เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 36 โจมตีการค้า
ตอนที่ 36 โจมตีการค้า
โจวเหล่ยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ข้าเองก็ไม่แน่ใจขอรับ จะว่าไปแล้วก็แปลก จางปาเหลี่ยงเอาเงินของเราไปแล้ว ก็ไม่เจอคนพวกนั้นอีกเลย”
จางปาเหลี่ยงนับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของฉือชางไห่เพราะทำงานได้ดีมาก แต่คราวนี้กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ฉือชางไห่โมโหจนอยากจะด่าไปถึงแม่ของเขาจริง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่เพิ่งจะเปิดร้าน ทว่าแถวยาวเหยียดที่ดูคล้ายมังกรตัวยาวจากฝั่งตรงข้ามก็เผยโฉมดเหมือนจะอวดออกมา
“สตรีผู้นี้กำลังแสดงอำนาจให้พวกเราเห็น ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังเช้าอยู่ รอถึงตอนกลางวัน ลูกค้าเก่าอย่างไรเสียก็ต้องมาร้านเราอยู่ดี” ฉือชางไห่มั่นใจเป็นอย่างมาก
พ่อครัวแม่ครัวที่มีฝีมือในภัตตาคารของฮวาเซียงเซียงต่างก็อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว พวกปลาซิวปลาสร้อยที่เหลือจะทำอะไรได้?
“ใช่ ๆ ๆ ขอรับ เถ้าแก่พูดถูกแล้วขอรับ” โจวเหล่ยรีบประจบทันที
ฉือชางไห่หรี่ตาลง “ช่วงนี้ข้าได้ข่าวมาว่ามีผู้สูงศักดิ์มาที่ตำบลของเรา เจ้าตั้งสติให้ดีอย่าให้พวกมันฉวยโอกาสได้เด็ดขาด”
โจวเหล่ยพยักหน้ารับ “เถ้าแก่วางใจได้ขอรับ ภัตตาคารของเรามีชื่อเสียงที่สุด หากผู้สูงศักดิ์อยากกินข้าว ไหนเลยจะทิ้งที่ดี ๆ แล้วไปกินที่ไม่ดีกันเล่าขอรับ”
ฉือชางไห่เองก็คิดเช่นนั้น ฮวาเซียงเซียงอย่างนั้นหรือ เขาไม่เห็นนางอยู่ในสายตาหรอก
ส่วนทางด้านนี้ ฮวาเซียงเซียงไม่มีเวลาสนใจว่าฉือชางไห่กำลังคิดอะไร อยู่ เพราะนางไม่ได้ยุ่งเช่นนี้มานานมากแล้ว นอกจากจะเหงื่อออกตั้งแต่เช้าแล้ว ก็ยังตะโกนจนคอแทบจะแตกอยู่แล้วเช่นกัน
“เชิญด้านในเลยเจ้าค่ะ ตรงนี้ยังว่างอีกสองที่เจ้าค่ะ”
“เอาเกี๊ยวกุ้งข้าวโพดสามชามใช่หรือไม่เจ้าคะ สักครู่เจ้าค่ะ!”
ลูกค้าที่รอกินข้าวอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “แม่นางจี้ พรุ่งนี้ร้านเจ้าจะไปเปิดที่ใดหรือ พวกเราจะได้ไปต่อแถวรอก่อน”
ฮวาเซียงเซียงรินน้ำชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง “โอ๊ย ต่อไปแม่นางจี้จะขายอยู่ที่ร้านเรานี่แหละเจ้าค่ะ ราคาเหมือนเดิม มาถึงก่อนก็รับเลขโต๊ะแล้วนั่งรอได้เลยเจ้าค่ะ เราจะทำอาหารตามเลขโต๊ะเจ้าค่ะ”
เรื่องพวกนี้จี้จือฮวนล้วนเป็นคนสอนทั้งหมด เมื่อวานนางยังคิดอยู่ว่ามันดูมากเกินไป แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนมาเยอะเพียงนี้ และเอาสิ่งที่จี้จือฮวนสอนมาใช้ได้จริง ๆ
ฉือชางไห่เดิมคิดว่าการค้าจะดีขึ้นในช่วงกลางวัน สุดท้ายเป็นเพราะมีร้านใหญ่อย่างภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล ทำให้ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้คนที่ต่อแถวฝั่งตรงข้ามกลับมีแต่เพิ่มขึ้นไม่ลดลงเลย
คนที่ไปสืบข่าววิ่งกระหืดกระหอบกลับมา ก่อนจะเอ่ยรายงาน “แย่แล้วขอรับ คนพวกนั้นไปกินข้าวเช้าที่ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลหมดแล้ว เพราะภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลทำอาหารจานใหม่ มีหลากหลายชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยขอรับ!”
