เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 107 ศึกของแมลง
ตอนที่ 107 ศึกของแมลง
จนถึงตอนนี้ ผู้บำเพ็ญหลายคนที่รอดมาได้ ความคิดขาวโพลนแล้ว
แท่นสูงมรณะ สายลมค่อยๆ สงบลง
หลังจากหญิงสาวพ่นลมหายใจ ก็ไม่รีบร้อนไปทางนั้นของแท่นสูง แต่เดินมาหน้าสตรีคนหนึ่งแห่งสำนักครองคู่ก่อน ใช้นิ้วมือเชยคางอีกฝ่ายขึ้น ถามเสียงเบา “เจ้าก็กลัวถูกข้ากินรึ”
หญิงสาวคนนั้นน้ำตานองหน้า สั่นไปทั้งตัว
นางเสียงเบาถึงที่สุด เหมือนกระดิ่งเล็กที่แกว่งไกวไปมากลางพายุฝน พยายามพูด เสียงแหบ “คุณชายน้ำค้าง…ขอร้อง ไว้ชีวิตข้า…ขอร้อง…”
“ช่างงดงามเสียจริง” นางย่อตัวลง ท่าทางอ่อนช้อย เช็ดน้ำตาให้หญิงสาวสำนักครองคู่ ก่อนพูดปลงอนิจจัง “ชีวิตข้านี้ ไม่อยากเห็นหญิงสาวงามร้องไห้ต่อหน้าข้ามากที่สุด”
หานเยวียใช้มือดันแก้มใบหน้าหญิงสาวสำนักครองคู่ขึ้น มองดวงตาสับสนคู่นั้น นางก้มหน้าลงมาช้าๆ ประกบปาก สูดกลิ่นหอมในปากเบาๆ
หญิงสาวสำนักครองคู่ส่งเสียงร้องเบา น้ำตาหยดติ๋งๆ จะร้องไห้ จากนั้นม่านตาหรี่แคบลง ตัวสั่นอย่างรุนแรง สองมือกดหน้าอกนุ่มตรงหน้า ปฏิเสธสุดชีวิต น่าเสียดายที่ปฏิเสธไม่ได้ สองคนเข้ามาใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแทบจะกอดเป็นร่างเดียวกัน
ใบหน้าที่มีความเยาว์วัยนั้นเริ่มตอบลงด้วยตาเนื้อมองเห็น แขนขาวเนียนหิมะในตอนแรกเริ่มลุกลามจากปลายนิ้ว งูโลหิตสีแดงค่อยๆ ไต่เต็มสองแขน หลายลมหายใจต่อมา เอวที่ยังถือว่าอวบก็เหมือนกับฟืนแห้ง…ทั้งตัวถูกสูบกลายเป็นคนแห้ง
หานเยวียเงยหน้าขึ้น ‘นาง’ มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง หัวเราะเบาๆ “รอกลับแดนบูรพา ข้าจะช่วยทำร่างใหม่ให้เจ้าในหลอดแก้ว…คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้า อ่านตำราใต้ตะเกียงเป็นเพื่อนข้า ดีหรือไม่”
ฟืนแห้งตกลงพื้นเบาๆ กลายเป็นเถ้าถ่านสลายไป
หานเยวียยื่นมือออกมาคลำตรงหน้าอกตน สูดลมหายใจขึ้นลง ก่อนพูดพำเหมือนเหม่อลอย “กินอิ่มนิดๆ แล้ว ร่างนี้จะว่าดูดีก็ดูดี แต่กินไม่เก่งเท่าไรเลย…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางชำเลืองตามองหลายคนที่เหลืออยู่ ก่อนเอ่ยเรียบๆ “กินพวกเจ้าแล้วก็ไม่มีประโยชน์กว่านี้…ร่างนี้มีพลังบำเพ็ญขอบเขตที่เก้า ก็ยังขาดเพียงเส้นนั้น”
แปดคนนั้นที่ถูกองค์ชายรองหลอกมา มองไปทั้งแดนบูรพาถือว่ามีคุณสมบัติยอดเยี่ยม ตอนนี้ในสายตาหานเยวีย นอกจากสองคนที่ถูกตนกินไปแล้ว คนอื่นเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้จริงๆ
นางขี้เกียจมอง ‘ของชดเชย’ พวกนี้อีก แต่ยกมือขึ้นกำมือเบาๆ
