เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 427 บอกลา
บทที่ 427 บอกลา
ตอนที่จี้จือฮวนกับเผยยวนกลับมาถึงจวน ทุกคนต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า
“กลับมาแล้วหรือ?! อาหารในครัวพร้อมแล้ว รอแค่พวกเจ้าเท่านั้น” เซี่ยวั่งซูเอ่ยทักทาย
วันนี้อาอินเหนื่อยมากจริง ๆ เผยยวนจึงอุ้มไว้ในอ้อมแขนไม่พูดไม่จา
เผยจี้ฉือกลับมาจากห้องเรียนในวัง เห็นหน้าของน้องสาวตากแดดจนดำคล้ำก็เอ่ยถามขึ้นมา “นางเป็นอะไรไปหรือขอรับ ไหนว่าวันนี้จะไปรายงานตัวที่ค่ายทหาร เหตุใดถึงได้ฝึกหนักเพียงนี้กัน?”
เซียวเซวียนจิ่นที่ตามมาด้วยก็รู้สึกสงสารไม่แพ้กัน พลางครุ่นคิดว่ากลับบ้านไปต้องให้คนทำเครื่องบำรุงผิวจากไข่มุกให้นางสักหน่อยแล้ว
“แค่ฝึกในค่ายทหารจนเหนื่อยก็เท่านั้น เหตุใดองค์ชายสิบถึงไม่ตามมาด้วยเล่า?”
ปกติทุกวันต้องมาขอข้าวกินด้วยไม่ใช่หรือ?
เผยจี้ฉือส่งห่อหนังสือให้กับขันทีที่ตามมาปรนนิบัติ “เสด็จแม่เขาไม่สบาย จึงต้องไปเฝ้าไข้ขอรับ”
ซูเฟยนั่นสร้างปัญหาเก่งเพียงนี้ เหตุใดจึงล้มป่วยได้นั้น ในใจทุกคนต่างก็รู้ดี
เพียงแต่ซูเฟยผู้นี้จะบอกว่านางมีจิตใจชั่วร้ายและโหดเหี้ยมก็ไม่ใช่ มิหนำซ้ำสมองก็ยังไม่ค่อยดีอีกด้วย หากจะไปถือสาเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้นกับนางจริง ๆ ก็เท่ากับทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่า ๆ
กลับเป็นตัวซูเฟยเองที่กังวลว่าหลี่ฮองเฮาจะไม่ปล่อยนางเอาไว้ และกลัวว่าหากเซี่ยเจินตายจะลากนางไปเป็นแพะรับบาปด้วย ดังนั้นจึงได้เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักชิงฮุย เป็นตายก็ไม่ยอมย้ายไปที่ใด
อีกทั้งเผยจี้ฉือกับเหล่าอาจารย์ขององค์รัชทายาทยังเห็นซูเฟยมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงทางเดินในวัง โดยแสร้งทำเป็นว่าบังเอิญพบกันอยู่หลายครั้ง
แค่คิดดูก็รู้แล้วว่านางแอบอยู่ที่นั่นเพราะอะไร
ก็เพื่อต้องการขอร้องให้กับเซี่ยซั่วอย่างไรเล่า แต่เซี่ยซั่วจับตัวฮ่องเต้เป็นตัวประกัน หลายคนต่างก็เห็นกันหมด ต่อให้ตอนนั้นเซี่ยเจินจะเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังเป็นฮ่องเต้ของต้าจิ้นอยู่ ดังนั้นเซี่ยซั่วจึงถูกลงโทษโดยการกักขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่นี่ก็ถือว่าเบามากแล้ว
ซูเฟยวัน ๆ เอาแต่คิดถึงลูกชายคนโต จนคิดจะทำอะไรโง่ ๆ นางร้องไห้จนตาแทบจะบอดอยู่แล้ว เมื่อไม่มีวิธีอื่นก็มาบังคับเซี่ยห่วงแทน
ให้เซี่ยห่วงไปขอร้องเผยจี้ฉือ ทำให้เชลยอ้วนสองวันมานี้ผอมลงไปไม่น้อย
ไท่ซ่างหวงจึงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ให้คนไปพาตัวองค์ชายสิบออกมา เด็กดี ๆ ต้องมาถูกนางทรมาน ดีไม่ดีอาจจะกล่อมให้เขาไปทำอะไรโง่ ๆ อีกก็เป็นได้ อย่าให้นางสอนเขาจนเสียคน ให้พวกเขาสองแม่ลูกเจอหน้ากันน้อย ๆ หน่อย”
จางตงไหลรีบให้คนไปจัดการ
“ไท่ซ่างหวงอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ หากไม่พอพระทัยก็ให้คนไปจับตาดูซูเฟยเอาไว้ก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้ไท่ซ่างหวงเป็นคนเลี้ยงดูองค์ชายสิบ ย่อมต้องสงสารเขาเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เล็กเจ้าสิบก็ถูกซูเฟยตามใจจนไม่สนใจผู้ใด แต่จิตใจยังไม่ถึงขั้นเป็นคนเลวร้ายอะไร “รีบไป”
ถูลี่เห็นตระกูลเซี่ยเกิดเรื่องราวมากมายเพียงนี้ ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา “ดูท่ามีลูกมากก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย มิน่าเล่าเสด็จพ่อถึงบอกข้าว่าหากพบสตรีที่รักก็อย่าทำให้นางเสียใจ”
โดยเฉพาะทายาทของราชวงศ์ ต่างก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็มักจะใจร้ายที่สุดเช่นกัน
เผยจี้ฉือเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “แต่งคนเดียวก็จบแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?”
