เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 361 เรื่องราวของเขาและนาง
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 361 เรื่องราวของเขาและนาง
บทที่ 361 เรื่องราวของเขาและนาง
โคมไฟตามมุมถนนสว่างไสวขึ้น ความอบอุ่นบางเบาถูกจุดขึ้นท่ามกลางหิมะ พวกเฉินฉือและท่านป้าหยางไม่คิดจะกลับไปที่จวนตระกูลฮวา แต่ตั้งใจที่จะเบียดกันอยู่ที่หย่งอันถัง ทุกคนทำอาหารกินกันบนเตา ทั้งอบอุ่นและสนุกสนาน
ในหม้อใบใหญ่เป็นไก่ตุ๋นเห็ดหอม มีแป้งอบหลายแผ่นวางไว้ที่ขอบ ได้จิบเหล้าต้มสักอึก ทั่วทั้งตัวก็รู้สึกอบอุ่นไปหมด
หิมะข้างนอกตกจนเป็นชั้นหนาเตอะ ตอนที่จี้จือฮวนปฏิบัติภารกิจในยุโรปเหนือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกือบจะแข็งตายในหิมะ เมื่อนึกถึงภาพนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“ฮวนฮวน ดื่มเหล้าอุ่น ๆ สักหน่อยสิ ร่างกายจะได้อบอุ่น” ท่านป้าหยางเอ่ยเรียก
ไก่ที่ทะเลาะกับเย่จิ่งฝูเมื่อตอนบ่ายที่ตายตาไม่หลับกำลังส่งกลิ่นหอมเย้ายวน จี้จือฮวนส่งเสียงรับคำ ทันทีที่เปิดม่านเดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่อยู่ด้านนอก
โดยเฉพาะอาชิงที่หัวเราะออกมาจนเป็นเสียงหมูไปแล้ว ใบหน้าเล็กแดงก่ำ ขณะวิ่งเข้ามาในห้องโถงก็เกือบจะล้มลง
มีเผยยวนเดินตามหลังมา ในมือยังถือหิมะที่ปั้นเป็นก้อนมาด้วยก้อนหนึ่ง แต่อาอินกลับเหวี่ยงหิมะก้อนใหญ่ และโยนมันใส่เสาธงข้างถนน ‘แกรก’ เสาธงส่งเสียงดังออกมาก่อนจะหักลง…
เผยยวนกวาดตามองเครื่องหมายบนเสาธง อ้อ ร้านของตระกูลอัครมหาเสนาบดีหาน
เขาปั้นหิมะก้อนใหญ่อีกก้อนแล้วส่งให้ลูกสาว “ปาแรง ๆ”
อาอินวิ่งออกไปปาหิมะอีกครั้งอย่างมีความสุข หน่วยลาดตระเวนที่เดินผ่าน บังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้า ก็รีบเดินผ่านไปโดยไม่หันกลับมามอง…
อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น โดยเฉพาะจวนหย่งกวานโหว
“สอนอะไรให้ลูกกัน” จี้จือฮวนกวาดตามองเขาด้วยความโมโห ก่อนจะเรียกอาอินกลับมา
อาอินวิ่งดุกดิกกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านแม่วางใจเถอะเจ้าค่ะ ครั้งหน้าที่ข้าจะปั้นหิมะก็คือตอนที่ข้าออกสนามรบ ไม่ไปพังหลังคาบ้านคนอื่นหรอกเจ้าค่ะ”
ทุบร้านของตระกูลอัครมหาเสนาบดีหานจะมีประโยชน์อะไร คราวหน้าต้องทุบหัวของเขา เพื่อจะได้ล้างแค้นให้ท่านป้า
อาชิงมุดเข้าไปในห้องอุ่นแล้ว ขณะกำลังถอดรองเท้าเล็ก ๆ ออก ก็ถูกท่านป้าหยางกอดเอาไว้แนบอก พลางจ้องมองไก่ในหม้อจนน้ำลายไหล
อาอินที่เล่นจนเหงื่อโชก เมื่อเข้าไปก็ถูกจับไปเช็ดมือเช็ดหน้า
บนหัวของเผยยวนก็มีหิมะเกาะอยู่ นิ้วเรียวยาวเย็นจนเป็นสีแดงหมดแล้ว
จี้จือฮวนเขย่งเท้าเพื่อปัดหิมะออกจากไหล่ของเขา เผยยวนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการก้มตัวลง และวางมือทั้งสองข้างลงบนเข่า ก่อนถูปลายจมูกเข้ากับปลายจมูกของนาง เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความเย็น จึงเอาเสื้อคลุมในมือคลุมให้นาง
ขณะที่จี้จือฮวนกำลังจะบอกให้เขาสวมเสื้อผ้าเพิ่มอีกหน่อย ชายหนุ่มก็โอบเอวของนางเอาไว้ แล้วดึงนางเข้ามาใกล้อีกนิดก่อนจะจูบนางเบา ๆ
“วันนี้คือน้ำผึ้งใช่หรือไม่?”
