ตอนที่ 17 ทาสวิญญาณ
ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องขังชายหนุ่มก็ได้กลิ่นอาจมหมักหมมลอยออกมาจากภายในห้องขังแห่งนั้น เขานิ่วหน้าเอามือบีบจมูกแล้วก้าวเข้าไปกวาดตามองสภาพสกปรกโสโครกของเหล่าหญิงสาวที่เคยงดงามราวกับนางเซียนทั้งหลาย หญิงสาวทั้งหมดต่างก็สะดุ้งโหยงหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน หลังจากวันนั้นเฉินเสวี่ยก็หายหน้าไปเกือบเดือนจนพวกนางพากันคิดว่าเขาคงจะจงใจขังลืมปล่อยให้พวกนางอดตายกันที่นี่เสียแล้ว ไม่คิดว่าจู่ๆ ชายสวมหน้ากากปีศาจผู้นี้จะกลับมาอีกครั้ง
เฉินเสวี่ยกวาดตามองสีหน้าที่ทั้งอ่อนเพลียและหวาดกลัวของหญิงสาวแต่ละคน เขาลืมคิดไปว่าถึงพวกนางจะไม่จำเป็นต้องกินอาหารบ่อยๆ เหมือนมนุษย์ปกติเพราะเป็นปรมาจารย์ยุทธ์กันแล้ว แต่พวกนางก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ต้องขับถ่ายของเสียอยู่ดี สภาพของพวกนางในตอนนี้จึงดูไม่จืด จะให้เขาถ่ายกากปราณให้ร่างที่สกปรกชวนอาเจียนเหล่านี้เขาทำใจไม่ลงจริงๆ เฉินเสวี่ยส่ายหน้า ก้มลงไปดึงร่างของศิษย์ตำหนักบุปผาในแหวนมิติแบบมั่วๆ ออกมาคนหนึ่งเพื่อใช้เป็นเตาบำเพ็ญแก้ขัดไปก่อน
ไม่รอให้นางฟื้นคืนสติจากการหลับใหล ชายหนุ่มก็อัดกระแทกร่างของตนเข้าสู่ช่องโพรงของนางแล้วปลดปล่อยกากปราณเข้าใส่นางในทันที เขายังไม่ทันจะได้ปลดปล่อยกากปราณระลอกที่สองเข้าสู่ร่างของนางก็พบว่านางถึงกับขาดใจตายไปเสียแล้ว ชายหนุ่มโยนร่างไร้ชีวิตที่ถูกกากปราณแช่แข็งไปทางหนึ่งแล้วดึงร่างของหญิงสาวคนใหม่ออกมาจากแหวนมิติ ทำเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่ยี่สิบสี่ครั้งกว่าจะถ่ายกากปราณออกจากร่างได้หมด
หลังจากเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับปรมาจารย์ยุทธ์สองดาว เขาก็หันไปกวาดศพแข็งทื่อทั้งยี่สิบสี่ร่างที่กองเรียงรายอยู่บนพื้นคุกเก็บคืนใส่ลงไปในแหวนมิติ คิดในใจว่าค่อยหาโอกาสเอาศพเหล่านี้ไปทิ้งที่อื่นในวันหลัง
พอหันไปมองเหล่าหญิงสาวที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้ในห้องขังก็เห็นว่าพวกนางต่างมีใบหน้าซีดเผือด คงจะกลัวเขาขึ้นมากกว่าเดิมล่ะสิท่า ฮะๆ ๆ
“เจ้ามันเป็นปีศาจ” หญิงสาวคนหนึ่งกัดฟันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เฉินเสวี่ยได้ยินนางต่อว่าตนดังนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆ ๆ เจ้าเข้าใจถูกแล้วล่ะ”
เขาเดินกลับออกมาจากภายในห้องขัง ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าคงจะต้องเร่งฝึกเคล็ดรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณเสียแล้ว จะได้มีทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์มาคอยทำงานรับใช้เรื่องจิปาถะอย่างเช่นการทำความสะอาดร่างกายของพวกนักโทษและยกอาหารไปให้พวกนักโทษกินกันในคุก ทาสคนแรกที่ตนจะทดลองประทับรอยโลหิตวารีลงไปก็ต้องเลือกเฟ้นให้ดีๆ อีกด้วย
เฉินเสวี่ยเริ่มต้นฝึกเคล็ดรอยโลหิตวารีสดวิญญาณในวันนั้นเลย เขาพบว่าเคล็ดย่อยเคล็ดนี้มีความยากกว่าเคล็ดย่อยทุกเคล็ดที่ผ่านมาทั้งหมด สมกับที่เป็นเคล็ดย่อยลำดับสุดท้ายในเคล็ดจันทราวารี