บนที่ราบเกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่องกันหลายครั้ง
หมอกโลหิตกระจาย
……
ช่วงที่หานเยวียสังหารผู้บำเพ็ญแปดคนบนที่ราบ
สองร่างเงายืนคุมเชิงกันบนแท่นสูงมรณะ
หนิงอี้รู้สึกว่ามีพลังขังตน บุรุษผมเทาที่ยืนตรงขอบแท่นสูงมรณะตรงข้ามตน ขาดอีกก้าวเดียวก็จะตกลงไปคนนั้น เท้าข้างหนึ่งลอยอยู่ข้างนอกแล้ว ดูโซเซจะตกลงไป
นี่เป็นการสั่งสมของ ‘พลัง’ ขยายอย่างละเอียดดู ปลายเท้านกกระจอกเงินวางบนหน้าผา ตัวสั่นไหวเบาๆ อาภรณ์ขยับเองแม้ไร้สายลม พลังทั่วทั้งตัวสั่นไหวอย่างแรง พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ผู้บำเพ็ญสู้กับศัตรู ไม่ได้มุ่งแต่การโจมตีอย่างเดียว แต่วัดระดับพลัง พลังบำเพ็ญใครสูงกว่าคนนั้นชนะแน่นอน พลังบำเพ็ญใหญ่เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ถ้าอยู่พลังบำเพ็ญเดียวกันก็ต้องแบ่งระดับอีก
สู้ระยะประชิดขึ้นอยู่กับการควบคุมพละกำลังและการใช้กายและจิต ไกลออกไปหน่อย สำหรับการควบคุมแสงดารา สำหรับการคว้าโอกาส ปราณกระบี่ก็ดี ของวิเศษก็ดี วิชามากมายล้วนเสริมพลังให้กับอาวุธของตน ใช้ดี เช่นนั้นก็สู้ข้ามพลังบำเพ็ญได้
ตอนนี้นกกระจอกเงินกำลังสั่งสมพลัง เขาไม่รีบร้อนออกมือ แต่จ้องหนิงอี้เขม็ง รอตอนนั้นที่อีกฝ่ายหันหน้าหนี
ถามใจตัวเองดู เขาสู้ตัวต่อตัวกับเด็กหนุ่มที่ยังไม่เผยตัวตน นี่เป็นเรื่องที่มั่นใจได้อย่างยิ่ง แต่พูดยากว่าไพ่ตายของอีกฝ่ายจะทำให้หนีไปได้ในสภาพบาดเจ็บหรือตายกันทั้งคู่
นกกระจอกเงินรออยู่ตลอด รอรถม้าดอกบัวขาวนั้นแล่นออกมาจากทางนั้นของภูเขาแดง
เมื่อดอกบัวขาวกลายเป็นสีดำ…ก็หมายความว่า ตอนนี้ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มี ‘คุณชาย’ อยู่ นกกระจอกเงินแค่ต้องจ้อง ‘ปลา’ ที่ไม่กินเบ็ดนี้ไว้
ขอแค่หนิงอี้หมุนตัวกลับ เขาจะลงมือทันที
ทว่า
หนิงอี้ไม่คิดจะหนีเลย
ศึกหมัดเท้าในหุบเขา หนิงอี้ไม่ได้เผยไพ่ตายของตน พินิจเหมันต์กับปราณกระบี่ท่องหล้าสองเล่มนี้ ตอนที่เดินทางกับเด็กสาว หนิงอี้ได้ศึกษาเจอลูกเล่นใหม่หลายอย่าง เขาอดทนไม่ใช้มาตลอด
ถ้าวัดกันที่กายจิตอย่างเดียว หนิงอี้ปราบผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ นี่เป็นเรื่องโชคช่วย
หากตอนนั้นนกกระจอกเงินอนุญาตให้หนิงอี้สังหาร การจะสังหารห้าคนในอึดใจเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย หนิงอี้อาจจะเผยกลอุบายก้นหีบที่เตรียมไว้ก่อนมาแดนอุดร หนึ่งอย่างหรือสองอย่าง
