เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 103 คนธรรมดาไม่อาจมองเทพเจ้า
ตอนที่ 103 คนธรรมดาไม่อาจมองเทพเจ้า
หลี่ไป๋หลินมองบุรุษชุดคลุมดำ
“นี่ไม่ใช่เด็กสาวของข้า…” องค์ชายสามพูดเสียงเบา “นี่คือ ‘สินค้า’ที่ชีวิตพวกเจ้าสี่คนรวมกันแล้วยังสำคัญกว่า ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมีชื่อเสียงทัดเทียมกับนกกระจอกเงินในโลกเทาหรืออัจฉริยะหนุ่มที่หายากในเขาศักดิ์สิทธิ์ ในค่ายแดนประจิมมีทรัพยากรให้ใช้ไม่หมด พวกเจ้าขอไปได้ตามสบาย แต่ภารกิจในวันนี้จะต้องลุล่วงก่อน นางจะบาดเจ็บไม่ได้แม้แต่นิด เข้าใจหรือไม่”
เสียงของหลี่ไป๋หลินมีความน่าสะพรึงกลัว
เมื่อได้ยินดังนั้น บุรุษชุดคลุมดำก็มีเหงื่อเย็นๆ ซึมมาจากหน้าผากเล็กน้อย
เขาไม่เคยเห็นองค์ชายสามมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน รู้ว่าคำพูดตนไปล่วงเกินองค์ชายต้าสุยท่านนี้แล้ว จึงพูดเสียงแหบแห้ง “องค์ชาย จิ้งจอกลมรับรองว่าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ”
หลี่ไป๋หลินทำเสียงหึ ไม่สนใจสี่คนนี้อีก แต่คว้ามือเด็กสาวไปกดกับผนังหิน
เด็กสาวร้องด้วยความเจ็บปวด
“ทนเจ็บมานานขนาดนี้ ตอนนี้เจ้าลองส่งความเป็นเทพเข้าไปในผนังหินนี้ดู” เขาใช้เสียงเบายิ่งที่มีเพียงสองคนได้ยินกระซิบข้างหูเด็กสาว “ข้าว่าเจ้าฉลาดหน่อยดีกว่า อย่าปฏิเสธ”
เสียงเข้าถึงหูเด็กสาว
ใต้หมวก เป็นใบหน้าที่อยู่ในความเจ็บปวดก็ยังงดงามมาก
สวีชิงเยี่ยนกัดฟัน ช่วงนี้ความเป็นเทพภายในกายนางกำเนิดเร็วขึ้นมาก ถูกกลอุบายแข็งแดนประจิมกดลงไปไม่หยุด อุดไว้ไม่ให้ออกมา ดังนั้นทุกวินาทีคือความทรมานอย่างหนึ่ง
มาถึงภูเขาแดง อุณหภูมิที่นี่สูงขึ้นเรื่อยๆ นางกลับไม่ส่งเสียงใดๆ เลย เพราะนางกำลังต่อต้านความเจ็บปวดของความเป็นเทพกำเนิดในกาย ความเจ็บปวดที่ส่งถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณนั้นทรมานยิ่งกว่าอุณหภูมิร้อยเท่า
หน้าผากนางมีเม็ดเหงื่อไหลลงมาเรื่อยๆ แก้มแดงเรื่อ ลมหายใจกระชั้น ฝ่ามือขาวเนียนถูกตนกดจนเป็นรอยแดงเข้ม
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น มองผนังหินนี้ผ่านผ้าปิดหน้า
ความเป็นเทพสั่งสมในกายตนมานานแล้ว ผนังหินนี้ก็เหมือน ‘ภาชนะ’
หากส่งความเป็นเทพของตนเข้าไปในผนังหิน ความเจ็บปวดร้อนแผดเผาซ้ำไปมาในกายตอนนี้…จะบรรเทาลงชั่วคราวอย่างไม่ต้องสงสัย
นางพ่นลมหายใจหอมกรุ่นยาว
ถูกขังในห้องมืดมิดไม่เห็นแสงตะวัน ไม่เคยได้พบแสงสว่าง ไม่มีใครพูดกับนาง ความทรมานด้านจิตใจเช่นนี้ทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกาย
เดิมทีสวีชิงเยี่ยนคิดว่ามาถึงเมืองหลวง ชีวิตตนจะได้เริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง รักษาโรคร้ายในกาย นางจะได้เห็นดวงตะวันทุกวันเหมือนคนธรรมดา
วันนั้นที่รับสายลมเต้นระบำในอารามรู้กรรม เด็กหนุ่มที่มองตนเต้นคนนั้น…เพราะตน ถึงต้องตายในเมืองหลวง
ฝ่ามือนางกดกับผนังหิน น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ
ตนเป็นเพียง ‘สินค้า’…เป็นตัวหมากที่ขาดไปไม่ได้ในแผนการบางอย่าง เหนือศีรษะนางคือสวีชิงเค่อ คือองค์ชายสามต้าสุยหลี่ไป๋หลิน หนิงอี้ที่ยินดีออกหน้าแทนตนตายแล้ว นางไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนอีก
บางทีชีวิตก็เป็นเช่นนี้ พันโลก สิ่งมีชีวิตมากมายล้วนต่างกัน
ในชีวิตบางคน สิบกว่าปีก็มีเพียงเงามืด แม้จะเคยเห็นแสงสว่างก็เป็นแค่ความเมตตาของสวรรค์
แสงสว่างนี้ไม่ใช่ของนาง อ้อนวอนกว่านี้ก็ไม่ได้มา
ความเป็นเทพในกายเริ่มระดมกำลัง
สวีชิงเยี่ยนเหนี่ยวนำภายในกายตนเงียบๆ สิ่งที่บีบอัดจากของเหลวจนรวมเป็นผลึกเล็กพวกนั้น…ความเป็นเทพถูกกดจนถึงขั้นนี้ พลังงานค่อนข้างมากแล้ว น่ากลัวอย่างยิ่ง
คลื่นลมโหมซัดสาดมาจากฝ่ามือนาง เส้นทางภูเขาแคบยาว ใบไม้มากมายถูกความเป็นเทพหนาแน่นปั่นป่วน ลอยขึ้นฟ้า หินภูเขาโดยรอบเริ่มสั่นไหว
แม้แต่ในแววตาที่หลี่ไป๋หลินมองนางยังมีความแปลกใจเสี้ยวหนึ่ง
คุณชายชิงเค่อเคยบอกเขาว่าภายในกายเด็กสาวซ่อน ‘คลังความเป็นเทพ’ ไว้ ความเป็นเทพที่กดรวมกันทุกคืนวันมีจำนวนพอดู จนเมื่อวันล่าเหยื่อมาถึง เริ่มเปิดแดนต้องห้าม ก็ต้องใช้ความเป็นเทพจำนวนมาก
แต่เขาไม่นึกเลยว่าความเป็นเทพในกายสวีชิงเยี่ยนจะมากถึงขนาดนี้ หลังขับออกมาจากกาย ถึงขั้นขยับหินภูเขาได้ พลังงานไหลหลากเช่นนี้ ระดับความหนาแน่นและแข็งแกร่งเหนือกว่าแสงดารา หินภูเขาแดงที่เดิมทีแข็งแรงถูกกระเทือนจนสั่นไหวไปมา มีกลิ่นฟ้าดินถล่มทลาย
ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะสี่คนข้างหลังเผยแววตาหวาดกลัวเช่นกัน…พวกเขามองสวีชิงเยี่ยนเหมือนมองสัตว์ประหลาด ตนเป็นบุคคลชั้นหนึ่งที่มีพรสวรรค์ของต้าสุย พวกเขาย่อมรู้ว่าสิ่งที่ไหลผ่านกายเด็กสาวออกไปไม่หยุด กัดเซาะหินภูเขาแดนต้องห้ามบุพกาลนี้คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเป็นเทพ’
ระดับความหายากของสิ่งนี้เหนือกว่าไข่มุกตะวันคร้านพันปี
