เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 447 ดูแลกุยช่ายยังทำไม่เป็น
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 447 ดูแลกุยช่ายยังทำไม่เป็น
บทที่ 447 ดูแลกุยช่ายยังทำไม่เป็น
ไป๋จิ่นกับเยว่พั่วหลัวไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงขนาดสงสัยด้วยว่าจี้จือฮวนที่แม้แต่ตัวอักษรของต้าจิ้นก็ยังรู้ไม่หมด เหตุใดถึงได้รู้ตัวหนังสือของพวกโจรสลัดได้
นางพลิกอ่านจดหมายเหล่านั้นอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ ก็รู้สึกว่าการที่พวกเขาทั้งสองคนมายืนมุงอยู่แบบนี้ขวางหูขวางตาแปลก ๆ จึงพูดขึ้นมาตรง ๆ “พวกเจ้าก็ไปช่วยเหลือตัวประกันด้วย จริงสิ อย่าลืมเตือนพวกเขาว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของสตรี ดังนั้นพาพวกเขาทั้งหมดกลับไปหาหมอแบบลับ ๆ ก่อน หากใครไม่มีอาการสาหัสก็ปล่อยตัวกลับบ้านได้เลย และไม่ต้องพูดว่าโดนโจรสลัดจับตัวไป”
“อ้อ ได้เลย เช่นนั้นต้องเอาสมบัติไปด้วยหรือไม่?”
จี้จือฮวนเหลือบมองเขาด้วยท่าทางราวกับกำลังพูดว่า นี่ไม่เท่ากับพูดเพ้อเจ้ออยู่หรอกหรือ เดินผ่านแต่ไม่เอาไปด้วยใช่วิถีของหมู่บ้านตระกูลเฉินของพวกเขาที่ใดกัน?
โจรสลัดพวกนี้จะคำนึงถึงศีลธรรมไปทำไมกัน!
“เข้าใจแล้ว!”
นางนั่งอ่านจดหมายบนชายหาดต่อ ในจดหมายเหล่านั้นบางเรื่องก็เป็นแค่การซุบซิบนินทาทั่วไป แต่ในจดหมายของมัตสึโมโตะสองพี่น้องต่างก็เป็นห่วงพี่สาวท่านนี้มาก และพี่สาวท่านนี้ยังได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของเมืองจินหลิงในจดหมายอยู่หลายครั้งอีกด้วย
อย่างเช่น ที่ไหนมีทหารประจำการอยู่เยอะ หรือว่างานที่ทำครั้งก่อนไม่เรียบร้อย ก็จะให้คนมาเก็บกวาด
คำพูดนั้นแข็งกร้าวอย่างยิ่ง อีกทั้งมัตสึโมโตะสองพี่น้องนี้ต่างก็เคารพนางอย่างมาก ถึงขั้นเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดีอีกด้วย
การได้รู้เรื่องนี้ทำให้จี้จือฮวนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าพี่สาวผู้นี้อยู่ในเมืองจินหลิง เพราะเมื่อวานก็ยังส่งจดหมายมาให้ฟุมิโอะ บอกว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกด้วย
ที่สำคัญ นางรู้เรื่องของกองทัพเรือเป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้รับข่าวสารที่รวดเร็วมากด้วย
แต่ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับที่อยู่ของตัวเองในจดหมายเลยแม้แต่นิดเดียว
นางคิดมาตลอดว่าคนที่ติดต่อกับฟุมิโอะ มัตสึโมโตะคือโจวอันคัง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่คอยสืบข่าวภายในที่เป็นตัวการใหญ่ที่สุดกลับไม่ใช่โจวอันคัง แต่เป็น ‘พี่สาว’ คนนั้น
และการที่ฟุมิโอะ มัตสึโมโตะเดินมาถึงวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะคำชี้แนะของพี่สาวผู้นี้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกากเดนของโจรสลัดส่วนหนึ่งหลงเหลืออยู่ในเมืองจินหลิง
ตอนที่เฉินไห่คั่วมาหาจี้จือฮวนที่เกาะงู นางก็เก็บจดหมายเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว และกำลังค้นภายในเรือนของยามากุจิอยู่
ทหารเรือเหล่านั้นก็ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“เอ่อ…แม่นางจี้ขอรับ เสบียงเหล่านี้ต้องค้นหรือไม่ขอรับ?”
“ค้น โจรบางคนจะซ่อนของเอาไว้ทุกที่ อย่าพลาดอะไรไปเด็ดขาด อย่างไรเสียก็ไม่รีบอยู่แล้ว”
จี้จือฮวนพูดไปก็เคาะกระเบื้องปูพื้นแล้วงัดกระเบื้องแผ่นนั้นขึ้นมา จึงพบว่าข้างล่างกลวงอยู่จริง ๆ และมีการฝังทองคำจำนวนมากเอาไว้
เหล่าทหารเรือต่างก็ดวงตาเป็นประกาย ยังจะรออะไรอีก ขุดสิ!