ความจริงต้องเดินหน้าไปอย่างระมัดระวัง ต่อให้มาโรงเตี๊ยมเก่าของเมืองหลวง ‘สายลมวสันต์พัดหลิว’ ที่สังหารในชั้นหนึ่งหรือผู้หลอมศพปัญจธาตุในชั้นสองกลางคืนฝนตกหนัก หนิงอี้แค่เผยกระบี่เล็กน้อยเท่านั้น กระบี่ตารางหนาเล่มนั้นที่ใต้ฟ้าต้าสุยรัก ถูกลบรอยแกะสลักไปแล้ว คนนอกไม่เห็นเบื้องหลัง วิชากระบี่และรูปแบบกระบี่ของตนไม่ได้เผยออกมา ต่อให้หานเยวียรออยู่นอกโรงเตี๊ยมนานแล้วก็ไม่รู้ว่าหนิงอี้มีไพ่ตายอะไร
สายลมพัดหญ้าขยับไหว
หญิงสาวอรชรก้าวออกมาช้าๆ จากในหมอกเงามืดข้างล่าง นางจ้องหนิงอี้เหมือนมองสมบัติที่น้ำลายไหลมานาน เพื่อเติมเต็มหลอดแก้ว นางได้ตามหาในแดนบูรพาแดนทักษิณมาหลายสิบปีแล้ว ในที่สุดหานเยวียก็พบของที่ถูกใจในโรงเตี๊ยม เด็กสาวข้างกายหนิงอี้มีคุณสมบัติและร่างกายที่หายาก แทบจะเป็นหนึ่งในหมื่น น่าเสียดายถูกยอดฝีมือของต้าสุยจองไว้ก่อนแล้ว ดูท่าตนคงยุ่งไม่ได้
หานเยวียมองเด็กหนุ่มที่ถูกนกกระจอกเงินจับด้วยพลัง รอยยิ้มเบิกบาน พูดเสียงดัง “หนิงอี้ ข้อตกลงสองข้อที่คุยกันก่อนหน้านี้ เจ้าได้ตรึกตรองอีกครั้งแล้วหรือยัง”
หนิงอี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือข้างหนึ่งกดพินิจเหมันต์ ไม่ได้สนใจหานเยวียที่ยืนบนแท่นสูงมรณะ รอดูอะไรสนุกๆ
ศึกความเป็นตาย จะเอ้อระเหยไม่ได้เลย
ตัวหานเยวียมองดูละครสนุก นกกระจอกเงินเยี่ยนจือเป็นเรื่องดีเหนือความคาดหมายที่เขาเจอในสนามรบโลกเทาครั้งหนึ่ง พรสวรรค์พลังบำเพ็ญหนุ่มคนนี้ไม่สูง แต่ศักยภาพแฝงในต่อสู้น่าตกใจเล็กน้อย ยิ่งสู้ยิ่งกล้า สู้กับผู้บำเพ็ญเผ่าปีศาจพลังบำเพ็ญเดียวกันสามสี่คนได้ สู้จนเลือดสาดกระจายก็ยังไม่อ่อนกำลัง เผาแสงดารากับชีวิตสังหารศัตรูตรงหน้า
หากวางไว้เมื่อสิบปีก่อนน่าจะเป็นคนโหดที่คล้ายๆ กับสวีจั้ง ใช้บาดแผลแลกชีวิต มีแต่บุกไม่มีถอย น่าเสียดายเยี่ยนจือบาดเจ็บสาหัสในศึกนั้น หากไม่ได้หานเยวียออกมือ จะรวมแสงดาราไม่ได้ บทสรุปสุดท้ายจะกลายเป็นคนพิการที่ฝึกบำเพ็ญไม่ได้อีก ต่อให้หลอดแก้วแดนบูรพาจะช่วยชีวิตเขาได้ ตันเถียนก็ยังเสียหายไม่อาจเติมเต็มได้ หลายปีมานี้ใช้ทุกวิถีทาง ทำให้บาดแผลทั้งหมดของนกกระจอกเงินกำเริบในชั่วข้ามคืน
บทสรุปสุดท้ายเป็นสิ่งที่หานเยวียปวดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถูกบุรุษหนุ่มคนนี้ ‘บังคับ’ ให้หลอมเป็นศพวิญญาณมีสติปัญญาครึ่งหนึ่ง
หากไม่เจอกับการต่อสู้เป็นตาย จิตสำนักของนกกระจอกเงินก็ยังคุมร่างนี้ได้ หากรับภาระมากเกินไปก็ได้แต่ใช้วิชาของหานเยวียควบคุมร่างนี้ ทุกการต่อสู้ดุเดือด ต้องใช้เลือดเนื้อในหลอดแก้วมาเติมเต็มความเสียหายของร่างนี้