ฉือชางไห่ขมวดคิ้ว “อร่อยหรือไม่ รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ท่านดูคนที่เข้าแถวอีกด้านก็รู้ได้แล้วขอรับ”
ฉือชางไห่ได้ยินดังนั้นก็ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
!!!
ตั้งแต่เมื่อใดกัน ประตูอีกบานของภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลก็เริ่มมีคนมาต่อแถวแล้วเช่นกัน!
ช้าก่อน คนที่แจกใบปลิวอยู่นั่นมันจางปาเหลี่ยงไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาถึงได้ไปช่วยภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลกัน!
พูดถึงเรื่องนี้ จางปาเหลี่ยงก็อยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ เดิมเขาได้ยินมาว่าที่ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลมีของอร่อย และประกอบกับเขาซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านมาสองวันแล้ว จึงหิวมากเลยออกมาหาอะไรกิน สุดท้ายเพิ่งมาถึงหน้าร้านก็ถูกจี้จือฮวนจับตัวเอาไว้เสียแล้ว!
ตอนนี้เขาหวังแค่ว่าฉือชางไห่จะมองไม่เห็นเขา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเขาคงต้องรับผลกรรมที่ตามมาเป็นแน่
“ยินดีต้อนรับ เชิญด้านในเลยขอรับ น้ำชาของว่างทานได้เลยไม่คิดเงินขอรับ ท่านที่รออยู่ก็สามารถสั่งก่อนได้เลยนะขอรับ”
เสี่ยวเอ้อที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้ว ตะโกนประโยคที่เรียนมา และเชิญคนเข้ามาทีละคน ๆ มิหนำซ้ำยังช่วยอุ้มเด็กให้อีกด้วย บริการแบบนี้อย่างน้อยต้องได้รับคะแนนระดับห้าดาวแล้ว
จี้จือฮวนค่อนข้างพอใจกับผลการฝึกอบรมของตนเองพอสมควร
แต่ในตอนนั้นเองนางก็สังเกตได้ว่ามีสายตาวาวโรจน์คู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่นางอยู่
จี้จือฮวนหันกลับไปมองก็สบเข้ากับสายตาของฉือชางไห่พอดี จากนั้นนางจึงชูนิ้วให้เขา
ฉือชางไห่แก่แล้วสายตาพร่ามัวจึงมองเห็นไม่ชัดเจน เขาหรี่ตาลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “สตรีผู้นั้นกำลังสาปแช่งข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?”
โจวเหล่ยเองก็ชะโงกหน้าออกไปดู “ไม่รู้เหมือนกันขอรับ เหตุใดนางถึงชูนิ้วกลางให้กัน?”
จี้จือฮวนเห็นคนสารเลวสองคนนั้นชะเง้อคอมองอยู่ รอยยิ้มดูแคลนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าไม่ทำให้เจ้าพวกสารเลวของภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ล่มจม นางคงยอมไม่ได้เด็ดขาด
“เถ้าแก่ขอรับ มีผู้สูงศักดิ์มาขอรับ!”
ฉือชางไห่ก็ตกตะลึงขึ้นทันที ก่อนจะเตะโจวเหล่ยแล้วเอ่ยไล่ “รีบไปรับแขกสิ”
โจวเหล่ยรีบกุมก้นตนเองและเดินลงจากชั้นสองไป
วันนี้ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่มีลูกค้าเพียงไม่กี่คน ในโถงชั้นล่างจึงมีคนนั่งอยู่แค่สองสามคน
และเวลานี้ที่ประตูร้านกลับมีกลุ่มคนและม้ามาหยุดอยู่ คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เป็นหัวหน้าขี่ม้าที่รูปร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่ง ใส่เสื้อผ้าเนื้อดีสีขาวราวกับพระจันทร์ขับให้เขายิ่งดูหล่อเหลามากขึ้นไปอีก
ดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่
โจวเหล่ยกลอกตาไปมา ก่อนจะต้อนรับพาคนเข้ามาในร้านด้วยตัวเอง
“ภัตตาคารของพวกเจ้าก็คือจุ้ยเซียนจวี่อย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงไม่มีลูกค้าเลยเล่า ไหนว่าเป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดมิใช่หรือ?” คนเยอะสู้ภัตตาคารก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
โจวเหล่ยลงทุนเช็ดโต๊ะด้วยตัวเอง “โอ๊ย ท่านพูดอะไรเช่นนั้นเล่าขอรับ ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลนั่นจะเทียบกับเราได้อย่างไร พวกเขาก็แค่สร้างภาพเท่านั้น ลูกค้าแถวนี้จริง ๆ แล้วต่างก็มากินที่ร้านเราทั้งนั้นแหละขอรับ”
โจวเหล่ยกลัวว่าคุณชายท่านนี้จะไม่เชื่อ จึงพูดกับลูกค้าที่คุ้นเคยที่กำลังนั่งรออาหารอยู่ “ใช่หรือไม่?”
