เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 102 แดนต้องห้ามบุพกาล
ตอนที่ 102 แดนต้องห้ามบุพกาล
พายุรุนแรงพัดผ่านภูเขาแดง เศษหญ้าขาวน้ำค้างที่เติบโตอย่างอิสระบนพื้นถูกพัดปลิวขึ้น
ตรงจุดตัดเขตแดนของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ มีเพียงพายุที่ข้ามผ่านเขตต้องห้ามได้อย่างอิสระ หลายปีมานี้ดอกไม้บานดอกไม้โรยรา พวกมันประจักษ์วัฏจักรความอุดมสมบูรณ์และโรยราของโลก ไม่ว่าจะมนุษย์หรือวิญญาณปีศาจ คนที่ก้าวมาที่นี่ ตายที่นี่ มีนับไม่ถ้วน กระดูกป่นแดง สลายเป็นเถ้าธุลี ไฟป่าลุกโชน ฝนตกหนัก สายลมใบไม้ร่วงถาโถม หิมะตกหนัก สิ่งมีชีวิตในโลกเลี่ยงบทสรุปโกยดินเหลืองไม่ได้
ยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญที่แกร่งมากเท่าไรก็ยิ่งไขว่คว้าเรื่องหนึ่ง
มุ่งสู่ความตายและกำเนิด เป็นอมตะชั่วนิรันดร์…แต่น่าเสียดายยิ่งนัก โลกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้เป็นอมตะที่แท้จริงได้ สายลมจะดับ หิมะจะหลอมละลาย
ภูเขาแดงมีทางแยกมากมาย ไม่ว่าจะเข้าจากทางใด เส้นทางสุดท้าย ความจริงห่างกันไม่ไกล ทางแยกทั้งหมดไหลมารวมกันช้าๆ บรรจบกัน น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายเหลือเพียงสองทาง
ซ้ายกับขวา ตะวันออกกับตะวันตก หยินหยางรังสรรค์ แยกเป็นสองรูปลักษณ์
รถม้าสองคันแล่นมาจากสองทางบูรพาและประจิมช้าๆ มุ่งสู่สุดทางภูเขาแดง สีของรถม้าไม่เด่นตา คันหนึ่งธรรมดาไม่ฉูดฉาด อีกคันแกะสลักดอกบัวขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของค่ายแดนประจิม
…..
“คุณชาย ใกล้จะถึงแล้ว”
บุรุษหนุ่มที่คลุมด้วยผ้าคลุมดำหนามีน้ำค้างเกาะตรงคิ้วและดวงตา พื้นที่หนาวเหน็บ เขาไม่เคยใช้แสงดาราต้านความหนาวเลย ปากกระบอกอาภรณ์เปียกน้ำค้างระหว่างผ่านหุบเขาก่อนหน้า ตอนนี้แข็งตัว ความเย็นกัดกร่อนชั้นอาภรณ์ถึงกระดูก แต่หน้าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากเลย
ผู้ติดตามเจ็ดคน ในดวงตาว่างเปล่า สนใจแค่รถม้า ตามไปข้างหน้า
ภายในรถม้ามีร่างเงาเลือนรางนั่งอยู่ ขานรับอืมเบาๆ
คนที่องค์ชายรองต้าสุยเรียกว่า ‘คุณชาย’ ได้ ในต้าสุยมีแค่ไม่กี่คน และคนที่ยินดีออกแรงในศึกแดนบูรพาประจิมครั้งนี้มีเพียงคนเดียว
ปีศาจท่านนั้นแห่งแดนบูรพาพูดเสียงเบา “ข้ามผนึกของทะเลพลิกผัน ทำให้ข้าเสียร่างระดับสูงไปสิบสองร่าง ร้อยลักษณ์ในหลอดแก้ว ห่างจากความสมบูรณ์ลดลงไปหนึ่งก้าวใหญ่เลย…เรื่องนี้ขาดทุนแล้ว ข้าต้องการ ‘ของชดเชย’ ชั้นดี”
องค์ชายรองเอ่ยราบเรียบ “ข้าเตรียมให้ท่านแล้ว”
หานเยวียก้มหน้าลง ลูบใบหน้าตนเองด้วยรอยยิ้ม เขาอยู่ในรถม้า น้ำเสียงอ่อนนุ่มละเอียด “ร่างนี้ ข้าชอบมาก น่าเสียดายมาที่นี่ ได้แค่ใช้พลังบำเพ็ญขอบเขตที่เก้า หากให้เวลาอีกหน่อยก็อาจจะไปถึงขอบเขตที่สิบ”