ทุกคนต่างมองเขาด้วยความประหลาดใจ นอกจากคนในครอบครัวจี้จือฮวนแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง
“มองข้าเช่นนี้ทำไมกันขอรับ?” เผยจี้ฉือถามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ฮ่องเต้องค์ใดมีชายาเพียงคนเดียวกัน”
เผยจี้ฉือจึงเงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ การที่ข้ามีชายาเพียงคนเดียวไม่ดีหรือขอรับ?”
มุมปากของจี้จือฮวนยกขึ้น “เจ้าโตแล้ว เจ้าสามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะเลือกชีวิตเช่นไร แต่แม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก”
การที่ฮ่องเต้เลือกชายา ส่วนใหญ่ก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักและวังหลัง
แต่อาฉือมีกองทัพทหารเกราะเหล็กของเผยยวนคอยหนุนหลัง จึงไม่จำเป็นต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลของเหล่าขุนนาง เพื่อให้รากฐานของราชสำนักมั่นคง
เขาสามารถเลือกการแต่งงานของตัวเองได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้การเลือกคนที่ไม่ได้ชอบมาเป็นคนข้างหมอน อาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้
จี้จือฮวนจะไม่เข้าไปแทรกแซงการเลือกเส้นทางของเผยจี้ฉือเมื่อเขาโตขึ้นแล้ว และจะไม่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้เขาต้องเป็นฮ่องเต้ที่ไม่เหมือนกับฮ่องเต้องค์อื่น เพราะแต่ละยุคสมัยก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป และนางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ แต่สามารถยืนหยัดที่จะเป็นตัวเองได้
เผยจี้ฉือฟังคำตอบของนางแล้ว ก็หันไปเอ่ยกับไท่ซ่างหวง “ท่านทวด ข้าเพียงต้องการอยู่กับภรรยาของข้าไปตลอดชีวิต เหมือนท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า เช่นนี้ไม่ดีหรือขอรับ?”
ไท่ซ่างหวงถามเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามีภรรยาหมายถึงอะไร ภายภาคหน้าเจ้าจะไม่เสียใจอย่างนั้นหรือ?”
เกี่ยวกับประเด็นนี้ไท่ซ่างหวงเพียงคิดว่าเขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ยังห่างไกลจากเรื่องแต่งงานอยู่มาก
ทว่าเผยจี้ฉือกลับไม่รีบร้อนที่จะโต้กลับ เขาเพียงพูดอย่างเรียบนิ่ง “แน่นอนว่าข้ารู้ว่าอะไรคือสามีภรรยา ข้าเคยเห็นท่านพ่อและท่านแม่ของข้าตายอยู่เคียงข้างกัน และเป็นสักขีพยานว่าท่านพ่อท่านแม่คอยสนับสนุนกันและกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเช่นไร ข้าเคยได้ยินมาว่าตอนที่ท่านย่ายังสาว นางรักเซี่ยเจินมากเพียงใด และพวกเขาก็เคยมีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน แต่เพราะความสาวความสวยที่ลดลง ทำให้ความรักลดน้อยลงตามไปด้วย จนทำให้แม้แต่ท่านพ่อของข้าก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของเซี่ยเจินไปด้วย
ดังนั้นข้าต้องเป็นคนเลือกฮองเฮาเอง”
เซี่ยวั่งซูตบโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “พูดได้ดี”
แต่ไท่ซ่างหวงก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิม “เมื่อเจ้าถึงวัยแต่งงานแล้ว ค่อยมาพูดประโยคนี้กับข้าอีกครั้ง”
“ได้ขอรับ” เผยจี้ฉือไม่พูดจาไร้สาระอีก เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้อย่างแน่นอน
