เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 115 ข้าต้องการอย่างเดียว
ตอนที่ 115 ข้าต้องการอย่างเดียว
เส้นทางภูเขาฝุ่นฟุ้งกระจาย
บุรุษกำยำอยู่ในสภาพสะบักสะบอมทั้งตัว ก้าวออกมาจากกลางหมอกควันด้วยใบหน้าดำมืด ชุดคลุมหยาบขาวของเขาเปื้อนฝุ่นทั้งตัว ต่อให้รับมือกับค่ายกลกระบี่ของผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กสามคนก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่น่าอนาถเท่าตอนนี้…ลายสีทองกับแดงตัดสลับกันถอยออกไปช้าๆ
เหยี่ยวที่ตามเขาทันในที่สุดส่งเสียงคับแค้นใจ โผบินลงมาตบสองปีก ลงบนไหล่เขาช้าๆ
พลังสายฟ้าไร้รูประเบิดตรงไหล่ยอดปีศาจหนุ่ม เหยี่ยวนั้นร้องเสียงแหลมเล็ก รีบกระพือปีกบินขึ้น ไม่กล้าอยู่ต่อ
ดวงตายอดปีศาจหนุ่มดูเฉยชา แต่สีหน้ากลับมีความอำมหิตและโกรธที่ซ่อนไว้ไม่ได้
“เด็กสาวมนุษย์นี่ หนีไปได้ไม่ไกลเท่าไรหรอก…” ยอดปีศาจหนุ่มมองเศษหินที่กลิ้งตกไปรอบๆ เส้นทางแคบของภูเขาแดง รถม้านั่นแบกตนพุ่งไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าฝ่าผนึกมาเท่าไร พาตนมาส่วนลึกของภูเขาแดง ลางสังหรณ์ตนไม่ผิด หญิงงามในรถม้านั่นเป็นของสำคัญที่องค์ชายสามน้ำลายไหลมานาน เทียบกับความงามนั้นแล้ว เขาสนใจพลังนั้นที่นางใช้ขับเคลื่อนยันต์มากกว่า
หากตนเดาไม่ผิด สิ่งนั้นแกร่งกว่าแสงดารา และยังหนาแน่นกว่า…มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นความเป็นเทพที่จำเป็นมากในการเดินบนเส้นทางอมตะ
ยันต์ธรรมดาไม่อาจแบกรับพลังความเป็นเทพได้
ต่อให้เป็นยันต์นั่นที่องค์ชายสามให้เด็กสาวก็ใช้ได้ไม่นานก็เผาไหม้ นึกไปถึงภาพเมื่อครู่…ถึงช่วงสุดท้าย กลายเป็นเรือร่มเมื่อจอด หากตนไม่ถูกรถนั่นบดและทิ้งไว้ อีกไม่นาน ยันต์นั่นจะเผาไหม้ทั้งหมด เด็กสาวนั่นจะหมดกลอุบายสุดท้าย ได้แต่ถูกจับอย่างว่าง่าย
เหยี่ยวลนลานไม่เป็นสุข จ้องเจ้านายของตน
แววตายอดปีศาจหนุ่มสงบลง เขาย่อตัวลงมองไปรอบๆ ดมกลิ่นเบาๆ กลางควันมีกลิ่นหอมเด็กสาวที่แยกแยะได้ง่ายอยู่ กลิ่นในตัวแม่นางมนุษย์คนนี้หอมมาก เหมือนขนมหวานพิเศษในโลก ทำให้เขายากจะถอนตัวได้ อยากจะคว้าไว้ในมือ ย่ำยีสักที
นางหนีไปแล้ว…จะหนีไปที่ใดได้
ภูเขาแดงมีผนึกอันตรายถึงชีวิต คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญหน้าตางดงามไปก็ไม่มีประโยชน์ เดินเท้าไปข้างหน้า ไม่นานจะถูกผนึกกักขัง แก่ตายไปทั้งชีวิตคือบทสรุปที่โชคดีมากแล้ว หากล่อเผ่าปีศาจบุพกาลมาก็ได้แต่เป็นอาหารในท้อง ตายอย่างน่าเวทนา
สายลมเบาพัดผ่าน ยอดปีศาจหนุ่มเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้ว
กลิ่นหอมในสายลมจางลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หายไปช้าๆ