ลูกค้าได้แต่กลอกตามองบน “พวกเราทนต่อแถวไม่ไหว และไม่มีที่นั่งจริง ๆ ถึงได้มากินที่นี่ต่างหาก”
โจวเหล่ยอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่แอบด่าลูกค้าอยู่ภายในใจ ก่อนที่คุณชายท่านนั้นจะเลิกคิ้วขึ้น มองดูอาหารที่อีกร้านทำ เดิมคิดจะสะบัดแขนเสื้อและจากไป แต่โจวเหล่ยกลับรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน
“คุณชายขอรับ นั่นเป็นการสร้างภาพจริง ๆ ขอรับ ชื่อเสียงของภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่เป็นที่เลื่องลือ หรือไม่ท่านรบกวนรอสักครู่ ข้าจะให้ทางครัวทำจานเด็ดของร้านมาให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ ท่านลองชิมดูแล้วก็จะรู้ว่ามาไม่เสียเที่ยวขอรับ”
“เร็วเข้า” ในที่สุดคุณชายผู้นั้นก็ยอมอยู่ต่อ แต่ก็ยังมองเห็นท่าทางร้อนใจของเขาได้อย่างชัดเจนว่ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการต่อ
ดังนั้นจึงเลือกมากินข้าวที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ที่ไม่ต้องต่อแถวเช่นนี้
“ซื่อจื่อ อาการป่วยของท่านหญิงน้อยเมื่อคืนทรงตัวแล้ว วันนี้ท่านสามารถวางใจได้แล้วขอรับ”
คุณชายที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ผู้นี้ก็คือซื่อจื่อของหยางหลิงโหว เซียวเย่เจ๋อ
“เด็กคนนั้นร่างกายอ่อนแอ จะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด”
“ขอรับ”
ด้วยการเร่งของโจวเหล่ย ห้องครัวจึงยกอาหารสองจานที่ทำเสร็จอย่างรวดเร็วออกมา ฉือชางไห่เมื่อได้ยินว่ามีผู้สูงศักดิ์มาจริง ๆ ก็รีบลงมาดูแล
แต่เซียวเย่เจ๋อเวลากินข้าวไหนเลยจะอยากให้คนแก่มาคอยพูดพร่ำอยู่ข้าง ๆ รบกวนความสุขของเขา เมื่อเห็นว่าในมือขององครักษ์ยังมีเนื้อตุ๋นที่ซื้อมาจากร้านขายอาหารป่าระหว่างทางเมื่อครู่ เขาจึงเอามาชิมไปคำหนึ่ง
นี่ทำจากอะไรกันถึงได้มีกลิ่นหอมเตะจมูกเช่นนั้น กลิ่นหอมลอยออกไปไกล รสชาติที่พิเศษนี้ถูกปากเซียวเย่เจ๋อเป็นอย่างมาก ทำให้เขาเพลิดเพลินยิ่งนัก
เทียบกับกับข้าวร้อน ๆ ที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ยกมาให้กับเนื้อตุ๋นนี่แล้ว กลับจืดชืดสิ้นดี!
เซียวเย่เจ๋อใช่คนที่จะยอมกินของไม่อร่อยที่ไหนกัน เขาจึงวางตะเกียบลงกับโต๊ะทันที “รสชาติไม่ได้เรื่องเลย”
ฉือชางไห่หน้าซีดเผือดขึ้นมาอย่างฉับพลัน!
ทว่าเซียวเย่เจ๋อกลับเดินขึ้นหลังม้าไปแล้ว “ไปร้านอาหารป่า”
ของอร่อยเช่นนี้ เขาต้องเอาตัวพ่อครัวไปด้วยให้ได้
การค้าของจางต้าเปียวสองวันนี้มานี้คึกคักอย่างมาก แต่ไม่ใช่เพราะเนื้อสัตว์ป่าหรือว่าหนังสัตว์ ทว่ากลับเป็นเพราะกุนเชียงและเนื้อตุ๋นที่จี้จือฮวนฝากขาย
ตอนนี้เนื้อตุ๋นและกุนเชียงในร้านต่างก็ขายจนหมดแล้ว คนที่ซื้อไม่ทันต่างก็มาถามหาไม่หยุด
ส่วนเขาก็ได้แต่รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่เห็นจี้จือฮวนมา แต่กลับเจอเซียวเย่เจ๋อเสียก่อน เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากได้ตัวคนทำเนื้อตุ๋น จางต้าเปียวจึงมีสีหน้าลำบากใจ
“หรือไม่ท่านลองไปเดินเล่นในตำบลดู ไม่แน่อาจจะเจอนางก็ได้ขอรับ”
[1] ซื่อจื่อ (世子) ใช้เรียกบุตรชายที่จะสืบทอดตำแหน่งจากบิดา