ที่ภูเขาลั่วเจียนั่งอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายได้ก็เพราะมี ‘ฝูเหยา’ กำเนิดมาก็มีความเป็นเทพจำนวนมาก สร้างความตกใจให้คนใหญ่โตของโลกบำเพ็ญเขาศักดิ์สิทธิ์ ถูกเรียกว่า ‘ครึ่งเทพ’ หญิงน่าตกใจคนนั้นฝึกถึงพลังบำเพ็ญเช่นนี้ได้ก็เพราะเขาลั่วเจียปกป้องนางด้วยกำลังทั้งหมด ให้ความเป็นเทพลดลงอยู่ในความสมดุลตลอด ไม่ให้อ่อนเกินไปหรือถูกความเป็นเทพระเบิดตาย แต่เด็กสาวคนนี้…ความเป็นเทพที่อยู่ในตัวนาง ระดับความแกร่งเช่นนี้ แทบจะเหนือกว่าสิ่งที่ผู้บำเพ็ญสี่คนนี้ได้ยินมา
นางอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
ตามองค์ชายสามมาสุดทางภูเขาแดง คนที่ได้เห็นความสง่างามของแดนต้องห้ามบุพกาลล้วนรู้หลักการ ‘การสอดรู้จะฆ่าแมวตาย’ นี้ พวกเขาเพียงแค่จ้องเด็กสาวเขม็ง ไม่ได้ถามสิ่งที่สงสัยเลย แต่เหงื่อบนหน้าผากกลับมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงตอนนี้ในความคิดพวกเขาปั่นป่วน ใบหน้าเด็กสาวงดงามกว่านี้อย่างไร พวกเขาก็ไม่อยากรู้อีก…ในสายตาพวกเขา เด็กสาวคนนี้ไม่อยู่ในขอบเขตของ ‘มนุษย์’ แล้ว
องค์ชายสามรับสัตว์ประหลาดเช่นนี้มา นี่ต้องมีความกล้าเพียงใด ให้มนุษย์ที่ซ่อนความเป็นเทพมหาศาลขนาดนี้อยู่ร่วมกับตน…หากวันหนึ่ง จิตใจของเด็กสาวเกิดปัญหา หรือร่างกายเกิดปัญหา ความเป็นเทพระเบิด จะเกิดผลแบบใด
ทุกอย่างไม่อาจรู้ได้เลย
……..
ฝ่ามือกดบนผนังหินร้อนแผดเผา
ความเป็นเทพในกายสวีชิงเยี่ยนไหลหลากออกไป ถูกนางกดไว้มานานมาก ตอนนี้ในที่สุดก็หารูระบายพบ ผลึกความเป็นเทพที่ดูเหมือนแข็งพลันแตกกระจายออก ธารน้ำใหญ่จากในเส้นเลือดลมของนาง ผ่านฝ่ามือพุ่งออกไป
ผนังหินแดนต้องห้ามบุพกาลสีดำเริ่มเปล่งแสงสว่างอ่อนๆ
ใบหน้าเด็กสาวที่ซ่อนใต้หมวกก็เปล่งแสงเล็กน้อยเช่นกัน
ปลายคิ้วนางยกขึ้น พยายามคุมอารมณ์ชั่ววูบที่จะหันกลับไปไว้…ความเป็นเทพของตนไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานเริ่มหลั่งไหลสู่หัวใจเมื่อความเป็นเทพไหลออกไป
หัวใจของสวีชิงเยี่ยนเริ่มเต้นเร็วขึ้น
เหมือนกลับไปตอนบ่ายอุ่นๆ นั้น
แม้จะห่างมานานมาก ความเป็นเทพในกายนางก็ยังจับถึงคลื่นคุ้นเคยนั้นได้อย่างเฉียบคม
ผนังหินแดนต้องห้ามบุพกาลต้องใช้ความเป็นเทพของตน แต่นี่ไม่ใช่ที่พักพิงที่ดีที่สุด ยังมีสิ่งที่เหมาะกับตนมากกว่า เด็กหนุ่มที่ยืนนอกประตูไผ่ของตนและเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงตะวัน
หรือเขาจะไม่ได้ตายในเมืองหลวง
หัวใจสวีชิงเยี่ยนเต้นปั่นป่วน นามของหนิงอี้อยู่ตรงปากนาง แทบจะพูดออกไป แต่เป็นเพียงพยางค์คลุมเครือ ฟังดูเหมือนเสียงร้อง จากนั้นก็ถูกสติแจ่มชัดกดลงไปอย่างยากลำบาก ข้างกายนางคือองค์ชายสามหลี่ไป๋หลิน ตอนนี้ต่อให้นางสังเกตเห็นอะไรก็จะเผยสีหน้าใดๆ ไม่ได้