แรกเริ่มคือเขาต้องโคจรพลังปราณในร่างตามเคล็ดวิชาย่อยนี้เพื่อค่อยๆ กลั่นเลือดในกายของตนให้กลายเป็นของเหลวธาตุน้ำอันบริสุทธิ์ ข้อมูลที่อยู่ในหัวของเขาทำให้เขารู้ว่าตนยังไม่มีความสามารถมากพอจะกลั่นโลหิตทั้งหมดในร่างกายให้บริสุทธิ์ได้ในคราเดียว จำเป็นต้องใช้สมาธิขั้นสูงแยกโลหิตออกมาเพียงหยดเดียวก่อน แล้วค่อยๆ กลั่นหยดโลหิตหยดนั้นทีละเล็กละน้อยทุกวันไปจนกว่ามันจะกลายเป็นสีฟ้าใส
เพียงแค่เริ่มกลั่นโลหิตวันแรกเขาก็รู้สึกราวกับพลังในร่างถูกสูบไปจนแทบจะหมดเกลี้ยง นี่ก็ฝึกต่อเนื่องกันมาห้าวันจนแทบจะไม่มีแรงเดินแล้วแต่กระนั้นหยดโลหิตเพียงหนึ่งเดียวนั้นก็ยังคงเป็นสีแดงขุ่นเข้มแทบจะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เฉินเสวี่ยชักจะเริ่มท้อเป็นครั้งแรก หากยังคงเป็นเช่นนี้ พวกนักโทษในห้องขังคงจะได้เน่าตายก่อนที่ตนจะฝึกเคล็ดนี้สำเร็จเป็นแน่
เฉินเสวี่ยก้มลงมองร่างกายของตนที่วันนี้เพิ่งจะกลายเป็นหญิงอีกครั้ง แล้วถอนหายใจ ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกเคล็ดวิชาย่อยเคล็ดนี้ เรื่องการมีข้าทาสมาทำงานแทนคงจะต้องพักเอาไว้ก่อน ตอนนี้ไม่ว่างานยิบย่อยอะไรที่อยู่ในตำหนักมารนางก็คงจะต้องลงมือจัดการด้วยตนเองไปพลางๆ
หญิงสาวเดินลากขาอย่างเบื่อหน่ายกลับไปที่ห้องขัง คราวนี้ยามที่เหล่านักโทษเห็นหน้านางต่างก็แสดงสีหน้าดีใจกันจนออกนอกหน้า
“ข้าจำได้ว่าเจ้าคือศิษย์ใหม่ของตำหนักบุปผาที่ชื่อฮวาไห่เยว่นี่นา เจ้ามาช่วยพวกอาจารย์ใช่หรือไม่” ฮวาหยุนซีผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่แห่งยอดเขาหมอกพิรุณร้องทักเฉินเสวี่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
เฉินเสวี่ยคร้านจะเสวนากับนางให้มากความ จึงแสร้งทำแววตาเหม่อลอย เดินไปปลดโซ่ที่ล่ามพวกนางและเก็บพวกนางลงในแหวนมิติทีละคน ไม่ว่าพวกนางจะพยายามพูดจาสื่อสารอะไรกับนาง นางก็ทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินทั้งสิ้น เมื่อเก็บผู้หญิงที่ถูกล่ามในคุกจนหมดนางก็ทำจมูกย่น กลิ่นในห้องนี้ช่างเลวร้ายจนจมูกของนางเกือบจะพิการไปแล้ว คราวหลังจะทำอะไรคงต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้อีกหน่อย นางพาหญิงสาวเหล่านี้ไปอาบน้ำชำระล้างคราบสกปรกที่ลำธารในสวนดอกไม้ด้านนอกอาคารเพราะรังเกียจไม่อยากให้สิ่งสกปรกบนร่างของหญิงสาวเหล่านี้ไปทำห้องอาบน้ำของนางเปื้อน ส่วนเรื่องการทำความสะอาดห้องขังนั้น เอาไว้ให้นางมีทาสเมื่อไหร่ค่อยสั่งให้ทาสของนางเป็นคนมาทำก็แล้วกัน
เฉินเสวี่ยนำร่างอันสกปรกทั้งสิบสี่ร่างออกมาทำความสะอาดพร้อมกันในคราเดียว นางจับพวกนางถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เอาก้อนหินอุดปากพวกนางเอาไว้แล้วล่ามโซ่เอาไว้กับห่วงโลหะริมลำธาร จัดการให้ทั้งสิบสี่คนนั่งแช่อยู่ในน้ำที่ลึกระดับลำคอ ปล่อยให้น้ำที่ไหลค่อนข้างเชี่ยวในลำธารสายเล็กๆ นี้ชะล้างสิ่งปฏิกูลบนร่างของพวกนางออกไปเอง ระหว่างรอเวลาให้ร่างของพวกนางสะอาด เฉินเสวี่ยก็นั่งบนก้อนหินริมลำธารแล้วฝึกเคล็ดรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณต่อไปแบบเงียบๆ
