เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 469 เข่นฆ่า
บทที่ 469 เข่นฆ่า
เผยเสี่ยวเตารับโทรโข่งไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด ก่อนจะตะโกนออกไปทันที เสียงนั้นสั่นสะเทือนราวกับว่าทั้งใต้หล้ามีแต่เสียงของนาง ทำให้คนแสบแก้วหูไปหมด
จี้จือฮวนถอยหลังไปหนึ่งก้าว “บอกแล้วว่าให้พูดเบา ๆ”
เผยเสี่ยวเตาคิดไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะช่วยขยายเสียงได้ “สุดยอดจริงๆ เลย!”
นางจึงคึกคักขึ้นมาทันที ก่อนจะเหวี่ยงดาบลงบนกำแพงเมือง จากนั้นก็เหาะขึ้นไปบนที่สูง ใช้โทรโข่งน้อยด่าหวังป้าเทียนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า พ่นคำหยาบออกมาไม่หยุด ทำเอาหวังป้าเทียนที่ได้ฟังเลือดลมพลุ่งพล่าน! จนอยากจะพุ่งขึ้นไปหักคอนาง
แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไร ก็สู้เสียงของเผยเสี่ยวเตาไม่ได้
ปัญหาก็คือ ของเล่นนี้ กองกำลังสือฟางไม่เคยเห็นมาก่อน จึงคิดว่าเผยเสี่ยวเตาต้องเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสายใดสายหนึ่งอย่างแน่นอน
เพราะยอดฝีมือในยุทธภพที่มีกำลังภายในลึกล้ำ ล้วนสามารถส่งเสียงไปได้ไกลถึงพันลี้ โดยที่คนไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนั้น อีกทั้งเสียงพูดของคนที่มีกำลังภายในล้วนมีอานุภาพมากกว่าคนอื่น
“เจ้า (ไม่มีเสียง)” หวังป้าเทียนโมโหจนหน้าดำหน้าแดง ด่าทอจนหน้ามืดตาลายไปหมด ทว่าคนบนกำแพงเมืองกลับไม่ได้ยินอะไรเลย เพราะเผยเสี่ยวเตาด่าคนเก่งอย่างมาก!!
เสียงดังกว่า มีคำด่ามากกว่า และหยาบคายกว่า จึงทำให้หวังป้าเทียนโมโหจนหัวหมุนอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลา เพราะทหารม้าที่อยู่ด้านหลังตามมาทันแล้ว ทหารเกราะเหล็กหลายกลุ่มจึงกระโดดออกมาจากป่าทั้งสองด้าน แถวที่เป็นผู้นำต่างก็ถือโซ่เหล็กเอาไว้ แล้วตรงเข้าหากองกำลังสือฟางทันที
“ฆ่า! ฆ่าพวกมัน” หวังป้าเทียนออกคำสั่ง ส่วนตัวเขาก็พุ่งตรงเข้าไปหาทหารม้าสองแถวที่อยู่ด้านหน้า
รองแม่ทัพหลี่จึงใช้ลูกตุ้มหนามโจมตีหวังป้าเทียนทันที
ทหารม้าเกราะเหล็กทำงานกันอย่างเข้าขา อาศัยตอนที่ศัตรูพุ่งมาเต็มกำลัง โน้มตัวลงโดยพร้อมเพรียง และดึงโซ่เหล็กให้ตึง ใช้มือจับเอาไว้ให้มั่น ก่อนจะกวาดขาม้าของพวกเขาโดยตรง
เสียงร้องของม้าดังขึ้น จากนั้นพวกมันก็ล้มลง เหล่าทหารม้ารีบพุ่งเข้าไปเพื่อแยกม้าออกมาจากกลุ่มคนด้วยตะขอเหล็ก เวลานี้คนกับม้าจึงอลหม่านไปหมด!
“ไร้ยางอายสิ้นดี! เจ้ากล้าสู้ต่อตัวตัวกับข้าหรือไม่!” หวังป้าเทียนคำรามขึ้นมา
รองแม่ทัพหลี่ประมือกับเขาอย่างต่อเนื่อง “การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบาย กับโจรอย่างพวกเจ้า ข้าพูดได้แค่ว่าต้องตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น!”
“น่าโมโหยิ่งนัก เช่นนั้นก็เอาชีวิตสุนัขของเจ้ามาสังเวยธงของข้าก็แล้วกัน!”
“หวังป้าเทียน หากเจ้ามีความสามารถแล้วค่อยมาโอ้อวดเถอะ ชาวเมืองเพี่ยวโจวของข้าถูกกองกำลังสือฟางของพวกเจ้ากดขี่มาหลายปี ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว!”
