เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 112 มดเขย่าต้นไม้
ตอนที่ 112 มดเขย่าต้นไม้
จากนั้นเหยี่ยวที่เกาะชุดคลุมหยาบสีขาวตรงไหล่ยอดปีศาจหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาลุกวาวจับจ้องผู้บำเพ็ญแดนประจิมสามคนนั้น สองปีกตบเบาๆ คว้าชุดคลุมหยาบสีขาวพุ่งออกไป พร้อมบินไปทุกเมื่อ
ตอนที่เสียงจิ้งจอกลมที่ดูเหนื่อยล้ายิ่งและยังมีความสิ้นหวังดังออกมาจากในทรวงอก ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีสีหน้าตื่นกลัวสามคนนั้น ในที่สุดก็ทำการจัดวางของพวกเขาสำเร็จ
ค่ายกลยักษ์หนึ่งลอยขึ้นมาจากใต้เท้าพวกเขา จุดที่สามคนยืนตรงกับตาค่ายกลสามมุมของค่ายกลพอดี แสงดาราและพลังวิญญาณมหาศาลถูกดูดเข้ามา โหมซัดสาด
ในเส้นทางภูเขาแดง แรงกดดันวิญญาณพลันเพิ่มขึ้น
สวีชิงเยี่ยนที่นั่งในรถม้าพลันรู้สึกว่าที่นั่งของตนสั่นไหว ยันต์ที่แปะทั้งรถม้าเริ่มลุกไหม้ ทันทีที่จิ้งจอกลมตัดชีวิตต้านปราณดาบนั้น ผู้บำเพ็ญเขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมสามคนก็เริ่มส่งแสงดาราไปทางรถม้าแล้ว
วันล่าเหยื่อติดตามองค์ชายสาม แผนการรบและการจัดวางซ้อมมาไม่รู้กี่ครั้ง ‘อัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์’ แห่งแดนประจิมสามคนนี้ขาดประสบการณ์ต่อสู้จริง แต่ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ พวกเขาดูมีสีหน้าขาวซีดและตกใจ รวมถึงการกระทำเหม่อลอย ก็เพื่อส่งแสงดาราไปในรถม้านี้ หาโอกาสในช่วงเวลาที่สำคัญมาก…
ความจริง การปรากฏตัวของยอดปีศาจหนุ่มคนนี้ทำลายความคิดและความเข้าใจของพวกเขา ในแผนการไม่ปรากฏคนโหดเหี้ยมที่เทพขวางฆ่าเทพพุทธขวางฆ่าพุทธเช่นนี้เลย อัจฉริยะสุดยอดเผ่าปีศาจที่ข้ามดาบของสามกรม เหนือกว่าปีศาจบุพกาลระดับอันตรายที่สุดที่อาจจะเจอในแผนการไปแล้ว
วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้คือหาทางส่งรถม้านี้ออกไป
ภายในรถม้ามีค่ายกลป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ยอดปีศาจหนุ่มนั่นไม่รู้ว่า…สิ่งที่นั่งในนั้นเป็นหญิงเผ่ามนุษย์ หากสวีชิงเยี่ยนรอดกลับไปถึงที่ราบสูงเทพสวรรค์ บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนต้องห้ามภูเขาแดงกับผู้มีอิทธิพลของสามกรม เช่นนั้นวันล่าเหยื่อครั้งนี้ ยอดปีศาจระดับสูงสุดในรุ่นเยาว์เผ่าปีศาจจะต้องตายตกที่นี่
ต่อให้ผู้บำเพ็ญแดนประจิมสามคนจะโชคไม่ดีที่นี่…แต่ขอแค่ส่งรถม้าออกไป การเสียสละทุกอย่างก็จะมีความหมาย
กำเนิดและเติบโตในแดนประจิม ใช้ชีวิตในเขาศักดิ์สิทธิ์ ฝึกบำเพ็ญในเขาศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ในระยะสี่หมื่นลี้ต้าสุย พวกเขาถือว่าเป็นอัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงจนไม่อาจเอื้อมในประชากรต้าสุย และถือว่าเป็นผู้มีอำนาจหนุ่มที่มุ่งแสวงหาความสูงไปเรื่อยๆ เป็นเสาเอกในอนาคต