หลังผ่านไปประมาณสองชั่วยาม เฉินเสวี่ยก็ดึงร่างที่กำลังหนาวสั่นของเหล่าโฉมงามแห่งตำหนักบุปผาขึ้นมาจากน้ำทีละคน ทำการเช็ดตัวให้แบบลวกๆ แล้วยื่นหมั่นโถวเย็นชืดป้อนใส่ปากให้พวกนางกิน หญิงสาวทั้งสิบสี่ต่างก็เคี้ยวและกลืนหมั่นโถวที่ถูกป้อนใส่ปากของตนด้วยความตะกละตะกลาม พอเฉินเสวี่ยวเห็นพวกนางกินเสร็จก็ทำการเก็บร่างของพวกนางลงไปในแหวนมิติอีกครั้ง
กว่าจะเสร็จเรื่องเฉินเสวี่ยก็เหน็ดเหนื่อยจนเมื่อยขบไปทั้งร่าง นางบิดขี้เกียจแล้วเดินเล่นไปรอบๆ สวนดอกไม้เพื่อผ่อนคลายจิตใจ เดินไปเดินมาก็เดินเรื่อยมาจนถึงชายขอบของค่ายกลรอบตำหนักมาร นางไม่ได้ออกมาแถวนี้เสียหลายเดือนเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องการฝึกวิชา มารอบนี้ไม่ยักกะเห็นเจ้ากอเอี๊ยะหัวเงินนั่นแฮะ สงสัยว่าจะถอดใจไปหากินที่อื่นแล้วกระมัง
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง ตอนนี้นางก็บรรลุขั้นปรมาจารย์ยุทธ์สองดาวแล้ว มีความมั่นใจในพลังฝีมือของตนเองมากขึ้นอีกเยอะเลย หากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรทั้งหลายในห้วงมิตินี้อีกครั้งนางก็ไม่กลัวพวกมันแล้ว เอาไว้มีเวลาว่างนางจะออกไปสำรวจห้วงมิติแห่งนี้ใหม่อีกครั้ง แต่คงยังไม่ใช่วันนี้หรอก เพราะตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือต้องหาทาสรับใช้ให้ได้สักคนก่อน เรื่องออกไปสำรวจน่ะ ทำเมื่อไหร่ก็ได้
หญิงสาวหันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักมารของตน จึงไม่ทันเห็นว่าบนยอดไม้ไกลๆ ออกไปมีดวงตาสีเขียวเรืองคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองนางอย่างหมายมาด พอนางเดินหายลับเข้าไปในตำหนักมาร เจ้าของดวงตาสีเขียวเรืองก็ค่อยๆ โผล่ร่างออกมาจากพุ่มไม้ที่มันแอบซุ่มอยู่
เฉินเสวี่ยคร่ำเคร่งกับการฝึกเคล็ดรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณเกือบสองเดือนกว่าจะทำการกลั่นโลหิตวารีหยดแรกของตนได้สำเร็จ
เขารู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะเลือกใครมาเป็นทาสคนแรกของตนดี เขาไม่สามารถเลือกหนึ่งในสัตว์อสูรที่เก็บอยู่ในแหวนมิติของตนมาเป็นทาสได้เพราะการจะฝังรอยโลหิตวารีลงบนวิญญาณของสัตว์อสูรจะต้องใช้โลหิตมากถึงสองหยด และตอนนี้เขาก็มีเพียงหยดเดียวเท่านั้น เห็นทีว่าจะต้องเลือกออกมาจากหนึ่งในหญิงสาวที่เก็บมาจากตำหนักบุปผา
ปกติแล้ว หากจะเลือกทาสก็ควรจะเลือกผู้ที่มีพลังฝีมือสูงที่สุด เพื่อที่จะได้เอาไว้ใช้งานในอนาคต ซึ่งผู้ที่มีพลังฝีมือสูงที่สุดในตำหนักบุปผาก็คือฮวาไหนไหน่ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักบุปผา แต่หากประทับรอยลงบนวิญญาณของนางให้มาเป็นทาสของเขาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสภาพความคิดจิตใจของนางจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง หากนางสูญเสียตัวตนหรือความทรงจำในอดีตไป เขาก็คงเสียดายแย่ เพราะนอกจากจะแก้แค้นไม่สนุกแล้ว นางยังอาจจะลืมวิธีการทำลายกำแพงม่านพลังที่ครอบตำหนักบุปผาไปด้วย ดังนั้นเขาคงจะต้องเลือกผู้อาวุโสที่มีพลังฝีมือรองลงมาคนอื่นแทน
เขารู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะเลือกใครมาเป็นทาสคนแรกของตนดี เขาไม่สามารถเลือกหนึ่งในสัตว์อสูรที่เก็บอยู่ในแหวนมิติของตนมาเป็นทาสได้เพราะการจะฝังรอยโลหิตวารีลงบนวิญญาณของสัตว์อสูรจะต้องใช้โลหิตมากถึงสองหยด และตอนนี้เขาก็มีเพียงหยดเดียวเท่านั้น เห็นทีว่าจะต้องเลือกออกมาจากหนึ่งในหญิงสาวที่เก็บมาจากตำหนักบุปผา
