เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 440 รนหาที่ตาย
บทที่ 440 รนหาที่ตาย
เหล่าทหารเรือถือดาบทำท่าทำทางอยู่ข้าง ๆ คนเยอะเกินไป และกลางคืนก็มืดเกินไป แทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นศัตรูหรือใครเป็นมิตรกันแน่
เมื่อรู้ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาก็ทำได้แค่เบิกตากว้าง รอหัวของตัวเองหลุดออกจากบ่าเท่านั้น ทว่าในระหว่างที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น ก็มีคนลากเขาหลบไปด้านข้าง เขากลิ้งตัวไปกับพื้น เมื่อหันกลับมาโจรสลัดคนนั้นก็ถูกตัดหัวไปแล้ว
มีชายร่างกำยำกระโดดออกมาจากที่ใดไม่ทราบได้ การเคลื่อนไหวของเขานั้นคล่องแคล่วและเฉียบคม ราวกับว่าถูกฝึกมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น ต่อสู้กับโจรสลัดกลุ่มนี้จนพ่ายแพ้ยับเยิน
โจรสลัดที่เดิมฆ่าคนราวกับผักปลา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกมันได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จึงล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า และเตรียมตัวถอยกลับไป ทว่าทันทีที่ถอยไปถึงชายฝั่งก็พบว่าเรือที่พวกมันจอดเอาไว้ทั้งหมดได้ถูกนำขึ้นฝั่งแล้ว มีนักธนูหลายสิบคนรออยู่ที่นั่น ทว่าคนที่เป็นผู้นำกลับเป็นสตรีที่สวมชุดดำคนหนึ่ง
บนไหล่ของนางยังมีนกเหยี่ยวล่าเหยื่อตัวหนึ่งเกาะอยู่อีกด้วย
ลมยามค่ำคืนพัดผมที่ยาวสยายของนางจนปลิวไสว ดวงตาของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทว่ากลับแฝงไปด้วยไอสังหารที่รุนแรง
เหล่าโจรสลัดจึงตะโกนขึ้นมา “หนีเข้าไปในป่า!”
ด้านหน้ามีคนรอซุ่มโจมตี ด้านหลังมีทหารไล่ตามมา เมื่อพวกมันวิ่งวุ่นไปทั่วราวกับสุนัขจนตรอก จี้จือฮวนก็เริ่มออกคำสั่ง “ยิงธนู!”
ลูกธนูนับไม่ถ้วนถูกยิงใส่โจรสลัดเหล่านั้น ราวกับมีดวงตาอย่างไรอย่างนั้น หลายคนหลังจากถูกธนูยิงใส่ก็สบถคำหยาบคายออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปในป่า แต่การหนีเข้าไปในป่าต่างหากที่เป็นสถานที่ฝังศพของจริงของพวกมัน!
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังมาจากในป่า
บ้างก็ถูกตัดแขนทั้งสองข้าง บ้างก็ถูกตัดหัว ส่วนบางคนก็ถูกแทงเข้าที่ท้อง การตายหลากหลายรูปแบบ ราวกับถูกเลียนแบบตอนที่พวกมันฆ่าชาวบ้าน ศพถูกโยนออกมาจากป่าเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
เหล่าทหารเรือยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ก่อนจะดึงชายหนุ่มจากกลุ่มกองเรือคนหนึ่งมาถาม “คนที่พวกเจ้าพามาด้วยครั้งนี้เป็นใครกันแน่!?”
คนของกลุ่มกองเรือมีทักษะการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ทุกคนจะต่อสู้ในแบบของตัวเอง การฝึกซ้อมของกองทัพเรือส่วนใหญ่ล้วนเป็นการต่อสู้บนน้ำ การต่อสู้บนบกที่ห้าวหาญเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนจริง ๆ
ทว่าคนของกลุ่มกองเรือก็ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากที่ใด รู้เพียงว่าพี่ลิ่วจื่อส่งมาก็เท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกัน…”
เอี๋ยนเฟินฟางเพิ่งฆ่าโจรสลัดที่แอบโจมตีจากทางด้านหลังไปหนึ่งคน ก่อนจะพุ่งตัวออกมาพร้อมเลือดที่เปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า และตะโกนใส่เหล่าทหารเรือ “มัวอึ้งอะไรกันอยู่ ปิดกั้นปากทางเหล่านี้เอาไว้ เห็นโจรสลัดเมื่อใดฆ่าอย่าให้เหลือ!”