ศิษย์แดนประจิมสามคนนี้รู้ว่าหน้าที่ที่ตนแบกอยู่ข้างหลัง สักวัน พวกเขาจะเข้าร่วมสงครามโลกเทา ตีกลองสงครามของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ รบให้กับใต้ฟ้าต้าสุย
ความจริงคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนมาก บางครั้งเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์ บางครั้งก็เห็นแก่ส่วนรวมจนน่าเหลือเชื่อ
ยอดปีศาจหนุ่มไม่รีบร้อนออกดาบที่สอง แต่กำลังครุ่นคิดถึงคำถามนี้
เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย…ผู้บำเพ็ญมนุษย์ที่ตกใจตนจนโง่งมสามคนนี้ กลับไม่วิ่งหนีไปทันที แต่คิดจะรวมค่ายกลมาสู้กับตนรึ
นี่คือ ‘คนจะตายก็ทำความดีได้’ ที่ว่านั่น ในภาพจำยอดปีศาจหนุ่ม ผู้บำเพ็ญมนุษย์เห็นแก่ตัวและละโมบมาตลอด ไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันที่ขอตายอย่างมีคุณธรรม
เหยี่ยวมองเจ้านายตนด้วยความงุนงงเล็กน้อย ยอดปีศาจหนุ่มคิดถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
เขากดนิ้วโป้งกับด้ามดาบ แสงดาบเปิดๆ ปิดๆ ในที่สุดก็หยุดลง ตัวดาบออกมาหนึ่งนิ้วมือ สะท้อนแสงน่ากลัว
นอกจากนี้…ในรถม้าเหมือนจะแปะยันต์ที่แกร่งมาก ยังคงดูดซับแสงดารา พร้อมจะพุ่งไปบนเส้นทางภูเขาทุกเมื่อ ภูเขาแดงมีผนึกมากมาย ดูเหมือนพร้อมจะสู้ตาย หากรถม้าถูกยันต์ขับเคลื่อน มีโอกาสสูงมากที่จะหลงเข้าแดนต้องห้าม เทียบกับถูกตนทำลายหรือยึดมาครองแล้ว มนุษย์พวกนี้คิดจะให้รถม้าฝังในภูเขาแดงมากกว่า รอชนรุ่นหลังต้าสุยมาขุดค้นหรือ การจะส่งรถม้ากลับที่ราบสูงเทพสวรรค์แทบเป็นเรื่องเพ้อฝัน…
ยอดปีศาจหนุ่มมองลงมา มองร่างเงาผอมบางสี่คน ในดวงตามีการเย้าหยอก และยังมีการเย้ยเยาะ
มดเขย่าต้นไม้
……
เสียงของจิ้งจอกลมดังเข้าไปในรถม้า
คำว่าหนีนั้นไม่ได้บอกผู้บำเพ็ญแดนประจิมสามคน…แต่พูดกับสวีชิงเยี่ยน
เขาจะให้สวีชิงเยี่ยนหนี ยันต์ในรถม้านี้สามารถควบคุมทิศทางจากข้างในได้ ม้วนหนังแกะโบราณของภูเขาแดงวาดแผนที่ที่แทบจะสมบูรณ์ไว้ แดนต้องห้ามส่วนใหญ่เลี่ยงได้ แสงดาราที่นี่มากพอ ตามหลักก็จะส่งทั้งรถม้าออกจากภูเขาแดงได้ กระทั่งเส้นทางข้างหลังยังไม่ต้องกังวล ขอแค่ทิศทางไม่ผิด เช่นนั้นก็จะถึงค่ายแดนประจิมได้ไม่มีปัญหา
หลังเสียงนั้นเอ่ยออกมา สวีชิงเยี่ยนก็เข้าใจความหมายของจิ้งจอกลม
นางเม้มริมฝีปาก ความรู้สึกถึงวิกฤติที่ลอยอยู่ตรงก้นบึ้งหัวใจตลอดบอกตนอย่างชัดเจนว่าห้ามเผยหน้า ตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้เหตุผลแล้ว
จากปฏิกิริยาของจิ้งจอกลม ยอดปีศาจหนุ่มข้างนอกนั่นแข็งแกร่ง แต่ไม่รู้ถึงการคงอยู่ของตน…ดูท่ายอดปีศาจคนนี้เหมือนจะพุ่งเป้าไปยังทิศทางของสององค์ชาย ส่วนความซวยที่มาเจอกันที่นี่เป็นเพียงเรื่องเหนือความคาดหมาย
