เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 125 ข้าจะมองโลกแทนสวีจั้ง
ตอนที่ 125 ข้าจะมองโลกแทนสวีจั้ง
สวีชิงเยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ก็ตกใจเล็กน้อย มองหนิงอี้ ไม่รู้ควรจะพูดอะไร
ใบไม้ผลิร้อนใบไม้ร่วงและหนาว ใบไม้ไม่เขียว เกิดแก่เจ็บตาย คนไม่มีชีวิตนิรันดร์
โลกนี้มีใครไม่ตายได้บ้าง
นอกจาก ‘อมตะ’ ในตำนานพวกนั้นแล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิไท่จงก็ต้องเผชิญหน้ากับวันนั้นที่ตายจากไป
“มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์อาจจะอยู่ได้แปดร้อยปี” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น พูดพึมพำ “ตำนานของชาวโลกไม่ใช่ความจริง นี่เป็นบุคคลอย่างน้อยเมื่อห้าพันปีก่อน วิชาของสำนักเต๋าเอียงไปทางการบำรุงชีวิต มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ในชีวิตปกติออกมือน้อยครั้งมาก ไม่เคยบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งผู้สูงศักดิ์สวรรค์คนนี้ยังศึกษาโชควาสนาสำเร็จ ดังนั้นถึงอยู่ได้แปดร้อยปี นี่เป็นเรื่องสมเหตุผล…”
หนิงอี้เห็นความสงสัยของสวีชิงเยี่ยน
เขาพูดต่อ “มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ท่านนี้ไม่ได้เดินก้าวนั้น ชีวิตยืนยาวอย่างไรก็ต่อต้านการกัดกินของเวลาไม่ได้ ก่อนขีดจำกัดใหญ่มาถึง นางเหมือนจะเลือกปิดด่านบำเพ็ญในแดนเทวาแห่งหนึ่ง บนโลกนี้ไม่มีร่องรอยของนางอีก นางเคยไปทั้งใต้ฟ้าต้าสุยและใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ในสี่เขตแดน นอกเจ็ดสมุทร พายุฝนนับจากนั้นโคลงเคลง สำนักเต๋าก็ไม่เคยปรากฏผู้สูงศักดิ์สวรรค์สตรีคนนี้อีก”
สวีชิงเยี่ยนเงียบลง
ทันใดนั้น น้ำเสียงเฉียบคมดังแว่วมา
“เจ้าเชื่อว่าโลกนี้มีวิชาคืนชีพหรือไม่”
คำพูดนี้ทำให้เด็กสาวงุนงงเล็กน้อย นางมองหนิงอี้ เห็นอีกฝ่ายพูดประโยคนี้จบแล้วก็ยิ้มแห้งๆ จากนั้นพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงหวนคะนึงคิด “ตอนนั้นสวีจั้งถามข้าเช่นนี้”
“วิชาคืนชีพ…” สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า นางไม่เชื่อว่าโลกนี้มีวิชาคืนชีพ คนตายแล้วคืนชีพไม่ได้ นี่เป็นหลักการที่ทุกคนรู้กัน เป็นกฎเกณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดใต้ฟ้า หากมีวิชานี้จริงๆ เช่นนั้นไฉนไท่จงต้องให้กำเนิดสามองค์ชาย ให้พวกเขาแย่งชิงใต้ฟ้าของตนกัน
กระทั่งนางสงสัยการคงอยู่อมตะ
หากมีการคงอยู่อมตะจริง เช่นนั้นเหตุใดใต้ฟ้าต้าสุยถึงไม่เคยปรากฏพวกเขาเลย ในเมื่ออยู่ได้ไม่รู้กี่ปี จิตมรรคแน่วแน่ดุจหินผา เดินไปจนสุดทางบำเพ็ญ เช่นนั้นจะต้องอยู่มาจนถึงใต้ฟ้าต้าสุยในปัจจุบัน…คำอธิบายที่สมเหตุผลอย่างเดียวคือการคงอยู่อมตะตายแล้ว
ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นข้อขัดแย้ง
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่เชื่อวิชาคืนชีพ…ต่อมาข้าไปภูเขาม่วง แม้จะไม่พบเจ้าภูเขาม่วงคนนั้น แต่ก็มีชะตาอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง ได้ตะโกนถามฟ้าไปหลายคำถาม”
สวีชิงเยี่ยนไม่รู้ว่าตอนนั้นหนิงอี้อยู่กับเด็กสาว ร่วมเดินทางกับท่านพันกร ส่งสวีจั้งไปภูเขาม่วงที่ฝึกวิชาต้องห้ามเป็นตายนั้น และบุรุษกอดกระบี่ที่หัวดื้อและเหลวแหลกคนนั้นในภาพจำนางก็ตายที่ภูเขาม่วง สุดท้ายถูกยกโลงออกไป
วันนั้น ใต้ฟ้าต้าสุยหิมะตกหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งใต้ฟ้าหิมะตก
วันนั้น ทั้งโลกมุ่งสู่ความตายและถือกำเนิด หลังหิมะตกหนัก ทุกสรรพสิ่งก็คืนชีพ
ทว่าบุรุษคนนั้นที่น่าจะมุ่งสู่ความตายและถือกำเนิด…สวีจั้ง
ไหลย้อนกลับ ไม่หันกลับมา
“เจ้าภูเขาม่วงบอกข้าว่าใต้ฟ้าต้าสุยมีวิชาคืนชีพอยู่หนึ่งถึงสองชนิดอยู่จริงๆ คำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหก แต่มีเงื่อนไขยุ่งยาก”
สวีชิงเยี่ยนรีบกลั้นลมหายใจ ตั้งใจฟัง
“วิชาหนึ่งอยู่ภูเขาวิญญาณแดนบูรพา พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ในยุคโบราณ หลังจากมรณภาพแล้วจิตวิญญาณไม่สลายไป บางทีอาจจะนิพพานเกิดใหม่ได้ การนิพพานที่นี่ต่างจากการนิพพานในโลกบำเพ็ญ เหมือนวิธีลึกลับเก่าแก่อย่างหนึ่งมากกว่า ยอดฝีมือของภูเขาวิญญาณ หากตายไปแล้วเผาออกมาเป็นกระดูกพุทธหนึ่งถึงสองส่วน หรือรวมเป็นพระธาตุ นำมันบูชาไว้บนแท่นบูชาพุทธ ไฟธูปไม่ขาด ร้อยปีพันปีรอผู้มีวาสนาของตนมาต่อไฟขึ้นใหม่”
หนิงอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “หากคนนั้นต่อไฟได้ก็จะถือว่าเป็นนิพพาน มรดกและโชควาสนาของปรัชญาเมธีรุ่นก่อน และยังมีมรดกในกระดูกพุทธและพระธาตุก็จะได้รับการสืบทอด”
สวีชิงเยี่ยนกลัดกลุ้มเล็กน้อย พูดเสียงเบาๆ “นี่คือเป็นวิชาคืนชีพอย่างหนึ่งรึ”
“ก็อาจจะใช่” หนิงอี้ยิ้ม “การเลือกผู้นำของภูเขาวิญญาณจะให้ความสำคัญกับคำว่าโชคชะตา พระโพธิสัตว์และพระพุทธองค์กลับชาติมาเกิดที่ว่า ล้วนอยู่ที่หลักการนี้ พวกเขายินดีที่ให้การส่งต่อมรดกแสงธูปเป็นชีวิตนิรันดร์ในอีกรูปแบบหนึ่งมากกว่า…ส่วนผู้สืบทอดก็จะได้รับมรดกจากปรัชญาเมธีจริงๆ อย่าดูถูกนักบวชพวกนั้นเชียว วิชานี้ไม่ธรรมดาเลย สามารถยกระดับผู้บำเพ็ญคนหนึ่งได้ในเวลาอันสั้น