จี้จือฮวนกะพริบตาปริบ ๆ เกล็ดหิมะร่วงลงมาติดที่ขนตา ทำให้นางรู้สึกเย็นจนคันเล็กน้อย
“อืม เหตุใดถึงได้ฉลาดเพียงนี้”
เผยยวนยกยิ้มขึ้นมา พลางเอ่ยที่ข้างหูของนางเบา ๆ “เพราะฮวนฮวนเป็นคนทำ ดังนั้นข้าย่อมจำได้”
คำหวานไม่มีอะไรพิเศษ แต่เพราะเขาเป็นคนพูด ดวงตาที่เย็นชาของจี้จือฮวนจึงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “มารับข้ากลับอย่างนั้นหรือ?”
“อืม”
“โอ๊ย สองคนผัวเมียหวานกันจริง ๆ พวกเจ้าไปเดินเล่นกันเถอะ มาเมืองหลวงยังไม่ได้ไปเดินเล่นที่ใดเลยไม่ใช่หรือ พวกเด็ก ๆ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลแทนพวกเจ้าเอง!”
ท่านป้าหยางเอาม่านลงอย่างมีความสุข ด้านในก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาทันที
จี้จือฮวนเดินลงบันไดและจับมือของเผยยวนเอาไว้ “พาข้าไปเดินเล่นดีหรือไม่?”
อย่างไรเสียเผยยวนก็เติบโตมาในเมืองหลวง ต่อให้ไม่ได้เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกซอกทุกมุมเหมือนพวกเอี๋ยนเฉา แต่ก็รู้ว่าในเมืองหลวงมีสถานที่ดี ๆ อยู่ที่ใดบ้าง
“วันนี้หิมะตก คาดว่าหลายที่คงไปไม่ได้”
“แค่ไปเดินเล่นก็พอ”
นางเคยไปที่ที่ดีกว่านี้มาแล้ว แต่แค่อยากเห็นที่ที่เผยยวนเติบโตขึ้นมามากกว่า
ยามที่เหยียบลงบนหิมะ ทำให้เกิดเสียงดังกรอบแกรบ เผยยวนบังลมให้กับนางพร้อมทั้งเอียงร่มไปฝั่งของนาง แต่ก็ยังรู้สึกว่าลมหนาวเช่นนี้พัดจนทำให้ใบหน้าของคนรู้สึกเจ็บขึ้นมาอยู่ดี
มีแผงขายของริมถนน ไอร้อนโชยออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมของอาหาร
“เกี๊ยวของเหล่าจาง ตอนเด็ก ๆ เวลาที่ท่านพ่อมารับข้าที่สำนักศึกษา มักจะซื้อให้ข้ากิน” เผยยวนพูดขึ้นมาเสียงเบา
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้น “เช่นนั้นพวกเราไปซื้อสักชามเถอะ”
เผยยวนเองก็ไม่ได้กินมานานแล้ว ที่สำคัญก็คือเหล่าจางอายุมากแล้ว จึงไม่ได้ออกมาตั้งร้านบ่อย ๆ
จนกระทั่งเผยยวนจูงจี้จือฮวนเดินเข้าไป เหล่าจางที่มีผมขาวทั้งหัวก็หรี่ตาลงพิจารณาเขาอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ใช่ซื่อจื่อน้อยของซิ่นอู๋โหวหรือไม่? ไม่ได้พบกันกี่ปีแล้วนี่!”