รองแม่ทัพหลี่ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม ขณะเดียวกันรองแม่ทัพจ้าวก็ได้ฝ่าวงล้อมจากด้านหลังมาช่วยอีกแรง ส่วนเผยเสี่ยวเตาก็เอาหัวของสือเกาเฟยใส่ไว้ในแหจับปลาเพื่อเอามาทำเป็นแส้ ฟาดไปก็ดูถูกเหยียดหยามกองกำลังสือฟางไปด้วย
ทั้งรองแม่ทัพหลี่และรองแม่ทัพจ้าวล้วนรู้ดีว่าทหารในมือมีไม่มาก ดังนั้นจึงต้องสังหารหวังป้าเทียนให้ได้โดยเร็ว รีบสู้รีบจบ!
กองปืนไฟมีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยสังหาร เพียงแต่หวังป้าเทียนแม้จะมีนิสัยหุนหันพลันแล่น ทว่ากลับไม่ใช่คนที่หวังแต่จะสร้างผลงานโดยไม่รู้จักประมาณตน หลายครั้งที่จะล่อเขาเข้าไปในขอบเขตการยิง แต่หวังป้าเทียนก็ไม่ยอมเข้าไปง่าย ๆ สุดท้ายยังอาศัยที่มีคนมากกว่า รีบซ่อนตัวอยู่หลังทหารโล่อย่างรวดเร็ว
ยุคที่อาวุธล้วนทำจากเหล็ก ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้โล่และดาบต่อสู้กันในระยะประชิด ประสบการณ์การต่อสู้ของกองกำลังสือฟางเองก็มีไม่น้อย แม้ก่อนหน้านี้จะสูญเสียกองกำลังส่วนหนึ่งไป แต่ก็ไม่ได้มีคนเสียชีวิตมากนัก หากหวังป้าเทียนเรียกสติกลับคืนมาได้ล่ะก็ สถานการณ์การต่อสู้ก็ค่อนข้างจะน่ากังวลเลยทีเดียว
การปะทะกันเริ่มต้นขึ้นแล้ว หากกองหนุนของเผยยวนยังมาไม่ถึงอีกล่ะก็ เช่นนั้นสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง
เผยเสี่ยวเตาเวลานี้ก็หยุดด่าแล้ว หวังป้าเทียนผู้นั้นเจ้าเล่ห์อย่างมาก เผยเสี่ยวเตาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าไม่สามารถปล่อยให้มันหนีไปได้ ดังนั้นจึงรีบไปที่ประตูเมือง เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับคนอื่น ๆ ด้วย เยว่พั่วหลัวเองก็อยากจะตามไปเช่นกัน แต่กลับถูกไป๋จิ่นดึงไว้เสียก่อน “เจ้าจะตามไปก่อเรื่องอะไรอีก เจ้าอยู่ที่นี่กับลูกพี่ฮวนฮวนไปน่ะดีแล้ว”
เยว่พั่วหลัวรู้สึกประหลาดใจ ไป๋จิ่นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ดาบไม่มีตา ขลุ่ยผุ ๆ นั่นของเจ้าจะรับมือกับศัตรูที่มีจำนวนมากเช่นนั้นได้อย่างไรกัน อีกทั้งเจ้าก็ไม่สามารถมอมเมาคนมากมายเพียงนั้นได้”
ไป๋จิ่นพูดจบก็ทำท่าจะลงไป เยว่พั่วหลัวจึงดึงเขาเอาไว้ เมื่อไป๋จิ่นหันมาลมก็พัดสายรัดเอวสีแดงของเขาพันเข้ากับชายกระโปรงสีน้ำเงินของนาง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในห้วงของความอาลัยอาวรณ์ชั่วขณะ
“เจ้าอย่าตายในมือคนอื่นล่ะ ชีวิตเจ้าเป็นของข้า ข้าต้องทำลายมันด้วยตัวข้าเอง”
ไป๋จิ่นได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ยกยิ้มออกมา ก่อนจะกระโดดลงจากกำแพงเมือง แล้วทิ้งท้ายเอาไว้หนึ่งคำ “ได้”
เยว่พั่วหลัวมองดูเขาลงพื้นไปอย่างปลอดภัย จากนั้นเมื่อมองดูชุดสีขาวของเขาที่ค่อย ๆ ถูกย้อมเป็นสีแดง ก็กัดกรามแน่น
จี้จือฮวนชักอาวุธออกมา และพกปืนไปด้วย “อาหลัว เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บคงต้องฝากเจ้าแล้ว เผื่อว่าข้าไม่ได้กลับมาอีก”
“เจ้าปากเสีย เดือนหน้าหากไม่เพิ่มเนื้อในข้าวให้ข้า ข้าจะด่าเจ้าคอยดู ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องกลับมา”
“ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เพิ่มเนื้อให้เจ้าเหมือนเดิม ให้เจ้าด่าข้าอีกสักสองรอบ” จี้จือฮวนเอ่ยหยอกล้อนางทิ้งท้าย จากนั้นก็ผิวปากเรียกม้ามา
เมื่อนางกระโดดลงไป ม้าศึกตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาราวกับมังกร วิ่งผ่านทหารเข้าไปรับจี้จือฮวนเอาไว้ได้พอดี ก่อนจะเห็นจี้จือฮวนในชุดสีแดงควบม้ามุ่งหน้าไปทางหวังป้าเทียน
เขาไม่มารับความตาย เช่นนั้นนางก็จะนำไปให้เขาเอง!