การต่อไฟไม่ใช่เรื่องง่าย อัจฉริยะมากมายไม่ยินดีต่อไฟ พวกเขาเชื่อว่าจะใช้พรสวรรค์ของตัวเองเป็นบุคคลพระโพธิสัตว์ที่รวมผลมรรคออกมาได้ น่าเสียดายที่เดินไปถึงช่วงหลัง ในการผลักดันของเวลาช้าๆ ก็เหมือนจะมีพลังไร้รูปทำให้พวกเขาเชื่อว่าตนก็คือชาติปางก่อนของพระโพธิสัตว์บางท่าน สุดท้ายเลือกต่อไฟ”
สวีชิงเยี่ยนรู้สึกกลัวนิดๆ…สิ่งที่เปลี่ยนความเข้าใจของผู้บำเพ็ญเช่นนี้ไม่เหมือนมรดกที่สมเหตุผลแล้ว แต่เหมือนวิธีการที่มารสำนักมารเลือกภาชนะและเตาหลอมมากกว่า เพียงแต่นี่เป็นวิธีที่อ่อนโยนกว่า ต่อเนื่องกันไป ป้องกันไม่ได้
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น การต่อไฟก็ใช่ว่าจะสำเร็จแน่นอน ภูเขาวิญญาณหนึ่งถึงสิบสองขอบเขต สอดคล้องกับสิบขอบเขตแรกของแสงดารา ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเขาวิญญาณหลังจากขอบเขตที่สิบสอง ก็มีโอกาสถูกไฟเผาตายในการต่อไฟได้ สลายหายไปเช่นนี้ เป็นเถ้าถ่าน” หนิงอี้ครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่อ “คิดว่านี่…คล้ายวิชาชั่วร้ายหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนครุ่นคิด ไม่กล้าดูหมิ่น แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อยอย่างทำตัวไม่ถูก
“หากบรรพชนศาสนาพุทธพวกนั้นมีจิตวิญญาณอยู่จริงๆ ยังมีดวงจิต นี่ไม่ใช่วิชาคืนชีพแล้ว แต่เป็นวิชาชีวิตยืนยาวที่เหนือยิ่งกว่า”
พูดเช่นนี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน
สวีชิงเยี่ยนเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“ยังมีอีกวิธี คือการนั่งลืมของสำนักเต๋า”
พูดถึงตรงนี้ หนิงอี้ก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“นั่งลืมรึ” สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก นางไม่เคยสัมผัสโลกผู้บำเพ็ญ หนิงอี้พูดเรื่องพวกนี้ สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องแปลกใหม่และเหนือความคาดหมาย
“ร่างยุบลง ปลดสติปัญญา ออกจากร่างไปรู้แจ้ง เท่ากับมหามรรค สิ่งนี้เรียกว่า…นั่งลืม!”
น้ำเสียงของหนิงอี้เย็นชาขึ้น เขาเคยอ่านคัมภีร์ม่วงเร้นของสำนักเต๋า วิชาจิตนี้มีชื่อเสียงเรื่องรากฐานมั่นคง พื้นฐานสามขอบเขตแรกของหนิงอี้หนาแน่นมาก ก็เพราะเหตุนี้ มาถึงเมืองหลวง เขายังหาวิชาของหอยอดวิสุทธิ์มาอ่านบ้าง และยังถือโอกาสไปหาคำว่า ‘นั่งลืม’ ที่เจ้าภูเขาม่วงเคยเอ่ยถึง แต่พบว่านอกจากคำอธิบายเล็กน้อยแล้วก็หาความลับใดๆ ไม่เจอ
นี่น่าจะเป็นวิชาที่ต้องห้ามอย่างมาก ไม่เผยแพร่กับคนนอก
“เจ้าภูเขาม่วงบอกข้าว่าคัมภีร์นั่งลืมของสำนักเต๋าสูญหายไปในยุคที่ไม่รู้จักแล้ว บางทีอาจจะสลายเป็นเถ้าถ่าน ตามหาไม่พบ” หนิงอี้หรี่ตาลง พ่นลมหายใจยาว พูดช้าๆ “หากก่อนตายได้ทิ้งกายเนื้อ ลืมอดีตชาติ บางทีในวัฏจักรกฎสวรรค์ก็อาจจะใช้ร่างใหม่มาเกิดใหม่อีกครั้งได้!”
