เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 472 ดวงจันทร์แห่งต้าจิ้น
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 472 ดวงจันทร์แห่งต้าจิ้น
บทที่ 472 ดวงจันทร์แห่งต้าจิ้น
จี้จือฮวนเปิดประตูออกมาพอดี ลู่เอี้ยนและเผยยวนจึงรีบเดินไปหานาง “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แม่ทัพจางแม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ข้าช่วยรักษาเขาให้แล้ว จากนี้ก็รอให้เหงื่อออกมาก ๆ หลังจากไข้ลดลง พักผ่อนอีกสักหน่อยไม่นานก็หายแล้ว”
ลู่เอี้ยนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“แต่ว่าแม่ทัพจางอายุปูนนี้แล้ว ข้าแนะนำให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านจะดีกว่า ไม่รู้ว่าลูกบุญธรรมของเขาจะเต็มใจดูแลเขาหรือไม่”
“ใต้เท้าจางจะให้คนมาส่งจดหมายทุกสามเดือน ก่อนหน้านี้เขาก็เคยมาจินโจวด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง เพื่อเชิญแม่ทัพจางกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด เขาจะได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญู เพียงแต่แม่ทัพจางไม่ยอมกลับไป”
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใดกัน?”
“เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ข้าเองก็ได้ยินคนแก่พวกนั้นพูดกันตอนที่มาอยู่จินโจวแล้ว จึงได้รู้ต้นสายปลายเหตุ”
ลู่เอี้ยนเชิญพวกเขาทั้งสองคนไปนั่งที่โต๊ะหินในสวน
“ตอนที่แม่ทัพจางยังหนุ่ม หากไม่มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นคงได้เป็นราชบุตรเขยไปแล้ว”
จี้จือฮวนกับเผยยวนสบตากัน “ราชบุตรเขย? กับองค์หญิงองค์ใดกัน?”
ลู่เอี้ยนดื่มชาไปหนึ่งอึก “องค์หญิงใหญ่ที่อภิเษกเชื่อมสัมพันธ์กับถู่เจียอย่างไรเล่า เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ในตอนนั้น แต่ในเมื่อองค์หญิงใหญ่ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ การแต่งงานกับตระกูลจางจึงเป็นอันโมฆะไป อีกทั้งองค์หญิงใหญ่อภิเษกไปแดนไกลก็เพื่อราษฎรต้าจิ้น เหล่าราษฎรจึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเกรงว่าจะทำให้องค์หญิงใหญ่เสื่อมเสียชื่อเสียง นานวันเข้าทุกคนก็ค่อย ๆ ลืมเรื่องนี้ไป
หากไม่ใช่เพราะข้าถูกลดตำแหน่งต้องมาอยู่ที่จินโจว เกรงว่าก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะแม้แต่พ่อแม่ของข้าก็ไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน”
เผยยวนกับจี้จือฮวนต่างก็รู้ดีว่าตอนนั้นไท่ซ่างหวงได้เลือกสามีให้กับท่านป้าเอาไว้แล้ว แต่ไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นแม่ทัพจางม่อ ที่ปกป้องจินโจวอย่างสุดชีวิตและนอนอยู่ในห้องท่านนี้
“ที่แม่ทัพจางไม่ยอมแต่งงานอีก เพราะองค์หญิงใหญ่อย่างนั้นหรือ?”
ลู่เอี้ยนคิดไปคิดมา “แม้เขาจะไม่เคยพูดออกมา แต่ข้าก็คิดถึงเหตุผลอื่นไม่ออกแล้วจริง ๆ ตอนที่องค์หญิงใหญ่ออกเรือนตอนนั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังได้เลือกท่านแม่ทัพให้เป็นคนคุ้มกันออกจากแคว้นด้วย แม่ทัพจางจึงได้คุ้มกันขบวนไป จนกระทั่งไปถึงถู่เจียแล้วเขาจึงได้จากมาเงียบ ๆ ข้าคิดว่าผู้หญิงที่เขารักสามารถเสียสละตัวเองเพื่อบ้านเมือง เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่ต้องปกป้องบ้านเมืองของนางให้ดี นอกจากนี้แล้วยังจะสามารถทำอะไรได้อีกเล่า?”