“ฮูหยินขอรับ คนที่เป็นหัวหน้าวิ่งขึ้นไปบนภูเขาแล้วขอรับ!” อวี้จื่อหนิงกลับมารายงาน
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อขยับปีกก่อนจะกระพือปีกบินขึ้นไป จี้จือฮวนเห็นหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อโฉบลงไปทางด้านหนึ่งของป่า จากนั้นก็มองดูศพของโจรสลัดที่กองอยู่บนชายหาดแล้วพูดขึ้น “บนภูเขาก็มีการซุ่มโจมตีเช่นกัน ตรวจดูศพให้เรียบร้อย หากไม่ตายก็แทงพวกมันสักสองที ข้าต้องการแน่ใจว่าพวกมันได้ตายหมดแล้ว และตายจริง ๆ”
ส่วนเจ้าหัวหน้านั่น หนีขึ้นไปบนเขาเช่นนั้น เกรงว่าไม่เกินสองเค่อก็ถูกโยนลงมาแล้ว
ฟ้าสางแล้ว แสงตะวันลอดผ่านชั้นเมฆลงมา จี้จือฮวนจึงเงยหน้าขึ้นมอง มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินออกมานอกบ้านด้วยความระมัดระวัง เมื่อมองไปยังกลุ่มโจรสลัดที่แขนขาขาดและตายแน่นิ่งเกลื่อนพื้น ในใจของพวกเขาก็ทั้งหวาดกลัวและมีความสุข สุดท้ายก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา
ตอนที่เผยยวนหิ้วตัวคนที่เป็นหัวหน้าลงมา จี้จือฮวนกำลังสั่งให้ผู้คนรวบรวมแขนขาเหล่านั้น ถึงเวลาจะได้ส่งไปให้ฟุมิโอะ มัตสึโมโตะนั่นให้หมด
เผยยวนโยนคนลงบนพื้น ชายผู้นั้นที่มีสภาพสะบักสะบอมได้เงยหน้าขึ้น ขอบตาทั้งสองข้างมีเลือดไหลออกมา ทว่าดวงตากลับมองไม่เห็นอีกแล้ว ปากยังคงสาปแช่งไม่หยุด และยังคงไม่ยอมรับความจริง
จี้จือฮวนใช้ปลายดาบเชยคางของเขาขึ้นมา แล้วด่าไปหนึ่งคำ “ฉิกุโซ่*” (เดรัจฉาน)
* ฉิกุโซ่ (ちくしょう) ภาษาญี่ปุ่น มักจะใช้สบถในตอนที่รู้สึกไม่ได้ดั่งใจ เหมือนกับคำว่า ‘โธ่เอ๊ย’ และใช้เป็นคำด่า หมายถึง ‘เดรัจฉาน’
หัวหน้าผู้นั้นชะงักไป พลางถามอย่างคลุ้มคลั่งว่าจี้จือฮวนเป็นใคร
“ฮูหยิน เขาพูดอะไรหรือขอรับ?”
“ชมพวกเจ้าว่าเป็นนักรบที่กล้าหาญและไร้พ่ายอย่างไรเล่า เอาตัวคนผู้นี้ไป อย่าปล่อยให้เขาตายล่ะ เดี๋ยวข้าจะสอบปากคำเขาด้วยตนเอง”
“ขอรับ แล้วศพเหล่านี้เล่าขอรับ?”
เผยยวนที่เพิ่งสั่งเหล่าทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กเสร็จก็เอ่ยขึ้นมา “เอากลับไปให้หมด ประจานไปตามถนน และส่งเทียบท้ารบ”
…
เกาะผี
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เยว่พั่วหลัวก็กลับไปที่ถ้ำของยายเฒ่ามังกรอีกครั้ง ไม่รู้ว่ายายแก่นั่นกำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้น เพราะดูเหมือนกำลังใช้สมาธิอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงจึงหันหน้ามา เมื่อเห็นว่าเยว่พั่วหลัวกลับมาแล้ว จึงเผยสีหน้าดูแคลนออกมา พลางเอ่ยขึ้น “เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?”
เยว่พั่วหลัวยืนพิงผนังถ้ำ เกี่ยวนิ้วไปมาก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาอยู่แล้ว ทำไม ทำให้เจ้าผิดหวังมากอย่างนั้นหรือ?”