เมื่อถึงเวลามาประจำการค่อยสร้างเรือนหลังใหม่ก็ได้ เรือนของโจรสลัดนี่ทั้งเตี้ยทั้งแคบจะอยู่สบายได้อย่างไร ไม่แน่ด้านในกระเบื้องอาจเป็นทองคำก็ได้ ต้องค้นให้หมด!
เฉินไห่คั่วเห็นทหารใหม่กลุ่มหนึ่งกำลังรื้อค้นบ้านของโจรสลัด และสามารถขุดของดีมาได้ไม่น้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจว่าเหตุใดถึงไม่ค้นบ้านของฟุมิโอะ มัตสึโมโตะให้เกลี้ยงด้วย
แต่การกระทำของพระชายาเนี่ยเจิ้งอ๋อง ดูชำนาญเกินไปหน่อยหรือไม่?
ราวกับเคยรื้อค้นบ้านคนอื่นบ่อย ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เฉินไห่คั่วพึมพำขึ้นมา “เกาะมากมายเพียงนั้น หากว่าค้นเช่นนี้ต้องค้นไปถึงเมื่อใดกัน”
ไป๋จิ่นจึงส่งเสียงชิชะออกมา “แม่ทัพเฉิน ข้ารู้ว่าท่านไม่มีประสบการณ์ในการรื้อค้นบ้าน แต่ท่านยึดครองพื้นที่ทั้งหมดได้แล้วใช่หรือไม่? ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะยึดเกาะมาได้ แล้วยังจะรออะไรอีก คนย้ายเข้ามาอยู่แล้วยังจะต้องกลัวว่าจะหาทองตามซอกมุมเหล่านั้นไม่เจออีกหรือ?”
เฉินไห่คั่วพยักหน้าหงึก ๆ “เรื่องนี้ข้ารู้ สร้างค่ายขึ้นใหม่ สร้างหอสังเกตการณ์ เรื่องเงินกองทัพเรือเจียงหนานของเรามีพออยู่แล้ว”
ไป๋จิ่นวางมือลงบนบ่าของเขา “เรื่องนี้หมู่บ้านตระกูลเฉินของเรามีประสบการณ์มามาก หากเจ้ารู้สึกว่าโจรสลัดเหล่านั้นตายง่ายเกินไปจนรู้สึกน่าเสียดาย เช่นนั้นก็เก็บเอาไว้เป็นกุยช่าย*ก็ได้”
* กุยช่าย (韭菜) เป็นคำเปรียบเปรยถึง ผู้ถูกกดขี่
เฉินไห่คั่วขมวดคิ้ว “เป็นกุยช่ายหรือ? หมายความว่าอย่างไร?”
ไป๋จิ่นรู้สึกว่าแม่ทัพเฉินผู้นี้คงไม่เคยเห็นโลกกว้างจริง ๆ “เป็นกุยช่ายไม่ใช่เรื่องง่ายนะ งานหนักอะไรก็ให้พวกเขาทำราวกับม้ากับวัว ทำไม่ดีก็ให้อดข้าวสักสามวันห้าวัน ให้พวกเขาไปถางดิน ปลูกพืช ขุดเหมืองแร่บนเกาะรกร้าง ถ้าตายก็จบ ก็สบายไป!”
“ปลูกผักไม่ขึ้น ทำงานไม่สำเร็จ ก็เอาพวกเขามาโยนให้จระเข้กิน” เยว่พั่วหลัวพูดเสริมขึ้นมา พลางชี้ไปที่บ่อจระเข้ข้างเรือนของยามากุจิเพื่อให้เฉินไห่คั่วดู
เฉินไห่คั่วมองดูเล็กน้อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้บัญชาการทหาร จึงไม่ได้พุ่งตัวออกไปอาเจียนเหมือนกับพวกทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้น แต่ภาพที่เห็นก็ยังคงสะเทือนใจจนทำให้เฉินไห่คั่วรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาไม่น้อย
หลังจากนั้นพักใหญ่ บนหมู่เกาะต่างก็ส่งสัญญาณมา เมื่อพี่น้องมัตสึโมโตะและยามากุจิไม่อยู่แล้ว โจรสลัดที่อยู่กระจัดกระจายเหล่านั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลแต่อย่างใด!