ทันใดนั้นจี้จือฮวนก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา และพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในสวนมาตลอด เมื่อได้ยินเสียงภายในห้อง จี้จือฮวนกับเผยยวนก็รีบเข้าไปดูทันที
แววตาของจางม่อสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปที่เผยยวน จึงได้ฝืนตัวเองเพื่อจะลุกขึ้น “คารวะ…”
“แม่ทัพจางไม่ต้องมากพิธี”
จางม่อไอออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังลงไป “เมืองจินโจวปกป้องเอาไว้ได้หรือไม่?”
ลู่เอี้ยนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ปกป้องเอาไว้ได้แล้วขอรับ กองกำลังสือฟางถูกจับหมดแล้ว พวกเราปลอดภัยแล้วขอรับ”
บนใบหน้าของแม่ทัพจางพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ดีแล้ว เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เผยยวนคิดไปคิดมา จึงหยิบกระดาษจดหมายที่มีรอยยับฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วส่งให้แม่ทัพจาง “นี่คือจดหมายที่องค์หญิงใหญ่ฝากข้าให้เอามาส่งให้ท่านขอรับ”
ดวงตาที่ขุ่นมัวของแม่ทัพจางสับสนขึ้นมาทันที “ใครนะ?”
เสียงของเขาแผ่วเบาเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังฝันไป
“องค์หญิงใหญ่อู๋ซวง เซี่ยวั่งซูขอรับ”
จางม่อยื่นมือออกมาจากผ้าห่มด้วยความตื่นเต้น แต่กลับช้าเป็นอย่างมากเพราะความสั่นเทา
ทว่าก็ยังคงรับจดหมายนั่นเอาไว้อย่างมั่นคง แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง และจ้องมองจดหมายบาง ๆ แผ่นนั้นเนิ่นนาน ชายชาตรีที่เข้มแข็งเวลานี้ขอบตากลับแดงก่ำ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสามคนไหนเลยจะยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก
สิ่งที่ลู่เอี้ยนเล่ามาเป็นเรื่องจริง
ไม่มีใครรู้ว่าในจดหมายนั่นเขียนอะไรไว้ แต่หลังจากที่แม่ทัพจางอ่านจบ ก็ใช้หลังมือปาดน้ำตาหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยถามอย่างทอดถอนใจ “องค์หญิงใหญ่ สบายดีหรือไม่?”
จางม่อพยักหน้ารับรู้พร้อมรอยยิ้ม “นางในเมื่อก่อนก็ชอบที่จะหัวเราะ ทว่าต้องแอบหัวเราะ นางบอกกับข้าว่านางเป็นองค์หญิง หากอ้าปากหัวเราะจะเป็นการไม่สมควร หลังต้องตั้งตรง และเย่อหยิ่งให้เหมือนนกยูงตัวน้อย”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยเรียบ ๆ ขึ้นมา “นางสมควรที่จะมีความสุขแล้ว”
นางสมควรเป็นคนที่มีความสุขที่สุดบนโลกนี้ นางมีฐานะที่สูงส่งเพียงนั้น แต่กลับมีจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์และงดงาม
จางม่อไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเผยยวนก็กลัวจะเป็นการรบกวนเขา จึงได้ปิดประตูให้
เวลานี้จางม่อจึงอยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว มองดูตัวหนังสือแถวหนึ่งบนจดหมายนั่น ก่อนจะเอามันมาแนบลงที่ตำแหน่งหัวใจและเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน…
“องค์หญิงเลือกสหายร่วมศึกษาเหตุใดถึงไม่เลือกน้องสาวเล่า มาเลือกข้าทำไมกัน ข้าเป็นเด็กผู้ชายนะขอรับ?”
“วันเดือนปีเกิดของเจ้ากับขององค์หญิงหนุนนำกัน ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงองค์หญิงมักจะประชวรได้ง่าย ฝ่าบาทจึงตรัสว่าจะเอาดวงของเจ้าไปช่วยหนุนพระนาง รอองค์หญิงโตแล้ว เจ้าก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสหายร่วมศึกษากับนางอีก”
วังหลวงในความฝันยังคงยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเหมือนในความทรงจำ เด็กคนอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับเขา ต่างก็ไปที่ประทับขององค์ชาย ทว่ามีเพียงเขาที่ถูกพาเข้ามาที่ชั้นใน หลังผ่านการตรวจสอบหลายชั้น ตลอดทางเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ซับซ้อนจนเขาจำไม่หมดด้วยซ้ำ
“นี่ เจ้าเป็นใครกัน!”