ตอนนั้นเอง คนเฝ้าประตูก็ได้เข้ามารายงานว่าคนของจวนฮวามา
ตอนที่ฮวาเส้าจงและฮวาเซียงเซียงเข้ามา เผยยวนก็ได้ลุกขึ้นต้อนรับด้วยตัวเอง นับตั้งแต่ทั้งสองคนได้ไปมาหาสู่กันในช่วงที่ผ่านมา จึงได้เรียกกันว่าพี่ใหญ่กับน้องเผยนานแล้ว
ฮวาเซียงเซียงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรานี่ช่างวุ่นวายจริง ๆ เช่นนั้นก็ต่างคนต่างเรียกเถอะ”
ฮวาเส้าจงจึงดุนางไปหนึ่งที “อย่าพูดมาก วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะต้องการมาลาทุกคน”
จากนั้นถูลี่จึงได้เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้ข้าเองก็จะเดินทางกลับแล้ว ไปกลับถู่เจียเส้นทางยาวไกล ข้าจึงไม่ค่อยวางใจ”
ฮวาเส้าจงพยักหน้าให้แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น กลุ่มกองเรือไม่มีข้า ทว่ายังมีรองหัวหน้าคอยดูแลอยู่ เรื่องนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพียงแต่เมื่อถึงปีใหม่ ที่เจียงหนานอากาศจะหนาวเย็น โจรสลัดบนหมู่เกาะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งจะถือโอกาสขึ้นฝั่งมาปล้นชาวบ้าน เพื่อเอาไปเป็นเสบียงสำรองของพวกเขา มักจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกปี ปีนี้เมื่อนับดูดี ๆ ก็ใกล้จะถึงช่วงเวลานั้นแล้ว ข้าจึงจะรีบกลับไปรวมตัวกับกองทัพเรือเจียงหนานเพื่อป้องกันแนวชายฝั่ง”
เมื่อก่อนราชสำนักเป็นของเซี่ยเจิน ฮวาเส้าจงจึงไม่แยแสเมื่อถูกขอให้ช่วยเหลือ แต่ตอนนี้แม้ว่าราชสำนักจะยังถูกปกครองโดยคนแซ่เซี่ย แต่มีอาฉือเป็นฮ่องเต้จะเหมือนกันได้อย่างไร?
ครั้งนี้กลุ่มกองเรือของพวกเขาจึงไม่รับผลประโยชน์จากราชสำนัก และยอมช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
ไท่ซ่างหวงขมวดคิ้ว หากพูดถึงกองทัพเรือเจียงหนานแล้ว ราชสำนักต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการเลี้ยงดู ทว่าราวกับเอาทรายไปโปรยทิ้งก็มิปาน หลายปีมานี้ถูกตีจนแพ้ยับเยินมาโดยตลอด บริเวณโจวซานก็ยังเคยถูกสังหารหมู่มาแล้ว เมื่อไท่ซ่างหวงคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
“เซียงเซียงคงต้องรบกวนพวกท่านช่วยดูแลนางแทนข้าแล้ว เช่นนี้ข้าก็จะได้วางใจด้วย ส่วนเรื่องชายฝั่งทะเลตะวันออก หากกลุ่มกองเรือของเราพอจะช่วยได้ย่อมต้องช่วยอย่างแน่นอน แต่ทะเลกว้างใหญ่และมีช่องโหว่มากมายเพียงนั้น อาจจะไม่สามารถครอบคลุมได้หมด ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหน้าที่เจียงหนานก็ไม่ค่อยพอใจกลุ่มกองเรือของเราเท่าใดนัก ข้าจึงจะรีบกลับไปจัดการเรื่องนี้ด้วย”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยปาก “หัวหน้าฮวามีน้ำใจมาช่วยเหลือ รอข้าเขียนราชโองการเสร็จแล้วให้ท่านนำกลับไปด้วย โดยจะให้กองทัพเรือเจียงหนานช่วยเหลือกลุ่มกองเรือของท่านต่อต้านโจรสลัดอย่างเต็มที่ จะได้ลดปัญหาลงไปได้บ้าง”
แม้ฮวาเส้าจงจะคิดว่าต่อให้ไม่มีราชโองการ เรื่องเจรจากับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากมีก็จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่เจรจากับแม่ทัพของกองทัพเรือเหล่านั้น เกรงว่าจะทำให้คนหงุดหงิดไปเสียก่อน
.
.
.