เผยยวนก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังจำตนได้ “ข้าเอง ท่านปู่จางยังจำได้อีกหรือขอรับ”
“ข้าอายุมากแล้ว แต่สมองยังดีอยู่ นี่คือภรรยาของท่านอย่างนั้นหรือ รีบเข้าไปนั่งเถอะ ด้านนอกอากาศหนาว”
ตอนที่เหล่าจางอายุยังน้อยมักจะตั้งร้านที่ด้านนอก ผู้คนผ่านไปผ่านมาเบียดกันกินก็ไม่หนาวแล้ว ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้นก็ไม่ค่อยได้ออกมาตั้งร้านแล้ว ประกอบกับมีเงินเก็บอยู่เล็กน้อยจึงได้ซื้อร้านริมถนนแห่งนี้ไว้อยู่ยามชราแทน นาน ๆ ทีจึงจะเปิด แต่คนในเมืองหลวงที่ชอบฝีมือของเขาก็ยังคงมาอุดหนุนอยู่เรื่อย ๆ
วันนี้หิมะตก เดิมทีเหล่าจางเตรียมจะเก็บร้านแล้ว ใครจะไปคิดว่าจะได้พบคนรู้จักเก่าเข้า
ร้านสะอาดเป็นอย่างมาก ตอนที่จี้จือฮวนนั่งลง เผยยวนก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดตะเกียบให้นาง เหล่าจางประคองเกี๊ยวสองชามเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะ “มา ๆ ๆ ชิมฝีมือของข้าดูว่ายังเหมือนเดิมหรือไม่”
เผยยวนกินเข้าไปคำใหญ่ ร้อนจนต้องอ้าปากกว้าง แต่ก็ยังเอ่ยชมราวกับเด็กน้อย “อร่อยเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด”
เหล่าจางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มจนตาหยี “เด็กน้อย เจ้าก็ชิมด้วยสิ”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับและกินคำใหญ่ตามอย่างเผยยวน ทั้งร้อนทั้งสดใหม่ แต่มีความอร่อยจากน้ำใจของคนด้วย
ระหว่างนั้นเผยยวนได้ยินเสียงคนขายเกาลัด จึงบอกให้จี้จือฮวนรอสักครู่ เขาจะออกไปซื้อสักห่อ หิมะตกถือเกาลัดจะช่วยให้มืออุ่นขึ้น
ทันทีที่เผยยวนออกไป เหล่าจางก็ยกเครื่องเคียงเข้ามาพอดี “ข้าหมักเอง ปกติลูกค้าต้องการซื้อข้ายังไม่ให้เลยนะ”
จี้จือฮวนจึงเอ่ยขอบคุณ พลันนั้นก็ได้ยินเหล่าจางถอนหายใจออกมา “ซื่อจื่อน้อยบัดนี้เห็นเขาสบายดี ข้าก็พลอยมีความสุขไปกับเขาด้วยจริง ๆ ท่านโหวอยู่บนสวรรค์ต้องปลื้มใจมากเป็นแน่”
จี้จือฮวนวางช้อนลง “ซิ่นอู๋โหวเป็นคนเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
เหล่าจางจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “เด็กน้อย สายตาของเจ้าเหมือนเขาอย่างมาก ความจริงแล้วท่านโหวไม่ต่างจากซื่อจื่อน้อยมากนัก เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้แต่งกับท่านหญิงผู้นั้น เขามักจะมาซื้อเกี๊ยวของข้าเพื่อเอาไปฝากคนที่ชอบ”
เหล่าจางพูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยกับนางต่ออีกว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันว่าซื่อจื่อน้อยได้หย่าภรรยาแทนพ่อของเขาแล้ว เรื่องนี้ข้าพูดกับเจ้าก็คงไม่เป็นอะไรกระมัง?”
จี้จือฮวนกลับปัดมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “มีเรื่องเช่นนี้จริง ๆ เจ้าค่ะ คนที่ท่านโหวชอบเคยมาที่นี่หรือไม่เจ้าคะ?”
“เคยมาครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นท่านโหวยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นท่านโหว ข้ายังจำได้ดีว่าเป็นช่วงเทศกาลโคมไฟ เขาพาแม่นางที่สวมเสื้อคลุมนางหนึ่งมาที่นี่ อีกทั้งยังซื้อโคมไฟให้นางเพราะทำตัวไม่ถูกอีกด้วย เพื่อหวังว่าจะเอาชนะใจนางได้ และยังบอกด้วยว่าหากนางพลัดหลงก็ไม่ต้องตกใจ เขาจะช่วยตามหาคนในครอบครัวให้นางเอง
แม่นางน้อยผู้นั้นรูปร่างคล้ายกับเจ้า น่าเสียดายที่ข้าเห็นหน้าไม่ชัด แต่คิดว่าต้องเป็นสตรีที่งดงามมากเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นท่านโหวที่หน้าตาหล่อเหลาเพียงนั้น เหตุใดถึงยังหน้าแดงก่ำ แถมยังเดินเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยเล่า”
.