จางม่อเงยหน้าขึ้น บนกำแพงมีเด็กผู้หญิงสวมชุดหรูหราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ คนรับใช้ที่อยู่ในสวนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น
ที่แท้เป็นเพราะว่านางไม่อยากดื่มยาขมจึงได้โมโห
เขาได้ยินนางพูดขึ้นว่า “ข้าชื่อเซี่ยวั่งซู วั่งซู เจ้ารู้หรือไม่? ที่แปลว่าพระจันทร์ เสด็จพ่อของข้าบอกว่าข้าเป็นพระจันทร์ดวงน้อยของเขา”
พระจันทร์ นับแต่นั้นมาเขาก็ชอบพระจันทร์ที่สุด
“จางม่อ นี่เป็นของว่างที่วันนี้ข้าแอบเก็บเอาไว้ เจ้าเอากลับไปกินด้วยสิ”
“พรุ่งนี้เจ้ามาเช้าหน่อย พวกเราไปเล่นว่าวกันดีหรือไม่?”
“เจ้าอย่าปล่อยมือข้าสิ ข้ากลัว”
“พวกน้องหกรังแกเจ้าหรือ? ไป พวกเราไปคิดบัญชีกับพวกเขากัน”
เขามองดูเด็กสาวคนนั้นค่อย ๆ เติบโตขึ้น คนทั้งเมืองต่างกำลังเฉลิมฉลองงานปักปิ่นให้กับองค์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด
เขาไม่ใช่สหายร่วมศึกษาของนางอีกแล้ว บางครั้งเวลาตามท่านพ่อเข้าวัง ก็จะได้พบนางที่งานเลี้ยงในวัง เวลานี้นางดูเหมือนองค์หญิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่เมื่อนางเห็นเขานางก็จะพยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วยกยิ้มบาง ๆ ให้เขา
ต่อมาท่านพ่อได้บอกกับเขาว่า ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะเลือกเขาเป็นราชบุตรเขย
เขาดีใจมากเพียงใดน่ะหรือ? ตัวเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว เมื่อได้พบนางอีกครั้ง ก็ยิ่งตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน
แต่ทั้งหมดนี้ก็จบลงตอนที่รู้ข่าวเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ขององค์หญิงเมื่อคณะทูตของถู่เจียมาเยือน
นางยังคงเป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง ถึงขนาดอยู่ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองของทูต ก็ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ แต่หัวใจของเขากำลังหลั่งเลือด เขาไม่สนใจคำคัดค้านของท่านพ่อท่านแม่ คอยคุ้มกันขบวนแต่งงานของนางเพียงลำพัง
นางยังเด็กเพียงนั้น ถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าด้านนอกเมืองหลวงหน้าตาเป็นอย่างไร นางจะไปยังสถานที่ห่างไกลเช่นนั้น เพื่อแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จักคนหนึ่งได้อย่างไร
“จางม่อ เจ้าส่งข้าถึงตรงนี้ก็พอแล้ว เส้นทางที่เหลือข้าต้องเดินด้วยตัวเอง”
นางเคยบอกว่าอย่าปล่อยมือนาง นางไม่กลัวหรือ?
แต่บัดนี้นางกลับบอกเขาว่า นางจะต้องเดินไปยังเส้นทางนี้ด้วยตัวของนางเอง
เขาเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถไปส่งนางได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
“องค์หญิง จางม่อจะปกป้องเมืองแทนท่านเอง เมืองจินโจวอยู่ใกล้ถู่เจียที่สุด ข้าจะคอยเฝ้ามองท่านอยู่ที่นี่”
เขาจะรักษาสัญญานี้เอาไว้ชั่วชีวิต
แม้แต่ชื่อลูกบุญธรรมของเขา เขาก็ยังให้ชื่อว่าจางสุยเยว่*
* สุยเยว่ (随月) แปลว่า ติดตามพระจันทร์
นางเป็นพระจันทร์ของต้าจิ้น เขาจะปกป้องพระจันทร์ดวงนี้ไปชั่วชีวิต
เคยมีคนเกลี้ยกล่อมเขา และตอนนั้นเขาก็ได้มาปกป้องเมืองจินโจวแห่งนี้แล้ว เมื่อมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และพระจันทร์ที่โดดเดี่ยว ก็กระดกเหล้าแรง ๆ ไปหนึ่งอึก แล้วเอ่ยขึ้นมา “ข้าอยากให้พระจันทร์ดวงนั้น งดงามอยู่ในใจของข้าไปชั่วชีวิต”
.
.
.