ยายเฒ่ามังกรหรี่ตาลง ราวกับไม่พอใจท่าทางของนางเป็นอย่างมาก “ชั้นต่ำ”
เยว่พั่วหลัวมองของที่นางวางไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปหานาง พลางเผยแววตาสนอกสนใจออกมา “ท่านยาย ท่านจะทำอะไรกัน น่ากลัวจะตายไป”
ยายเฒ่ามังกรหรี่ตาลง “วันนี้ท่านยามากุจิจะมาเอาตัวคนไปกลุ่มหนึ่ง ข้าว่าเจ้าเหมาะสมดี ไปกับพวกนางก็แล้วกัน”
ผู้หญิงเหล่านั้นร้องไห้จนตาแดงก่ำ และสะอื้นราวกับยอมจำนนต่อชะตากรรม
เยว่พั่วหลัวพยักหน้ารับ “ได้สิ เขาไม่มาหาข้า ข้าก็ต้องไปหาเขาอยู่แล้ว ข้าสนใจเรื่องจระเข้ของเขามากทีเดียว”
ทั้งหมดจะต้องกลายเป็นสัตว์เลี้ยงกู่ของนาง จากนั้นค่อยเอาตัวโจรสลัดสารเลวเหล่านี้ไปเป็นอาหารให้จระเข้อีกที เช่นนี้ก็สามารถประหยัดอาหารลงได้แล้ว แค่คิดนางก็รู้สึกตื่นเต้นและเริ่มคาดหวังขึ้นมาทันที~
ยายเฒ่ามังกรใช้ไม้เท้าค้ำยันและเดินเข้ามาหานาง เยว่พั่วหลัวคิดว่านางจะทุบตีตัวเอง แต่สุดท้ายหญิงชรานั่นกลับเอาน้ำสาดใส่นางแทน ขณะที่สาดน้ำก็พูดด้วยความรังเกียจ “หญิงโสโครก สมควรถูกควักเครื่องในออกมาให้หมด เพื่อเป็นอาหารของเทพวารี”
เยว่พั่วหลัวมองดูคราบน้ำที่ไม่สมมาตรบนร่างกายก็กัดฟันกรอด สายตาของนางมองสำรวจไปรอบ ๆ เมื่อแน่ใจว่าที่นี่คือชั้นในสุดของถ้ำ และไม่มีใครอีกแล้ว รอยยิ้มของนางก็ค่อย ๆ กว้างขึ้น
“ท่านยาย” นางหันไปมองยายเฒ่ามังกร มือสีขาวนวลจับมือของยายเฒ่ามังกรเอาไว้แน่น ก่อนจะพูดอย่างน้อยใจและไร้เดียงสาออกมา “ข้าไม่ได้อยากจะลงมือกับเจ้าตอนนี้จริง ๆ นะ แต่เหตุใดแม้แต่เรื่องง่าย ๆ อย่างการสาดน้ำเจ้ายังทำให้ดีไม่ได้เล่า หืม?”
ทันทีที่ยายเฒ่ามังกรถูกนางจับมือก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผู้หญิงคนนี้เหตุใดถึงได้มีแรงมากเพียงนี้กัน นางอ้าปากคิดจะร้องตะโกน ทว่าก็เห็นเยว่พั่วหลัวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งที และจู่ ๆ ก็มีอะไรบางอย่างไต่เข้าไปในลำคอของนางไปจนถึงท้อง
“ลองชิมของที่ข้ามอบให้เจ้าดูสิ” เยว่พั่วหลัวเอ่ยจบ เทียนในถ้ำก็ดับลงทั้งหมด ยายเฒ่ามังกรเวลานี้ราวกับปลาที่ถูกคนจับโยนขึ้นฝั่ง ดวงตาเบิกโพลงอยากจะคายสิ่งนั้นออกมา แต่ทำได้เพียงส่งเสียงที่น่าสะอิดสะเอียนออกมาแทน
พวกผู้หญิงอยู่ที่ตรงมุม พวกนางมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่กล้าส่งเสียงออกมา เยว่พั่วหลัวกระชากผมของยายเฒ่ามังกรผู้นั้นขึ้น และลากยายเฒ่ามังกรที่ตัวหนักแสนหนักออกไป กระดิ่งเงินบนตัวของเยว่พั่วหลัวดังขึ้นเบา ๆ ตามจังหวะที่นางก้าวเดิน
คลื่นกระทบชายหาด เมื่อเยว่พั่วหลัวลากยายเฒ่ามังกรออกมาจากถ้ำ ก็เตะนางจนล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะนั่งลงบนหลังของนาง พลางมองดูเล็บของตัวเองอย่างสง่างาม เมื่อข้อมือของนางเขย่าเบา ๆ หญิงชราก็รู้สึกเจ็บปวดภายในท้องอย่างรุนแรง จากนั้นก็เริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง นิ้วของนางตะกุยเข้าไปในพื้นทรายไม่หยุด
บนชายหาด ผู้คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับยายเฒ่ามังกรล้วนกำลังดิ้นรนอยู่ ได้ยินเสียงหนึ่งที่เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลก้องอยู่ในหู
ไม่รู้ว่าการทรมานที่เจ็บปวดดำเนินไปนานเพียงใด ก่อนที่เยว่พั่วหลัวจะฟาดลงบนกลางกระหม่อมของยายเฒ่ามังกรอย่างแรง ทันใดนั้นนางก็ไม่ไหวติงอีก
“ข้าเป็นใคร?” น้ำเสียงที่แฝงการเกลี้ยกล่อมของเยว่พั่วหลัวดังขึ้น
“นายหญิง ท่านคือนายหญิงของข้า” ยายเฒ่ามังกรตอบกลับราวกับคนไร้จิตวิญญาณ
.