การออกมือสังหารพวกจิ้งจอกลม เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ที่ต้องทำด้วยความจนปัญญา
สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก หากตนโชคดีรอดไปได้ เช่นนั้นชนชั้นสูงของสามกรมรวมถึงต้าสุยจะรู้โศกนาฏกรรมภูเขาแดงที่นี่
‘พวกเขาอยากส่งข้าออกไป…’ เด็กสาวพึมพำในใจ นางยื่นมือมาข้างหนึ่ง สัมผัสยันต์นั้นของรถม้า วัสดุที่ไม่รู้ทำมาจากอะไรพลันละลายจากภายใน สวีชิงเยี่ยนเห็นทิวทัศน์นอกรถม้าทั้งหมด โดยเฉพาะยอดปีศาจหนุ่มที่เปิดอกนั้น สายตาจ้องรถม้าของตน เหมือนอยากมองทะลุรถม้า ดูว่าในนี้ซ่อนอะไรไว้กันแน่
สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก
นางหันไปมอง ภูเขาแดงข้างหลังเป็นเส้นทางภูเขาแคบยาว ทางลงเนิน
นางกำยันต์ไว้ช้าๆ
……
ค่ายกลลอยขึ้นมาช้าๆ
ดาบกระบี่ที่รวมจากแสงดารารวมขึ้นจากพื้นทีละเล่ม เหมือนถูกพลังงานไร้รูปดึงขึ้น ลอยมาบนพื้นดินเนิบนาบ เป็นด้ามกระบี่ด้ามดาบก่อน จากนั้นเป็นตัวกระบี่ตัวดาบ วนเวียนรอบศิษย์แดนประจิมสามคน ควบแน่นออกมาช้าๆ…นี่คือค่ายกลโจมตีประสานอย่างหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง
จิ้งจอกลมเผยแววตาแปลกประหลาด
ในเขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิม คนที่ชำนาญค่ายกลโจมตีประสานมีเพียงเขาอนันต์เล็ก
เดิมทีเขาคิดว่าผู้บำเพ็ญแดนประจิมสามคนนี้แยกกันมาจากที่ต่างกัน ถูกหลี่ไป๋หลินเกณฑ์มา ไม่นึกเลยว่าองค์ชายสามจะเตรียมการไว้เช่นนี้ด้วย
ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กใช้ค่ายกลโจมตีประสาน สามารถสู้ข้ามขอบเขตพลังได้
“ค่ายกลของเผ่ามนุษย์…”
ยอดปีศาจหนุ่มยิ้มหยีตามองผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กรวมค่ายกล เขายิ้มอ่อนโยน “จะต่อต้านข้า อย่างน้อยต้องยกค่ายกลระดับค่ายกลกระบี่โอฬาร หากเป็นแค่วิชาโจมตีประสานของสามคน เจ้าเรียกให้เฉาหลันมาเป็นตาค่ายกล ลองกดดันข้าดูได้ ส่วนพวกเจ้าสามคน…คิดว่าเป็นใครกัน”
ค่ายกลกระบี่ค่ายกลดาบของเขาอนันต์เล็กรวมเข้าด้วยกัน เมื่อสามคนทำปางมือรวมค่ายกลและกดลง เส้นทางภูเขาแดง พายุคลั่งรวมกัน แรงกดดันวิญญาณปกคลุม จิ้งจอกลมหายใจยากขึ้นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น ภายใต้แรงกดดันมหาศาล อัจฉริยะโลกเทาคนนี้ต้องงอตัวลงเล็กน้อย สองมือสัมผัสพื้นถึงรักษาสมดุลได้ ก่อนจะมองไกลออกไปอย่างยากลำบาก
เส้นทางภูเขาแดง หินดินพังทลาย
ยอดปีศาจหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงสุดทางแบกรับแรงดันวิญญาณมหาศาล เหยี่ยวนั้นตรงหัวไหล่เขาส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ อยากจะกระพือปีกสลัดแรงดันวิญญาณแต่ก็ล้มเหลว ประกบรวมเป็นหนึ่ง ในดวงตาซ่อนความอำมหิตและความโกรธไว้ลึกๆ…ทว่ายอดปีศาจหนุ่มร่างกำยำไม่ได้รับผลเลย เขายืนกลางฟ้าดิน ปล่อยให้แรงดันวิญญาณมากมายถาโถมใส่ตัวเขา ผิวหนังสีทองแดงโบราณถูกอาภรณ์ที่โบกสะบัดไม่หยุดตีจนเกิดเสียงดัง ‘เพี๊ยะๆๆ’
ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กสามคน ตรงปากและจมูกเริ่มมีเลือดไหลออกมาอย่างไร้การควบคุม ใบหน้าพวกเขายังคงแน่วแน่ แววตาไม่เคยสั่นคลอน การกระทำพร้อมเพรียง นิ้วกลางชิดกับนิ้วชี้ ชี้ไปยังยอดปีศาจหนุ่มที่ยืนตระหง่านนั้นช้าๆ
แรงดันวิญญาณที่ปกคลุมมืดฟ้ามัวดินเพียงเพื่อพันธนาการอีกฝ่าย ให้ยอดปีศาจคนนี้รับกระบี่ของค่ายกยการโจมตีประสาน
กระบี่แสงดาราหลายสิบเล่มกลายเป็นร้อยเล่ม และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…
เมื่อผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กสามคนชี้นิ้ว กระบี่และดาบพวกนี้ก็หันหน้าช้าๆ เล็งปลายกระบี่และดาบไปที่ ‘บุรุษหนุ่ม’
กระบี่แรกพลันบินออกไป จากนั้นเป็นเล่มที่สองและสาม กระบี่เต็มฟ้าเหมือนฝนตก ไปตามเส้นโคจร ระหว่างนั้นยังชนกันไม่หยุด ส่งเสียงดังสนั่น กระบี่และดาบหลายร้อยถึงพันเล่มค่อยๆ รวมกันเป็นกระบี่ยาวมหึมาและแหลมคม
กลางค่ายกลยังคงกำเนิดกระบี่ขึ้นมากมาย
ปราณกระบี่นี้ไม่รู้ยาวกี่ลี้
พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้ายอดปีศาจหนุ่ม
ร่างเงาหนุ่มกำยำยิ่งคนนั้นหัวเราะเบาๆ ตัวลอยไปข้างหลังอย่างไร้การควบคุม
การกระทำที่ไร้ความหมายนี้ เพียงแค่อยากบอกผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็ก…ว่าแรงดันวิญญาณพวกนี้ กดดันตนไม่ได้
จากนั้นเขาเพ่งสายตามอง
ชักดาบออกมา
ไม่เผยคม
ฟันจากบนลงล่าง
ปลายดาบฟันทำลายแสงดาราเต็มฟ้า เอาปลายดาบดันกระบี่และดาบที่ระเบิดรอบตัวเขาไม่หยุด ยอดปีศาจหนุ่มเริ่มลองใช้กำลังของตนต้านค่ายกลที่เขาอนันต์เล็กภูมิใจ
ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กสามคนไม่ใช่แค่เลือดไหลจากปากและจมูก แม้แต่ทวารทั้งเจ็ดยังมีเลือดไหล สั่นไปทั้งตัว แต่ยังคงยืนหยัดกำเนิดกระบี่และดาบในค่ายกล…นี่คือศึกของพลัง และเป็นศึกความอดทน
ประชันกันว่าใครสั่งสมพลังได้มากกว่ากัน
ยอดปีศาจหนุ่มไม่แยแสจะเสียเวลาตรงนี้ ตรงเข้ามาเล่นด้วย
เขายังคงมีสีหน้าสบาย
ครู่ต่อมา ยอดปีศาจหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหยี่ยวตรงบ่าเขาส่งเสียงร้องแหลม ตบสองปีก แต่บินไปไม่ได้ภายใต้แรงดันวิญญาณ ได้แต่จ้องเส้นทางภูเขาไกลๆ ข้างหลังศิษย์เขาอนันต์เล็กสามคน
รถม้าที่บรรทุกของสำคัญขององค์ชายสามแดนประจิมพุ่งไปในทิศทางที่ห่างจากยอดปีศาจหนุ่มอย่างแน่วแน่ พุ่งทะยานออกไปเสียงดังสั่นสะเทือน
……………………..