“มีวิธีเช่นนี้ด้วยหรือ” สวีชิงเยี่ยนมองภาพฝาผนังนั้นบนหิน ตกตะลึงในใจ พูดพึมพำ “หนิงอี้…เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ที่มีคนสงสัยว่ามหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ยังไม่ตายก็เพราะกระบี่ของนาง แล้วก็แส้จามรีนั่น ไม่อยู่ในการดูแลของสำนักเต๋า” หนิงอี้พูดอย่างจริงจังด้วยสีหน้าซับซ้อน “ยอดฝีมือโบราณระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ จะต้องถูกเก็บรักษามรดกเอาไว้อย่างดี ต่อให้สิ้นชีพข้างนอกก็ควรค่าให้เจ้าสำนักเต๋ามานำกลับไปด้วยตนเอง”
สวีชิงเยี่ยนพยักหน้า เห็นด้วย
“โจวโหยวเคยไปในหอยอดวิสุทธิ์ มรดกของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ส่วนใหญ่อยู่ครบ พันปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ที่หายไปในนั้นมีสูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์” หนิงอี้พูดนิ่งๆ “ดังนั้นเขาเลยบอกข้อสงสัยกับสวีจั้ง หวังว่าสวีจั้งจะให้คำตอบได้ในการเดินทางตลอดสิบปีในต้าสุย”
สวีชิงเยี่ยนย่อยคำพูดช้าๆ นางสังเกตเห็นการใช้คำของหนิงอี้
“ที่หายไปในนั้นมีผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์…”
นางพูดอยู่ในใจ ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ใจนึก ที่แท้สิ่งที่สำนักเต๋าขาดหายไป…ไม่ใช่เพียงมรดกของผู้สูงศักดิ์สวรรค์คนหนึ่ง นอกจากผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงคนนี้แล้ว ยังมีมรดกของผู้สูงศักดิ์สวรรค์คนอื่นที่ยังไม่พบหรือ
“หลังจากนั่งลืมจะมีชีวิตในโลกที่สอง จะลืมภพก่อนของตน” หนิงอี้ลูบผนังหิน นึกไปถึงคำพูดนั้นของเจ้าภูเขาม่วง ก่อนพูดเสียงเบา “นี่น่าจะถือว่าเป็นวิชาคืนชีพอย่างหนึ่งกระมัง”
สวีชิงเยี่ยนเงียบอยู่นานมาก ก่อนพยักหน้า
ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ก็ถือว่าเป็นวิชาคืนชีพอย่างหนึ่ง แต่เดินในธุลีแดง ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์สวรรค์ หากลืมภพก่อนของตนจะมีความหมายอะไร
ลืมจิตวิญญาณในภาพก่อนไปแล้ว
“แม้ตัวจริงจะลืมตัวเองไป แต่สิ่งของพวกนั้นไม่ลืม พวกมันรู้ว่าเจ้านายตนยังไม่ตาย ดังนั้นถึงได้รอมาตลอด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ต่อให้มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์หลังนั่งลืมจะเป็นเพียงหญิงธรรมดา ขอแค่นางมาอยู่ต่อหน้าอาวุธของนางอีกครั้ง กระบี่ แส้จามรีที่ไม่มีใครขยับได้ ก็ยังจะขับขานด้วยความดีใจ”
หนิงอี้ดึงมือนั้นที่เหมือนลูบภาพเหมือนของสตรีกลับมา หมุนตัวพิงผนังหิน พูดกับสวีชิงเยี่ยนอย่างจริงจัง “ที่ทะเลพลิกผันเคยมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏ แทบจะมั่นใจได้เลยว่าเป็นเล่มนั้นตอนมหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ยังมีชีวิต”
สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้ ปลงอนิจจังกับความเข้าใจในด้านนี้ของอีกฝ่าย ช่างลึกซึ้งจริงๆ
นางไม่รู้ว่าในเมืองหลวง หนิงอี้อ่านตำรามากมาย ก็ยังไม่ได้รับรู้ความจริง
ต่อให้อยู่ใจกลางต้าสุย คำถามมากมายที่นี่ก็ยังไม่ได้คำตอบ
แต่ทุกอย่างที่หนิงอี้รู้ มาจากบุรุษธรรมดาที่ลำบากตรากตรำในโลกคนหนึ่ง
มาจากการสำรวจที่ไม่ใช่สิ่งที่คนรู้มาตลอดสิบปี
“ต่อมาในบ้านเมืองสันติ สวีจั้งได้บอกเรื่องนี้กับข้า…”
หนิงอี้บีบพับไฟแน่น แสงไฟแกว่งไกว
เขายิ้มเย้ยเยาะตัวเอง เขาในตอนนั้นรู้จักแต่นั่งบนก้อนหินในลานบ้าน ฟังเรื่องที่สวีจั้งเล่าอย่างสนุกสนาน มองเป็นตำนานของโลกบำเพ็ญ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย ทั้งยังไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมาก
ตอนนี้ดูแล้ว สวีจั้งได้ฝากเรื่องสำคัญไว้กับตน บุรุษคนนั้นมีปณิธานที่ยังไม่สำเร็จ มีความสงสัยที่ยังไม่กระจ่าง เพียงแต่รู้ว่าตนอยู่ในโลกนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เลยหวังว่าศิษย์น้องในอนาคตของตนจะมองดูแทนเขา
วิชาคืนชีพ…คำถามที่ดูเหลวไหลและไร้สาระนี้ ความจริงตอนนั้นได้ซ่อนความไม่ยอมและเสียดายของบุรุษคนนี้ไว้
หากเขาตายไปจริงๆ…จะคืนชีพได้หรือไม่
หากไม่ได้
หนิงอี้พูดเบาๆ ในใจ “สวีจั้ง ข้าจะมองดูทั้งโลกนี้แทนท่านเอง”
…………………..