ทั้งสองฝ่ายต่างมาพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย สิ่งที่ดาบและหอกช่วงชิงกันอยู่ก็คือชีวิตของอีกฝ่าย และความอยู่รอดของตนเอง
กีบม้าเหยียบย่ำเลือดที่นองพื้นจนกระเซ็น เมื่อจ้านอิ่งส่งเสียงร้อง ม้าศึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็ถอยหลังไป สตรีที่นั่งอยู่บนหลังม้าเปี่ยมไปด้วยพลังต่อสู้ที่ดุเดือด “ทหารเกราะเหล็กจงฟังคำสั่ง สู้เพื่อบ้านเมือง ปกป้องจินโจวจนตัวตาย!”
กลองศึกดังขึ้น คนที่ตีกลองก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือทหารชั้นผู้น้อยที่เมื่อคืนเพิ่งได้รับการรักษาจากจี้จือฮวน มือของเขาหักไปข้างหนึ่ง แต่เขาก็ยังเหลือมืออีกข้างที่สามารถใช้การได้
แม้จะไม่สามารถเข้าสนามรบไปฆ่าศัตรูได้ ทว่าเขายังสามารถช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารได้!
จ้านอิ่งมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ ประกอบกับมันก็เป็นม้าศึกที่เติบโตมาในสนามรบ ดังนั้นจึงพาจี้จือฮวนวิ่งทะลวงผ่านกองกำลังของศัตรู และมุ่งหน้าไปหาหวังป้าเทียน
การต่อสู้ระหว่างกองทัพทั้งสองมาถึงจุดตึงเครียดแล้ว ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าฝ่ายใดแข็งแกร่งกว่ากัน
แต่กองทัพทหารเกราะเหล็กเข้าขากันอย่างมาก และถนัดเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงค่อย ๆ เปลี่ยนกระบวนทัพ โดยกระจายกันออกไป วงล้อมก็เล็กลงเรื่อย ๆ
ส่วนกองกำลังสือฟางกลับฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าอย่างบ้าคลั่ง เหวี่ยงดาบและฟาดฟันอย่างมั่วซั่ว แม้แต่พวกเดียวกันก็ยังหลบไม่ทัน จึงพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ความกระหายในการต่อสู้และฆ่าฟันทุกสิ่งอย่าง ราวกับคนเสียสติเช่นนี้ ทำให้คนหวาดกลัวไม่น้อย
จี้จือฮวนฝ่าวงล้อมเข้าไปภายใต้การนำทางของจ้านอิ่ง ม้าศึกตัวอื่น ๆ ต่างก็หลีกทางให้ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับจ้านอิ่งตรง ๆ
หวังป้าเทียนเวลานี้กำลังต่อสู้แบบหนึ่งต่อสาม แม้จะมีคนแยกรองแม่ทัพทั้งสองออกไปแล้ว ทว่าหญิงงามตรงหน้าผู้นี้ เป็นคนที่ตื๊อไม่เลิกจริง ๆ โดยเฉพาะม้าศึกตัวนั้นของนาง ที่แข็งแกร่งราวกับสายลม และยังหลบการโจมตีเป็นอีกด้วย
หวังป้าเทียนเห็นม้าดีเพียงนี้ จึงออกคำสั่งห้ามทหารทำร้ายม้าพันธุ์ดีตัวนี้ ส่วนสตรีที่อยู่บนหลังม้า…
“แม่นางน้อยกระตือรือร้นอยากจะเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของข้าเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งยังผลัดกันสู้ไม่หยุด ทว่าข้าชอบเล่นกับเจ้าคนเดียวเท่านั้น ถึงเวลาหากเจ้าเล่นจนพอใจแล้ว ก็เอาตัวเจ้ามอบเป็นรางวัลให้ข้-”
‘ปัง!’ เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด จากนั้นจี้จือฮวนก็เป่าปากกระบอกปืนเบา ๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นและมองดูหวังป้าเทียนที่ถูกนางยิงจนตกลงจากหลังม้า ก่อนจะให้จ้านอิ่งวิ่งเข้าไป โดยไม่พูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว เพื่อเด็ดหัวเขาให้จบเรื่อง!
เมื่อเห็นหวังป้าเทียนตกลงจากหลังม้า เดิมการต่อสู้อันยาวนานนี้ควรจะจบลงได้แล้ว แต่กองกำลังสือฟางกลับมีทัพใหญ่มาหนุนและกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ กองทัพที่มีฝูงม้ามากมายนั่น ใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้น
.
.
.