ในดวงตาสวีชิงเยี่ยนมีความแน่วแน่เสี้ยวหนึ่ง หันศีรษะเล็กน้อย มองไปทางหนึ่งของภูเขาแดง สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังคือ…ผนังหินภูเขาสูงบดบังสายตาของนาง นางมองเห็นไกลกว่านี้ไม่ได้ ว่าจะมีร่างเงาคนหนึ่งยืนอยู่หรือไม่ ข้ามพันภูเขาหมื่นลำธาร รอพบตนอยู่หรือไม่
แสงสว่างจ้าขึ้น หลังความเป็นเทพส่งเข้าไปในผนังหินมันก็ย้อมเป็นภาพลี้ลับ ลวดลายกว้างและเล็กถูกความเป็นเทพส่งเข้าไป ไหลมาช้าๆ เหมือนวาดลายซับซ้อนของลายค่ายกลเก่าแก่ ถูกเปลวเพลิงร้อนแรงไหลเข้าไป สวีชิงเยี่ยนไม่เคยรู้สึกเลยว่าความเป็นเทพในกายตนจะเดือดพล่านได้ขนาดนี้
ผนังหินไม่รับความเป็นเทพของนางอีก
เด็กสาวถอยไปสองก้าวด้วยความสับสน
นางมองผนังหินยักษ์ที่มีแสงสว่างร้อนแรงตรงหน้า ความเป็นเทพไหลย้อนกลับจากล่างขึ้นบน ร้อนแผดเผาดุจนกยูงรำแพนหาง แผ่นดินพาเสียงหัวใจเต้นอันร้อนแรงดังขึ้นตรงส่วนลึกสุดของเขตต้องห้ามนี้
ทั้งภูเขาแดง…ตอนนี้กำลังสั่นสะเทือน
ลายของผนังหินด้านนี้ ถอยไปสองก้าวมองดู เหมือนดวงตาของลายค่ายกลซับซ้อน
แสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งจากบางแห่งในภูเขาแดง พุ่งขึ้นเมฆนภา
พลันระเบิดกระจาย
จากนั้นแสงสีขาวก็พุ่งมาจากอีกด้านของภูเขาแดง
คุณชายน้ำค้างที่กลับเข้ารถม้ามองผ่านม่านรถ มองผนังหินที่ค่อยๆ ควบแน่น จากนั้นเปิดเป็นรูเล็กๆ พลางพูดพึมพำ “นี่เป็น…ผลงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
หนึ่งหยางหนึ่งหยิน สองรูปลักษณ์เปิดออก
ความร้อนและหนาวสุดขั้ว สองด้านที่มีภูเขาแดงกั้น มองขึ้นไปเหมือนดวงตาเก่าแก่ ดวงตาคู่นี้แฝงทุกสรรพสิ่งในโลก แต่ไม่มีความรู้สึกใดปะปนเลย
เมื่อสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก…ความเป็นเทพ เติมเต็มช่องว่างร่องหุบเขาผนังหิน ดวงตาคู่นี้ก็จะจุดฟ้ายามราตรีของทั้งปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ
คนธรรมดาไม่อาจมองเทพเจ้าตรงๆ
หากมองก็จะตกลงหุบเหวชั่วนิรันดร์ นับจากนั้น มองสิ่งใดอีกจะรู้สึกเบื่อหน่ายไร้รสชาติ นี่เป็นลูกกวาดหวาน แต่เหมือนยาพิษมากกว่า
เงียบอยู่นานมาก หานเยวียถึงพูดชมด้วยเสียงเบายิ่ง “เสียความเป็นเทพที่สะสมในหลอดแก้วทั้งหมด ข้าว่า…คุ้มค่ามาก”
“ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณไม่ใช่เทพเจ้าอมตะแท้จริง จุดไฟดวงตาของเขายังต้องใช้ความเป็นเทพมากขนาดนี้…” หานเยวียยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “อัจฉริยะที่แสวงหาชีวิตนิรันดร์ในโลกนี้ ห่างจากก้าวนี้ไกลมากจริงๆ”
…………………………