หากลมแรงเกินไป ร่องรอยของเด็กสาวนั่นจะถูกลมพัดหายไป…นี่ไม่ใช่ข่าวดี นี่หมายความว่าเขาไม่อาจใช้ความเร็วทั้งหมดไล่ตามไปได้
ยอดปีศาจหนุ่มลุกขึ้น ครุ่นคิดบางอย่าง
เหนี่ยวที่บินอยู่ตรงไหล่เขาสั่นสองปีกเบาๆ สายตามองภูเขาแดงไกลๆ มันส่งเสียงร้องเบายิ่ง เตือนเจ้านายของตน…มาภูเขาแดงไม่ใช่เพื่อล่าเผ่ามนุษย์ มีภารกิจด่วนอยู่ ต้องไปแดนต้องห้ามบุพกาลภูเขาแดง
“กว่าจะได้ออกมาไม่ใช่ง่ายๆ…พบกันคือโชคชะตา เจ้าจะให้ข้าเลิกล่าเหยื่อที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ไม่ได้หรอกนะ”
เขาเอามือคว้าเหยี่ยวเข้ามาในอ้อมกอด ยอดปีศาจหนุ่มที่ลูบขนมันเบาๆ ก่อนกระโดดลอยขึ้นสูง ตัวพุ่งผ่านหุบเหวลงพื้นอย่างแรง ก้าวออกไปกลางฝุ่นควันฟุ้งกระจาย มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกภูเขาแดงเหมือนเดินทอดน่อง
ยอดปีศาจหนุ่มหัวเราะ “ข้าอยากรู้นัก…ว่านางจะหนีไปที่ใด หรือจะหนีออกจากภูเขาแดงกัน”
……
สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก
กลางสองมือนางมีม้วนหนังแกะโบราณที่ขาดเล็กน้อย ในศึกไล่ล่ากับยอดปีศาจหนุ่มเมื่อครู่ ไอปีศาจมหาศาลกัดกร่อนม้วนหนังแกะโบราณนี้ไปมากกว่าครึ่ง ส่วนใหญ่เปื้อนหมึกเข้มข้น จนแยกแยะไม่ออกแล้ว
แต่นางไม่ต้องการแผนที่ภูเขาแดงนี้แล้ว
ความเป็นเทพที่ลอยอยู่ในกายนางพวกนั้น หลังจากเปิดผาหินภูเขาแดง ส่งไปในยันต์รถม้าแล้ว ก็ยังมีเหลืออยู่อีกมาก ตอนนี้สั่นไหวทั้งหมด…เหมือนกับกุญแจต้องการประตู การร้องเรียกระหว่างหยินหยาง นางสัมผัสได้ถึงทิศทางที่คลุมเครือ
ตรงนั้นมีกลิ่นอายพลังคุ้นเคย…
สวีชิงเยี่ยนโยนม้วนหนังแกะโบราณลงบนพื้น
ข้อเท้านางถูกเถาวัลย์ที่เกิดในภูเขาแดงบาด เหยียบหินแหลม ฝ่าเท้าขาวหิมะเป็นรอยเลือดหลายรอย
การใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดกับส่งความเป็นเทพออกไปทำให้ปวดสมอง ร่างกายกับจิตใจแบกรับความทรมานที่คนปกติยากจะแบกรับไหว แต่เด็กสาวไม่สนใจความเจ็บปวดพวกนี้ นางมีสีหน้าปกติ ริมฝีปากซีดขาว ประคองผนังหิน วิ่งไปจนหมดแรง หลับตาลงช้าๆ พยายามสัมผัสทิศทางนั้นในใจ…
ไม่ต้องใช้แผนที่
นางหนีออกจากภูเขาแดงได้จริงๆ
เดินหน้าต่อไป
เดินไปได้ช่วงหนึ่ง นางพลันลืมตาขึ้น หยุดเดิน เงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน ยื่นมือมาข้างหนึ่ง หยดน้ำหยดหนึ่งตกลงบนฝ่ามือนาง เกิดคลื่นกระเพื่อมเล็กอย่างยิ่ง แตกกระจายดังติ๋ง
ฝนตกหรือ
……
ฝนตกแล้ว
หญ้าน้ำค้างขาวหิมะใหม่กับหญ้าป่าไหม้เกรียมลอยไปตามลม ลอยขึ้นเมฆนภา บางส่วนถูกหยดน้ำฝนตกใส่ ก็ตกลงมาเช่นนี้ บางส่วนรวมเป็นพายุ แผ่ขยายบนที่ราบนั้นหน้าภูเขาแดง
หินใหญ่ที่แตกเป็นใยแมงมุมตั้งอยู่บนที่ราบ หินก้อนนี้กลิ้งตกลงมาจากบนยอดภูเขาแดงในยุคสมัยเมื่อนานมาแล้ว…บางทีอาจเป็นเพราะฝนตกหนักสักครั้ง ถูกฟ้าผ่าถึงทำให้มันตั้งอยู่ในตำแหน่งนี้วันนี้