ปกติแล้ว หากจะเลือกทาสก็ควรจะเลือกผู้ที่มีพลังฝีมือสูงที่สุด เพื่อที่จะได้เอาไว้ใช้งานในอนาคต ซึ่งผู้ที่มีพลังฝีมือสูงที่สุดในตำหนักบุปผาก็คือฮวาไหนไหน่ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักบุปผา แต่หากประทับรอยลงบนวิญญาณของนางให้มาเป็นทาสของเขาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสภาพความคิดจิตใจของนางจะเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง หากนางสูญเสียตัวตนหรือความทรงจำในอดีตไป เขาก็คงเสียดายแย่ เพราะนอกจากจะแก้แค้นไม่สนุกแล้ว นางยังอาจจะลืมวิธีการทำลายกำแพงม่านพลังที่ครอบตำหนักบุปผาไปด้วย ดังนั้นเขาคงจะต้องเลือกผู้อาวุโสที่มีพลังฝีมือคนอื่นแทน
ก่อนหน้านี้เขาได้สืบมาเรียบร้อยแล้ว ตำหนักบุปผาที่คนภายนอกรับรู้นั้นแตกต่างจากตำหนักบุปผาในความเป็นจริง ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักบุปผาที่คนภายนอกรับรู้กันก็คือเจ้าตำหนักฮวาไหนไหน่ ซึ่งเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ 4 ดาว แต่เมื่อเฉินเสวี่ยได้แฝงตัวเข้ามาเป็นศิษย์ในตำหนักบุปผา ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตำหนักบุปผาได้แอบซ่อนอัจฉริยะผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ยุทธ์ 6 ดาวเอาไว้ด้วยอีกคนหนึ่ง นางเป็นศิษย์น้องเล็กของฮวาไหนไหน่ ชื่อว่าฮวาซื่อซวิน เดิมทีเจ้าสำนักรุ่นก่อนคิดจะวางตัวให้นางได้เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อมา แต่นางเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายและไม่ค่อยจะยอมมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น วันๆ ถ้าไม่เอาแต่เก็บตัวฝึกวิชาอยู่ในถ้ำที่พำนักของตอนเองก็มักออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ที่โลกภายนอก นานๆ จะกลับมาที่สำนักสักคราหนึ่ง ยามใดที่นางกลับมาที่สำนัก แม้แต่ฮวาไหนไหน่ยังต้องให้ความเกรงใจนาง แต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้ฮวาซื่อซวินผู้นี้ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์จึงรอดพ้นจากการถูกเฉินเสวี่ยจับตัวมาได้
ส่วนผู้ที่มีพลังฝีมืออันดับสองของตำหนักบุปผานั้น ก็ยังไม่ใช่ฮวาไหนไหน่อยู่ดี ฮวาไหนไหน่นั้นมีพลังฝีมือเป็นอันดับสามของตำหนักบุปผา อันดับที่สองนั้นแท้จริงแล้วก็คือผู้อาวุโสฮวาหยุนซี อาจารย์ใหญ่แห่งยอดเขาหมอกพิรุณ เดิมทีสิบสี่ปีที่แล้วฮวาหยุนซีเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ 3 ดาวเท่านั้น แต่นางกลับก้าวหน้าในการฝึกอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงหกปีก็สามารถยกระดับพลังฝีมือขึ้นเป็นปรามาจารย์ยุทธ์ 4 ดาวได้ก่อนผู้อาวุโสท่านอื่นๆ และเมื่อสองเดือนที่แล้ว จู่ๆ ฮวาหยุนซีผู้ที่มีอายุน้อยกว่าฮวาไหนไหน่ถึงยี่สิบกว่าปีก็ถึงกับทะลวงด่านและก้าวขึ้นเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ 5 ดาวได้สำเร็จ แซงหน้าทุกคนในตำหนักบุปผาไปแบบไม่เห็นฝุ่น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะนางมีพลังปราณธาตุน้ำเข้มข้นกว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนัก ทำให้สามารถฝึกเคล็ดวิชาธาตุน้ำของยอดเขาหมอกพิรุณควบคู่กับเคล็ดบุปผาหยกได้ เคล็ดวิชาทั้งสองจึงช่วยส่งเสริมกันทำให้การฝึกรุดหน้าได้เร็วกว่าผู้อื่นมาก แต่เรื่องที่นางกลายเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ 5 ดาวนั้น ทางตำหนักบุปผาหาได้ป่าวประกาศออกไปให้คนภายนอกรู้ คงจะอยากเก็บเอาไว้เป็นไพ่ตายของสำนักกระมัง
ดังนั้นหากไม่นับฮวาซื่อซวินผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแคว้นเทียนซานตอนนี้แล้วละก็ ฮวาหยุนซีก็จะกลายเป็นผู้ที่มีพลังฝีมือสูงที่สุดในแคว้นเทียนซาน เฉินเสวี่ยจึงตัดสินใจจะใช้นางเป็นเหยื่อรายแรกที่จะทำการฝังรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณของตน
ชายหนุ่มกวาดตาเข้าไปมองภายในแหวนมิติของตน ภายในนั้นมีร่างของสาวงามตำหนักบุปผานับพันคนบรรจุอยู่ จึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะหาร่างของฮวาหยุนซีเจอ เขาดึงนางออกมาจากแหวนมิติ วางร่างที่ยังคงหลับใหลของนางลงบนเตียงอย่างเบามือ เพื่อความไม่ประมาทเขายังคงคล้องโซ่ที่เชื่อมติดกับปลอกคอของนางเอาไว้กับห่วงโลหะที่หัวเตียง จากนั้นก็โคจรพลังยุทธ์ตามเคล็ดรอยโลหิตวารีสะกดวิญญาณ เพียงแค่ชั่วระยะไม่กี่ลมหายใจหยดโลหิตสีฟ้าใสกระจ่างที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเขาก็ค่อยๆ ไหลออกมาตามเส้นโลหิตที่แขนขวาแล้วซึมซาบออกมาลอยอยู่เหนือปลายนิ้วชี้ของเขา เฉินเสวี่ยยกมันขึ้นมาส่องดูกับแสง พบว่าภายในหยดโลหิตสีฟ้านี้ถึงกับมีเงาสีดำจางๆ รูปร่างคล้ายวิญญาณขนาดจิ๋วล่องลอยอยู่ภายในนั้น แม้จะเล็กจิ๋วและเลือนรางแต่ก็แผ่ไอมารที่เจือกระแสความโหดเหี้ยมและความลึกลับออกมาด้วย
ชายหนุ่มหลับตาทวนเคล็ดวิชาในหัวของตนเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็ก้าวเข้าไปนั่งคร่อมร่างอ่อนระทวยของฮวาหยุนซีที่นอนอยู่บนเตียง เฉินเสวี่ยแตะหยดโลหิตสีฟ้าใสที่ปลายนิ้วของตนลงที่ตำแหน่งตรงกลางหน้าผากของนาง หยดโลหิตค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในผิวหนังของนางแล้วหายวับไป เฉินเสวี่ยรีบส่งพลังยุทธ์ของตนตามเข้าไปในจุดที่มันเพิ่งจะซึมผ่าน จัดการบังคับหยดโลหิตที่ทำท่าจะวิ่งพล่านแบบไร้ทิศทางในเส้นลมปราณของฮวาหยุนซีให้มุ่งตรงไปยังตำแหน่งก้านสมองของนางและฝังตัวของมันเอาไว้ตรงนั้น หลังจากเห็นว่ามันเข้าควบคุมก้านสมองของนางและค่อยๆ แผ่ขยายเงาดำมืดไปทั่วร่างของนางเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยถอนพลังยุทธ์ของตนออกมา
เขาถอยออกมารอคอยอย่างเงียบๆ ให้ทาสวิญญาณคนแรกของตนลืมตาตื่นขึ้น เพียงไม่นานดวงตาคมซึ้งของนางก็ค่อยๆ กะพริบแล้วลืมขึ้นมาด้วยอาการงุนงง แต่ครู่เดียวมันก็กลับมามีประกายเช่นยามปกติ ดูเหมือนว่านางจะสงสัยว่าเหตุใดตนจึงมานอนอยู่บนเตียง หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาของนางกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด แต่พอนางหันมาเห็นเฉินเสวี่ยที่สวมหน้ากากจอมมารสีเงินที่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างเตียงนางก็สะดุ้งโหยง ดูเหมือนว่านางจะจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด
“ทะ ท่าน! ข้าอยู่ที่ไหน ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด อย่าทำอะไรข้าเลย” นางกล่าวขอร้องเฉินเสวี่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้สึกกลัวคนตรงหน้ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวอย่างไม่รู้สาเหตุ
“เรียกข้าว่านายท่าน” เฉินเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จะ เจ้าค่ะ… นายท่าน” ฮวาหยุนซีเรียกตามคำสั่ง น้ำเสียงตะกุกตะกัก รูม่านตาหดเล็กด้วยความหวาดผวา
นี่เป็นทาสวิญญาณคนแรกของเฉินเสวี่ย ชายหนุ่มจึงยังไม่รู้ว่าตนสามารถออกคำสั่งและควบคุมทาสวิญญาณของตนได้ถึงระดับไหนกันแน่ คงต้องเริ่มทดสอบกันเสียตั้งแต่บัดนี้
“จากนี้ไปหากข้าถามอะไร ให้เจ้าพูดความจริงกับข้าทุกประการ ห้ามโกหกโดยเด็ดขาด และหากไม่มีความจำเป็นห้ามเจ้าเป็นฝ่ายพูดคุยกับข้าก่อน เข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าจำเหตุการณ์ทุกอย่างก่อนวันนี้ได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไหนลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยซิ”
หญิงสาวหลุบตากล่าวเสียงเบา “ก่อนหน้านั้น ข้าและคนของตำหนักบุปผาถูกนายท่านจับตัวมาทรมานที่นี่เจ้าค่ะ พวกเราไม่รู้ว่านายท่านเป็นใคร และที่นี่คือที่ไหน แต่พวกเราต่างก็กลัวนายท่านมาก”
“อ้อ จำได้ก็ดี” เฉินเสวี่ยยิ้มหยัน “เอาล่ะ ข้าจะปลดโซ่ให้เจ้า จะได้ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ” ชายหนุ่มกล่าวเสร็จก็ปลดโซ่และปลอกเหล็กที่ข้อมือและข้อเท้าออกให้นาง แต่ยังคงไม่ได้ปลดปลอกคอที่ลงอักขระเวทย์สะกดพลังปราณออกจากคอขอนาง
ฮวาหยุนซีลุกขึ้นมานั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่บนเตียงตามคำสั่งของเฉินเสวี่ย
“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด” เฉินเสวี่ยทดลองออกคำสั่งที่คิดว่าหากอีกฝ่ายไม่ถูกสะกดวิญญาณต้องไม่ยอมทำอย่างแน่นอนเพื่อจะดูปฏิกิริยาของนาง
หญิงสาวเงยหน้าขวับขึ้นมาสบตากับชายหนุ่มเมื่อได้ยินคำสั่งอันไร้ซึ่งความปรานีนั้น นางกัดริมฝีปากจนแทบจะห้อเลือด ดูเหมือนว่าจะพยายามห้ามมือตัวเองไม่ให้ทำตามคำสั่งของชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล มือเรียวบางของนางยังคงค่อยๆ ถอดอาภรณ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกจากกาย
“น่ะ นายท่าน ทำอะไรกับร่างกายของข้า?” หญิงสาวใช้สายตาว้าวุ่นสับสนมองมายังชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอย่าสงบนิ่งอยู่ที่ข้างเตียง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงไม่อาจขัดขืนคำสั่งของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของนางเห่อร้อน น้ำตาแห่งความอับอายอดสูค่อยๆ ไหลอาบแกมนวลเป็นสาย ไม่กี่อึดใจนางก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าต่อหน้าจอมมารผู้เย็นชาผู้นี้ หญิงสาวกอดเข่านั่งหันหลังให้เขาด้วยความอายระคนหวาดกลัว