“เขาเพิ่งทะลวงขอบเขตที่แปด แต่เจ้ามีเพียงขอบเขตที่หก…” หญิงสาวที่ยืนใต้แท่นสูงมรณะพูดเย้าหยอก “หนิงอี้ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะมีกลอุบายใด หรือจะสู้ข้ามสองขอบเขตพลังได้”
นามของหนิงอี้เข้าถึงหูนกกระจอกเงิน
ดวงตาเขาขยับประกายเฉียบคม ที่แท้เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าตนก็คืออาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา
คุณชายบอกว่าเขามีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่หก…ผู้บำเพ็ญเช่นนี้มีสิทธิ์อะไรถึงได้นั่งอันดับหนึ่งรายนามดาราต้าสุย
หนิงอี้กดด้ามกระบี่แน่น มือข้างหนึ่งกดฝักกระบี่พินิจเหมันต์ที่ห่อด้วยผ้าดำ ยกไปข้างหลังเล็กน้อย
สมาธิทั้งหมดของเขาอยู่ที่บุรุษผมเทาคนนั้น
มั่นใจว่าตนรับการโจมตีนั้นที่อีกฝ่ายสั่งสมพลังได้
สถานการณ์แน่นอนอย่างยิ่ง
ทว่าหญิงสาวคนนั้นที่ยืนบนที่ราบหน้าภูเขาแดง ไม่มีทีท่าว่าจะออกมือเลย แต่กลับเฝ้ารอการปะทะของสองคน
หานเยวียเตือนด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยนจือ อย่าดูถูกหนิงอี้ หนิงอี้เป็นนักกระบี่…เจ้าเองก็อย่าเอาเปรียบเขามาก ขอบเขตที่หกกับขอบเขตที่หก ดูว่าเขามีกลอุบายใด”
บุรุษผมเทาที่สั่นไปทั้งตัว กดพลังบำเพ็ญลงช้าๆ อย่างไม่เผยร่องรอย…
ความรู้สึกกดดันตรงหน้าหนิงอี้ลดลงเล็กน้อย
หานเยวียยิ้มอีก “เมืองหลวงในแดนกลางเหมือนจะชอบการตัดสินอย่างยุติธรรมที่สุด เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าสองคนก็ตัดสินกันอย่างยุติธรรมแล้วกัน”
ตอนที่นางเอ่ยคำพูดนี้ น้ำเสียงเบาสบายและเกียจคร้าน เหมือนเทพเจ้าที่ชำเลืองตามองทุกสรรพสิ่ง อยู่สูงส่ง เห็นๆ ว่ายืนอยู่ใต้แท่นสูงมรณะ แต่กลับก้มหน้าลงมองปลายเท้าตนเอง
เศษหญ้าปลิวว่อนข้างหลังหานเยวีย พายุมืดหมุนวนเป็นมังกรขด สายลมกระจายออกแล้ว เศษหญ้าแห้งรวมเป็นร่างอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ สูงใหญ่ มองผู้บำเพ็ญหนุ่มสองคนบนหน้าผา
ภูเขาใหญ่แสนลี้แดนทักษิณ ผู้บำเพ็ญภูตผีปกครองเก้าหมื่นลี้
ในวิชาบำเพ็ญภูตผี วิชาที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือพิษแมลง
คนเลี้ยงแมลง จิตใจเฉยชาไร้ความรู้สึก ขาสองข้างเหยียบทั่วภูเขาใหญ่ธารน้ำอำมหิต เก็บแมลงพิษหลายสิบหลายร้อยตัวนำมาใส่ในภาชนะปิดสนิท ปล่อยให้มันสู้กัน หลังจากเป็นตาย พ่ายแพ้ก็เปลี่ยนใหม่ ทำซ้ำไปเช่นนี้…จนกระทั่งถึงที่สุด ตัวนั้นที่แกร่งที่สุดที่รอดมาได้ ก็คือ ‘แมลงพิษ’
หานเยวียมองผู้บำเพ็ญหนุ่มสองคนบนหน้าผา
เหมือนมองแมลงพิษสองตัว
……………………..