เด็กหนุ่มที่โซเซยืนขึ้น หลังชิดกับก้อนหิน ทั่วทั้งตัวเหมือนเลือดเผาไหม้ เดือดพล่านจนเจ็บปวด เขาถือพินิจเหมันต์นั้น ใบร่มที่หุบลงยกขึ้นช้าๆ ชี้ไปทางหนึ่งบนที่ราบไกลลิบ น้ำฝนมากมายตกลงบนตัวร่มหลังหุบแล้วก็แตกกระเซ็นดังเปาะแปะ คมกระบี่ไม่หมุนออกมา ดังนั้นจึงกระทบบนผ้าหนา ส่งเสียงน่าอึดอัด
ทิศทางที่เด็กหนุ่มชี้ปลายร่มไปเป็นร่างเงาผอมสูงยืนขึ้นช้าๆ
พายุคลั่งก่อตัว ประกายสายฟ้าวูบวาบ
ร่างเงาผอมสูงนั้นเผยใบหน้าสีแดงฉานอาบเลือดกลางประกายสายฟ้า สีหน้าเขาเดิมทีซีดขาวอยู่แล้ว ใบหน้าเด็กเยาว์วัยของกุมารยังไม่เติบใหญ่ก็ถูกกระดูกที่เว้าและนูนไม่ราบเรียบดันขึ้น กระดูกโหนกแก้มสูง ใบหน้าเหี้ยมโหด น้ำตาโลหิตสองสายไหลมาจากกระบอกตา ไหลมาทั้งแก้ม
จะตายก็ไม่ตาย เย็นชาแต่งดงามยิ่ง หานเยวียยิ้มทั้งน้ำตาโลหิตไหลสองสาย ยื่นสองมือออกมา สิบนิ้วเหมือนตะขอ เผยท่าทางที่อ่อนนุ่มและตัดเยื่อใย
แหงนหน้ามองฟ้า ฉีกมุมปาก
เขาดึงอะไรบางอย่างมาจากในลำคอ…เหมือนกระบี่
แสงอ่อนสว่างขึ้น
ท่ามกลางฝนตกหนัก เหมือนไฟที่เต้นไปมาในหลอดตะเกียงโดดเดี่ยว แกว่งไกวไม่นิ่ง ดับลงได้ทุกเมื่อ
คำสอนภูเขาวิญญาณกล่าวไว้ว่า ‘หลังจากนิพพานถึงจะได้เกิดใหม่’
‘นิพพาน’ ความหมายเดิมหมายถึง ‘ถูกพัดไป ถูกดับลง’ ก็เหมือนน้ำมันในตะเกียง ดับลงหมดแล้วก็จะดับสลายไป…การฝึกบำเพ็ญของหานเยวียเป็นเช่นนี้มาตลอด หลังสังหารแล้วก็จะได้ชีวิตใหม่ ในหลอดแก้วของเขาสะสมศพไว้มากมาย บ้างเป็นของเล่น บ้างเป็นของสะสม บ้างเป็นคนรักที่ลุ่มหลงจนไม่อาจตัด บ้างเป็นศัตรูอาฆาตแค้น
เขาเหมือน ‘พระโพธิสัตว์’ ที่เดินในโลกนี้ ทุกชีวิตมากมาย พันร่างอิทธิฤทธิ์ เขามีใบหน้าที่ต่างกันพันใบหน้า แต่ไม่มีใบหน้านั้นที่เป็น ‘ความเมตตา’
เขามอบของขวัญชีวิตนิรันดร์ให้ปุถุชน ก็คือการหลับใหลตลอดกาลที่ห่างกับชีวิตนิรันดร์เพียงเส้นเดียว
หนิงอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย
เขาจ้องแสงไฟที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ไกลลิบนั้น กลางฝนตกหนักทั้งเลือนรางและสวยงาม สิ่งที่ถูกดึงมาจากในคอหานเยวียเป็นกระบี่จริงๆ เพียงแค่โผล่มาด้ามกระบี่…หนิงอี้ก็รู้สึกได้ว่ากระบี่นี้ต่างจากเล่มอื่น
ไอสิ่งชั่วร้ายเงามืดท่วมท้นฟ้าหลั่งไหลมาจากใต้ดินภูเขาแดง เขตต้องห้ามแห่งนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ตายไปไม่รู้เท่าไรแล้ว ดอกไม้บานดอกไม้โรยรามาร้อยปีพันปี ศพที่ฝังที่นี่ ไม่ใช่แค่เผ่ามนุษย์ใต้ฟ้าต้าสุย แต่ยังมีเผ่าปีศาจบุพกาลที่กำเนิดและเติบโตในเขตต้องห้าม นี่คือเขตที่มีปราณหยินหนักหน่วงอย่างยิ่ง
แดนทักษิณภูเขาใหญ่แสนลี้ ในผู้บำเพ็ญภูตผี ‘ห้ามแตะต้องสายฟ้า’ กลายเป็นคำพูดที่ถือเป็นบรรทัดฐานแล้ว