“เขตนี้ สามกรมจัดการได้เรียบร้อยมาก ด้วยฝีมือของคุณชาย ขอบเขตที่เก้าก็พอแล้ว” องค์ชายรองเอ่ยนิ่งๆ “ข้างหน้าเป็นแดนต้องห้ามบุพกาล”
สุดทางภูเขาแดง เส้นทางสองข้างแคบลงทีละนิด มาถึงข้างหน้าพลันเปิดโล่ง ไม่ได้มีแสงสว่างเท่าไร ตอนนี้ท้องนภามืดแล้ว แต่มีแสงมืดมิดตกลงบนผนังหินถ้ำตรงหน้าสุด พลังแห่งแสงดาราแผ่คลุมหนาทึบ ไหลเวียนบนผนังหิน ฝุ่นธุลีเก่าแก่ลอยไปมา ไม่เคยตกลง
หานเยวียในรถม้าเอ่ยเสียงสูง ทำเสียงอ้อที่มีความหมายลึกซึ้ง เขายิ้มพลางพูดพึมพำ “นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์เขตต้องห้ามที่ต้องใช้ความเป็นเทพเปิดจำนวนมากรึ วันนี้ได้เห็น น่าสนใจจริงๆ…ได้ยินว่าปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเป็นยอดปีศาจหมื่นปีที่หายากของเผ่าปีศาจ รบตายในเขตนี้ แดนต้องห้ามแห่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักต้าสุย ไม่เคยเปิดมาหลายร้อยปีแล้ว”
องค์ชายรองหยุดเดินหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ตอนนี้หลี่ไป๋หลินน่าจะถึงสุดทางเขตต้องห้ามนี้แล้ว เขาอยู่ทางตะวันตกข้าอยู่ตะวันออก ต่างเปิดแดนต้องห้ามของตัวเอง ผู้บำเพ็ญที่มีสายเลือดราชสำนักไม่พอจะเข้าไปไม่ได้”
หานเยวียตอบอืมอย่างเกียจคร้าน
ม่านขาวของรถม้าถูกลมพัด เผยใบหน้าด้านข้างที่กำลังเท้าคางเหม่อลอย น่าเสียดายสวมงอบสีขาว ผ้าปิดหน้าสะบัดเบาๆ รูปร่างอรชร…น่าตกใจเล็กน้อย ร่างหานเยวียที่มาภูเขาแดงร่างนี้ ดูดีเหมือนสตรี
เขาพูดด้วยความคับแค้นใจ “ข้าสังหารทุกคนในแดนบูรพา ลำบากรวมความเป็นเทพมาทีละนิด หลายปีมานี้ กระทั่งยอดผู้บำเพ็ญยังฆ่าไปหลายคน ดึงเส้นเอ็นลอกหนังถึงรวมความเป็นเทพในหลอดแก้วครบ ก็เพื่อวันนี้ แล้วหลี่ไป๋หลินใช้อะไรถึงเอาความเป็นเทพมากขนาดนี้ออกมาได้”
องค์ชายรองพูดอย่างจริงจัง “หลี่ไป๋หลินเอา ‘สินค้า’ ที่ลึกลับมา ช่วยให้เขาเปิดแดนต้องห้ามบุพกาลได้”
หานเยวียยิ้ม ก่อนจะเอ่ยคำว่า ‘สินค้า’ อีกสองครั้ง เขาดูมีชีวิตชีวา พูดด้วยความอารมณ์ดีมาก “สินค้าสองคำนี้น่าสนใจมาก ทำให้ข้าอยากรู้เลยว่าต่อไปจะเกิดเรื่องน่าสนใจอะไรขึ้น อดใจแทบไม่ไหวเลย…สวีชิงเค่อไม่ใช่คนธรรมดา น่าเสียดายไม่มีความกล้าที่จะข้ามแดนอุดร ไม่รู้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่าทางแดนประจิมอาจจะเกิดการซุ่มโจมตีได้”
องค์ชายรองหัวเราะ
“ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณเป็นมหาปราชญ์โบราณของเผ่าปีศาจ ฐานะสูงยิ่ง หากแดนต้องห้ามเขาเปิดจะดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจเผ่าปีศาจมากมาย” หลี่ไป๋จิงนิ่งไป ก่อนพูดต่อ “แต่กองกำลังสามกรมที่เฝ้าเขตต้องห้ามแกร่งพอ ดังนั้นคงไม่เกิดสงครามใหญ่ขึ้น…เผ่าปีศาจไม่สนใจเขตนี้ แต่เฝ้ามองมรดกของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณมานาน หากในค่ายเผ่าปีศาจมีผู้มีความสามารถด้านการทำนายชั้นหนึ่ง เตรียมการวันล่าเหยื่อในครั้งนี้ก่อนแล้วว่าราชวงศ์ต้าสุยจะเปิดเขตต้องห้าม เช่นนั้นเรื่องนี้คงไม่ง่ายขนาดนั้น”