ประกอบกับความกล้าหาญของกองปืนไฟ ที่ชี้ไปที่ใดก็ยิงไปที่นั่น
ทางด้านเผยยวนก็นั่งเรือรบมารับจี้จือฮวนกลับเมืองจินหลิงด้วยตัวเอง
เหล่าทหารเรือไม่ได้ดีใจเช่นนี้มานานแล้ว แต่เฉินไห่คั่วยังต้องอยู่ที่นี่เพื่อจัดการเรื่องที่เหลือต่อ เมื่อเห็นพวกจี้จือฮวนกำลังจะกลับไปกันแล้ว เฉินไห่คั่วก็วิ่งตามไป “ท่านอ๋อง พระชายา ข้าอยากจะถามว่าปืนไฟนั่นคืออะไรกันแน่ สามารถให้กองทัพเรือของเราฝึกด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้ เจ้าเลือกมือดีมากลุ่มหนึ่งและให้ส่งไปเมืองหลวง เพราะต้องฝึกที่กองทัพทหารเกราะเหล็ก” เผยยวนเองก็รับปากอย่างง่ายดาย ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
เฉินไห่คั่วรู้สึกดีใจขึ้นมา “ฝึกที่กองทัพเรือของเราไม่ได้หรือขอรับ พวกท่านอยู่ต่อสักคนหนึ่งก็ได้นี่นาขอรับ”
เผยยวนขมวดคิ้ว “ข้าเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน เจ้าจะทำอะไรก็ให้มันรู้เรื่องรู้ราวบ้าง”
เฉินไห่คั่วไม่เข้าใจว่าการฝึกปืนไฟเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เผยยวนแต่งงานได้ไม่นานด้วย
ไป๋จิ่นที่เดินผ่านข้างกายของเขาจึงพูดขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ว่ากองปืนไฟนั่น พระชายาเป็นคนดูแลหรอกกระมัง?”
เยว่พั่วหลัวอุ้มจระเข้ตัวหนึ่งขึ้นมา พลางเดินไปที่เรือด้วยสีหน้ารังเกียจ หางของจระเข้นั่นก็ยาวจนลากพื้น “คนเขากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่ต้องมาช่วยเช็ดก้นให้เจ้า เจ้าอย่าขออะไรที่เกินไปนัก อยู่นี่ข้าหิวจนผอมโซหมดแล้ว ต้องรีบกลับบ้านเพื่อข้ามปี”
เฉินไห่คั่วมองเผยยวนเดินไปมาตามหลังภรรยาราวกับสุนัขรับใช้อย่างนิ่งงัน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สวรรค์ กองปืนไฟนั่นเป็นของพระชายาอย่างนั้นหรือ!?
เขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเรือรบนั่นแล่นไปไกลแล้วจึงได้สติขึ้นมา ไม่ได้ เขาต้องรีบเลือกคนที่มีฝีมือเพื่อส่งไปเมืองหลวง หากกองทัพอื่นรู้เข้า เช่นนั้นมิเท่ากับจะเต็มก่อนหรอกหรือ?!
อาวุธเทพเช่นปืนไฟต้องเรียนก่อนถึงจะดี!
เฉินไห่คั่วกลับไปที่เกาะโจรสลัดอย่างเร่งรีบ เตรียมจะไปรื้อค้นรังเก่าของฟุมิโอะ มัตสึโมโตะให้เกลี้ยง จากนั้นกลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และวันถัดไปเขาต้องประหารโจรสลัดกลุ่มนั้นต่อหน้าราษฎรเมืองจินหลิงด้วยตัวเอง
ทว่ากลับเห็นทหารหลายคนของกองปืนไฟยังคงคว้านศพอยู่ที่ริมชายหาด
“เอ๊ะ แม่ทัพของพวกเจ้ากลับไปแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?”
อวี้จื่อหนิงถือคีมไว้ในมือ จากนั้นก็ควานหาลูกกระสุนจากศพเหล่านั้น ก่อนจะยัดลูกกระสุนเข้าไปในถุงที่พกติดกาย “พระชายาบอกว่า พวกเราต้องเรียนรู้การเก็บกวาดหลังจบงานเอง”
เฉินไห่คั่วนึกสนใจขึ้นมา จึงนั่งลงยอง ๆ แล้วเอ่ยถาม “พระชายาเก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงถูกเลือกได้? บอกเงื่อนไขให้ข้าฟังหน่อยสิ”
อวี้จื่อหนิงเลิกคิ้วขึ้น “กองปืนไฟของพวกเราน่ะหรือ ข้าจะบอกท่านก็ได้ ไม่ใช่ข้าอยากจะคุยโวหรอก แต่พวกเราเป็นหนึ่งในร้อยเลยนะขอรับ ทำไม กองทัพเรือของพวกท่านก็อยากจะเรียนด้วยหรือขอรับ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าต้องจองชื่อเอาไว้ล่วงหน้า”
“ง่ายมากขอรับ ประการแรกต้องตาดี พวกที่ตาลายบ่อย ๆ ใช้ไม่ได้ รูปร่างส่วนสูงไม่มีเงื่อนไขอะไรมากมาย แต่ที่สำคัญมือต้องนิ่ง”
เฉินไห่คั่วจดจำเอาไว้อย่างดี เขาแทบอยากจะคัดเลือกคนออกมาเสียเดี๋ยวนี้ รอวันที่เผยยวนกลับจะได้ให้พวกเขาตามกลับไปด้วยเลย
.
.
.