมาก
วิชามากขนาดนี้ เขาเรียนมาจากที่ใดกัน
ยอดปีศาจกิเลนที่โมโหจริงๆ แล้ว หลังเข้ามาในระยะสามฉื่อรอบตัวหนิงอี้ พลันเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นรุนแรงในใจ ในความไม่แน่ใจนั้น เขาได้ยินเสียงตะโกนดัง
“พันกร!”
ปางมือพวกนั้นที่ทำไปก่อนหน้านี้ ปางหมัด ปางฝ่ามือ ไม่อยากเชื่อว่าจะปรากฏมาข้างกายหนิงอี้ ไม่เคยหายไปเลย ทุกเงาจะขยับตามน้ำทะเล จะสำเร็จก็ไม่ เป็นภาพที่น่ากลัว
สองมือซ้ายขวาของหนิงอี้จากตกลงก็ยกขึ้นช้าๆ
สามร้อยหกสิบองศา เจ็ดร้อยยี่สิบวิชาลับ ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ จากเงามายารวมเป็นไร้จิตสำนึก ลอยล่องขึ้นลง
“พันกร” เสียงตะโกนสองคำนี้ดังขึ้น
เจ็ดร้อยยี่สิบวิชาลับพลันโจมตีเข้าไปทั้งหมด ทำลายล้างทุกอย่างทั้งน้ำทะเลในระยะสามฉื่อระหว่างสองคน!
…………………………..