“ข้ากับหลี่ไป๋หลินเข้าแดนต้องห้ามต่างก็ต้องใช้ความสามารถของตัวเอง หากมีผู้บำเพ็ญเผ่าปีศาจร่วมด้วย พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ไม่ต้องต้านการกัดกร่อนทางสายเลือด…” องค์ชายรองขมวดคิ้ว พูดพึมพำ “ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างจริงๆ”
“บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทอยากเห็น กฎป่าเขา ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ศัตรูตลอดหมื่นปีมานี้ของราชวงศ์ต้าสุยก็มีเพียงใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ” เสียงนุ่มนวลในรถม้าดังมาอย่างเกียจคร้าน “ครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบเล็กๆ ที่ฝ่าบาทมอบให้เจ้าเท่านั้น…เผ่าปีศาจหาญกล้ามาก่อกวน รอวันนั้นที่เจ้ารับตำแหน่งอย่างแท้จริง ก็จะให้พวกมันได้จ่ายในราคาที่เจ็บปวด”
หลี่ไป๋จิงหัวเราะ พูดเสียงเบา “ครั้งนี้ลำบากคุณชายแล้ว”
“ลำบากอะไรกัน ร่างนี้รับได้แค่พลังจิตวิญญาณเล็กน้อยของข้าเท่านั้น ตายที่นี่ก็ไม่เป็นไร” หานเยวียเอ่ยราบเรียบ “เปิดแดนต้องห้าม พลังบำเพ็ญข้าอาจจะลดลงไปอีกขอบเขต…ของชดเชยข้างนอกเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่”
หลี่ไป๋จิงตอบอืมเบาๆ เขามองไปบนผนังหินนั้น
“เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ” หานเยวียยิ้ม “เสียดายความเป็นเทพของข้าจริงๆ”
…….
รถม้าธรรมดาหยุดตรงสุดทางของภูเขาแดง
หนึ่งหยินหนึ่งหยาง สภาพแวดล้อมที่นี่แห้งแล้งผิดปกติ ไอร้อนลอยขึ้นบิดเบี้ยว พืชป่าที่เติบโตในซอกหิน ปลายใบเหี่ยวเล็กน้อย ลำต้นแคบยาวสีขาวน้ำค้างแกว่งไกว กลายเป็นสีดำไหม้เล็กน้อย
ไม่แบ่งเป็นเส้นสาย ไม่เคลื่อนสายเลือด
ข้างหน้าหมายถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในตัวและกลอุบาย ข้างหลังหมายถึงกำลังแฝงเร้นของตนเอง
หลี่ไป๋หลินจำได้ว่าก่อนเดินทางครั้งนี้ คุณชายสวีชิงเค่อกำชับกับตนไว้ว่าเส้นทางภูเขาแดงครั้งนี้ เขาเดินได้ไม่สบาย มีความยากเล็กน้อย จะใช้สมบัติและสิ่งที่ซ่อนไว้ในตัวไม่ได้ และจะใช้พลังสายเลือดราชวงศ์ต้าสุยไม่ได้ เขาได้แต่ใช้ร่างกายตนเองแบกรับความร้อนแผดเผา
“ถึงแล้ว”
หลี่ไป๋หลินลำคอแห้งเล็กน้อย เขาพ่นลมหายใจ เงยหน้าขึ้นมองแสงสีแดงอ่อนที่ตกมาจากฟ้า ตกลงบนผนังหินตรงหน้าตน
ในที่สุดก็มาถึงที่นี่
เขาเดินมาข้างรถม้า เปิดม่านรถออก