ร่างเงาผอมสูงที่ถูกฟ้าผ่าไม่ยั้งก็ยังยืนนิ่งไม่ล้มลงอยู่ในท่าทางถือกระบี่
หนิงอี้รู้จักกระบี่นั้น ดังนั้นเขาถึงหน้าซีดขาวกว่าเดิม
ก่อนที่หานเยวียจะทำหลอดแก้วแดนบูรพาสำเร็จ ก็เคยสังหารราชันปีศาจมากมายใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ตัดหัวพวกมัน…ก็ใช้กระบี่นั้น
กระบี่รากมรณะ
อันดับหนึ่งแดนบูรพาคนนี้ ไม่อยากเชื่อว่าจะนำกระบี่รากมรณะมาแดนอุดร ให้ร่างสถิตที่มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สิบใช้หรือ
กระบี่รากมรณะนั่นคือ ‘กระบี่กระดูกสันหลัง’ ตัวกระบี่คล้ายใบหลิ่ว สันกลางนูนกลม คล้ายกับเสากลมลักษณะก้าน กลายเป็นเสากลมต่อกัน
สองมือของหานเยวีย ด้ามกระบี่ที่จับ…หลอมเป็นรูปปั้นชายหญิงเปลือยกายลักษณะกลมที่ประณีตสวยงาม เพศชายวางสองแขนลง สองมือกุมท้องน้อย เพศหญิงสองแขนกอดอก หลังชิดกันเกิดเป็นการเกี่ยวพันกัน
กระบี่รากมรณะนี้ดึงมาจากในลำคอ ยังมีคราบเลือดเหนียวข้น สิ่งสกปรกไหลลงมา หยดลงพื้นดังแปะๆ…สนิมทองแดงบนตัวกระบี่ถูกน้ำฝนกัดเซาะ ไหลลงมาพร้อมกับสิ่งสกปรก
คมกระบี่โค้งฟันน้ำฝน หมุนช้าๆ ถูกหานเยวียหมุนเป็นดอกกระบี่ เหมือนดาบยาวเบาฟันน้ำฝน สุดท้ายพลันหยุดลง คมกระบี่แนบกับส่วนข้อศอก
ปลายกระบี่ชี้ไปที่เด็กหนุ่ม
หนิงอี้หน้าซีดขาว พิงหิน หัวเราะเสียงดัง “ที่แท้ก็เป็นคนหยินหยางรึ”
หานเยวียพูดเสียงเบามาก “ร่างมีชายมีหญิง ใจไร้บุรุษไร้สตรี ทุกชีวิต ขอแค่ยินดีพิสูจน์มรรคไปกับข้า ไฉนต้องแบ่งแยกชายหญิง”
คมกระบี่พินิจเหมันต์หมุนออกมา น้ำฝนไม่ดังเปาะแปะอีก แต่กระเซ็นดังติ๋งๆ
หนิงอี้ยิ้มเย้าหยอก “หานเยวีย หรือเจ้ายังคิดจะเป็นพระโพธิสัตว์แห่งเขาวิญญาณอีกกัน”
บุรุษผอมสูงหัวเราะเช่นกัน ไม่ปฏิเสธ
เขายืนอยู่ใจกลางสุดของที่ราบภูเขาแดง เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากข้าจะนิพพาน สายฟ้าสวรรค์ใดจะกล้าผ่าข้า”
เสียงราบเรียบ ภาพลักษณ์น่าเกรงขาม
สายฟ้าสวรรค์ไหลหลาก หวาดกลัวไม่กล้าผ่า
ครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ชัดเจน
ใต้สายฟ้าสวรรค์ หานเยวียพูดโน้มน้าวเสียงเบาครั้งสุดท้าย “หนิงอี้ หากตอนนี้เจ้ายินดีเข้าหลอดแก้วของข้า จากนี้จะมีเกียรติยศมั่งคั่ง ชีวิตยืนยาวไม่แก่ ไม่ว่าต้องการอะไรข้าจะทำให้เจ้าพอใจ”
หนิงอี้เรียกสติ ปลายกระบี่ปักพื้น แสงดาราสั่นไหวระเหยน้ำฝนรอบตัวไปไม่หยุด
หนิงอี้ยิ้ม “จริงรึ”
อีกฝ่ายพยักหน้า ใบหน้าไม่สะทกสะท้านและเป็นธรรมชาติ หากไม่ใช่เพราะใบหน้าแดงนั้น ก็คงจะเหมือนพระโพธิสัตว์ผู้ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์จริงๆ
“หานเยวีย…” หนิงอี้พูดปลง “ข้าต้องการแค่ให้เจ้า ตายแล้วไปผุดไปเกิดไวๆ”
……………………..