“หันหน้ามาทางนี้ เอามือไว้ข้างหลัง แล้วนั่งชันเข่าอ้าขาให้ข้าดูด้วย” ชายหนุ่มยังคงออกคำสั่งที่น่าละอายต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฮวาหยุนซีค่อยๆ หันกลับมา แล้วนั่งในท่าที่ถูกสั่งอย่างว่าง่าย แต่ใบหน้าสวยคมกลับพยายามหันหนีเพื่อหลบสายตาคมกริบที่กำลังกวาดสำรวจทั่วร่างของนาง ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ฮวาหยุนซีจัดเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่สวยติดอันดับต้นๆ ของตำหนักบุปผา นางมีใบหน้ารูปไข่ คางเรียวแหลม ดวงตาคมซึ้งฉายแววเฉลียวฉลาด รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย หน้าอกใหญ่พอประมาณ เอวคอด สะโพกผาย และมีผิวกายขาวผุดผาด เฉินเสวี่ยกวาดตามองร่างกายนางแล้วอดที่จะนึกเสียดายอยู่นิดๆ ไม่ได้ เพราะหากเขาทำการประสานหยินหยางกับนาง พลังฝีมือของนางจะสูญสลายไป ดังนั้นหากเขายังไม่อยากได้ทาสที่ไร้ประโยชน์ เขาก็ห้ามล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายของนางอย่างเด็ดขาด แต่ก็ช่างเถิด ใช่ว่าเขาจะขาดแคลนสาวงามเสียเมื่อไหร่ หญิงสาวของตำหนักบุปผาที่เขาจับมายังมีอีกเป็นพันคน อยากจะหาคนมาดับไฟปรารถนาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ถือว่าเขาปรานีนางก็แล้วกัน เพราะนอกจากจะเห็นแก่ที่นางเป็นผู้มีพลังยุทธ์แก่กล้าที่สุดในแคว้นเทียนซานแล้ว เขายังเห็นแก่น้ำใจที่ก่อนหน้านี้นางเคยเอ่ยปากชักชวนให้เขาไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาหมอกพิรุณที่นางดูแลอยู่ด้วย ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าทาสวิญญาณของเขาจะยังมีสติและความรู้สึกนึกคิดเฉกเช่นยามปกติ เพียงแต่หากถูกเขาสั่งให้ทำอะไรจะไม่อาจขัดขืนได้เลย ต่อให้ไม่อยากทำขนาดไหนก็ยังต้องทำตามคำสั่งนั้น
Chapters
Comments
- ตอนที่ 17 ทาสวิญญาณ มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 16 นักโทษแห่งตำหนักมาร มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 15 กวาดปล้นตำหนักบุปผา มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 14 เก็บเหล่าหญิงงามใส่ลงในแหวนมิติ มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 13 องค์หญิงโยวหลิน มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 12 สมัครเข้าเป็นศิษย์ตำหนักบุปผา มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 11 สัตว์อสูรผมสีเงิน มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 10 ออกสำรวจห้วงมิติ มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 9 งูธารา มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 8 วางกับดัก มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 7 นายน้อยเสวียนจิ้ง มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 6 กลายร่างเป็นสตรีครั้งแรก มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 5 จิ้งจอกมายาบรรพกาล มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 4 มรดกตกทอดจากจอมมารรุ่นก่อน มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 3 ผู้สืบทอดแห่งจอมมาร มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 2 แผนการร้าย มกราคม 5, 2022
- ตอนที่ 1 นายน้อยตระกูลเฉิน มกราคม 5, 2022
MANGA DISCUSSION