ภายในรถม้าธรรมดามีสตรีชุดคลุมขาวนั่งอยู่คนหนึ่ง สวมหมวก เหมือนตุ๊กตาไม้ สองมือซ้อนกัน เหม่อลอย
หลี่ไป๋หลินยื่นเข้าไปครึ่งตัวบน เปิดผ้าปิดหน้านางออกในรถม้าที่ไม่มีใครเห็น มองใบหน้าหญิงที่เหม่อลอยแต่กลับงดงามถึงที่สุดนั้น
นางหันหน้าช้าๆ มามองหลี่ไป๋หลิน
หลี่ไป๋หลินปิดผ้าคลุมหน้าอีกครั้ง สบตาผ่านผ้าคลุมหน้า เขากดความคิดแปลกที่พรั่งพรูเข้ามาในใจดุจสายน้ำตนไว้ ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา
“ลงมา”
ผู้บำเพ็ญสี่คนแห่งแดนประจิมคุ้มกันรถม้าเดินหน้ามาถึงที่นี่…เมื่อได้ยินคำพูดนี้ขององค์ชายสามก็มองหน้ากัน ต่างทำหน้าสงสัย องค์ชายสามเพิ่งบอกว่าลงมา หรือว่าในนั้นจะไม่ใช่ของตายกัน
ในนั้นมีคนนั่งอยู่รึ
ระหว่างทาง รถม้าโคลงเคลง เกิดคลื่นไม่หยุด ในนั้นไม่มีเสียงใดๆ เลย ที่นี่อบอ้าว องค์ชายสามใช้แสงดาราต้านไม่ได้ พวกเขาไม่ถูกจำกัด ต่อให้ใช้แสงดาราก็ยังรู้สึกร้อน ภายใต้สภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ ภายในรถม้าไม่มีเค้าลางแสงดาราไหลหลากเลย หรือว่าคนนั้นที่นั่งในนั้นจะอดทนเงียบๆ มาตลอดหรือ
ไม่นานพวกเขาก็ได้คำตอบ
หลี่ไป๋หลินปล่อยม่านรถลง มีร่างเงาสีขาวมุดออกมาจากรถม้าช้าๆ และเฉยชา นางสวมหมวก บดบังใบหน้าทั้งหมด แต่ตอนลงรถก็ยังทำให้ผู้บำเพ็ญหนุ่มที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาพวกนี้เกิดความรู้สึกตกใจอย่างหนึ่ง
ตัวอ่อนนุ่ม เปลือยเท้าสองข้าง เหยียบบนพื้น ข้อเท้าเล็ก เหมือนหยกขาวไขมันแกะ
หลี่ไป๋หลินจับมือเด็กสาว เขาเดินเร็ว เด็กสาวโซเซตลอดทาง ถูกเขากระชากมาหน้าผนังหิน
หลี่ไป๋หลินเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “หลังแดนต้องห้ามบุพกาลเปิด พวกเจ้าต้องคุ้มกันนางส่งกลับไปค่ายแดนประจิมข้า ระหว่างทางอย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ”
ผู้บำเพ็ญหนุ่มสี่คนมององค์ชายสามเงียบๆ
หลี่ไป๋หลินชูมือขาวผ่องของเด็กสาวขึ้น เตรียมจะกดบนผนังหิน เขาเหมือนนึกอะไรได้จึงกำชับอย่างจริงจัง “พวกเจ้าสี่คน สามคนมาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนเป็นอัจฉริยะมีชื่อเสียงในโลกเทา ตามหลักไม่ต้องกลัวศัตรูแข็งแกร่ง แต่เพื่อความปลอดภัย พวกแดนบูรพาอาจจะไม่มีเจตนาดี ออกจากภูเขาแดงแล้วให้เลี่ยงพื้นที่อันตราย…อย่างเช่นแท่นสูงมรณะ แล้วก็…”
บุรุษสวมผ้าคลุมดำพิงข้างผนังหิน จิตใจเขาถูกแม่นางชุดคลุมขาวดึงดูดไป ตอนนี้พลันตั้งสติกลับมาได้ มององค์ชายสามกำชับอย่างจริงจัง พูดใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “องค์ชายวางใจได้เลยขอรับ…แม้ภูเขาแดงจะมีผนึกต้องห้ามเยอะ แต่ข้าได้เตรียมเส้นทางไว้อย่างดีแล้ว จะอ้อมพื้นที่อันตรายพวกนั้นไปแน่นอน เด็กสาวคนนี้ของท่าน ข้าจะส่งให้ถึงค่ายแดนประจิมด้วยตัวเอง”
………………………….