เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 29 โชคเปลี่ยนทิศ
ตอนที่ 29 โชคเปลี่ยนทิศ
คนขายเจียนปิ่งกั่วจือผู้นั้นสร้างความวุ่นวายอย่างน่าไม่อาย ต่อให้ขายของแบบเดียวกัน ก็ไม่สามารถมาแย่งลูกค้าเช่นนี้ได้อยู่ดี
เขาจึงรีบเก็บข้าวของและกลับไป จากนั้นก็มีคนไปรายงานฉือชางไห่ทันที
ฉือชางไห่กำลังกินผลไม้อยู่ที่ห้องบัญชี รองเถ้าแก่อีกสองคนกำลังรายงานรายได้ของเดือนนี้ แต่เมื่อได้ยินดังนั้นตาตี่ ๆ คู่นั้นก็หรี่ลง “ไปตามจางปาเหลี่ยงมาให้ข้า แค่ผู้หญิงคนเดียวยังจัดการไม่สำเร็จ ยังกล้ามาเอาเงินของข้าไปอีกอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ แต่ตอนนี้จะทำเช่นไรดีขอรับ ดูท่าแม่นางน้อยผู้นั้นคงจะขายจนถึงตอนกลางวันเลย เช่นนี้ไม่ดีต่อการค้าของเราแน่ขอรับ”
“เรื่องนี้ง่ายจะตายไป สั่งการลงไป…” ฉือชางไห่กำชับลูกน้องอีกประโยคสองประโยค ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปบนถนนที่มีผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียด พลางหัวเราะเสียงเย็นออกมา
ในตำบลนี้เขายังไม่เคยเจอคนที่จะต่อกรด้วยอย่างยากลำบากมาก่อน ก็แค่สตรีผู้หนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องมาร้องห่มร้องไห้ขอร้องอ้อนวอนเขาอย่างแน่นอน
การค้าของจี้จือฮวนวันนี้ดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก เผยจี้ฉือแทบจะล้างจานไม่ทัน โชคดีที่คนเหล่านี้เอาจานและตะเกียบจากที่บ้านมาเอง เมื่อกินเสร็จก็เอาเก็บกลับไปเอง และยังถามอีกว่าพรุ่งนี้จะมาขายหรือไม่ มาขายตอนไหน ตอนกลางคืนจะมาตั้งร้านหรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนกลัวว่าตนเองจะมาช้าแล้วกลัวว่าจะไม่เจอแม่นางจี้ จึงล้วงเอาเงินออกมา “ข้าจ่ายเงินเอาไว้ก่อน เก็บเอาไว้ให้ข้าด้วยล่ะ”
“ข้าก็ขอจองล่วงหน้าด้วย”
จี้จือฮวนเองก็ไม่ได้กลัวว่าจะจำพวกเขาไม่ได้แต่อย่างใด นางหันไปเอ่ยกับเผยจี้ฉือ “ไปหยิบกระดาษและพู่กันในตู้เก็บของที่รถเข็นมา เขียนกระดาษให้พวกเขา พรุ่งนี้ให้เอาใบนี้มาด้วย”
เผยจี้ฉือคิดไม่ถึงว่าจะสามารถขายของเช่นนี้ได้ด้วย หากว่าพวกเขาหนีไปเล่า?
เป็นได้ชัดว่าของกินของจี้จือฮวนนั้นอร่อยมากเพียงใด
วันนี้เมื่อถึงเวลาเก็บร้าน ถุงเงินเล็ก ๆ ของจี้จือฮวนก็ถึงกับใส่เงินไม่หมดเลยทีเดียว อาอินเป็นกังวลยิ่งนัก จึงส่งมันให้จี้จือฮวนทันที หลังจากนับเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงเก็บมันเอาไว้ในช่องว่างมิติ
หลังจากทั้งสามคนเก็บของเสร็จแล้ว จี้จือฮวนก็ไปซื้อวัตถุดิบสำหรับพรุ่งนี้ที่ร้านเดิม
เดิมทีนางก็ขายของอยู่ในตลาดผักไช่ซืออยู่แล้ว และก่อนหน้านี้ก็เคยขายของป่าด้วย ดังนั้นจี้จือฮวนกับพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้จึงนับว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพ และส่งเสริมการค้าซึ่งกันและกัน
ทว่าเพิ่งจะนั่งยอง ๆ ลงเลือกของ คนขายกลับดึงของคืนมาทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางอึกอัก “ไม่ขายแล้ว ข้าจะกลับบ้านแล้ว”
จี้จือฮวนรู้สึกว่านางมีท่าทางแปลกไป จึงตัดสินใจไปดูของอีกฝั่ง แต่คนอื่น ๆ ก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน
อาอินถลึงตาใส่ “เมื่อครู่ท่านยังขายอยู่ไม่ใช่หรือ ของก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ เหตุใดถึงไม่ขายให้พวกเราเล่า?”
คนขายมีสีหน้าลำบากใจ ภาวนาให้พวกนางแม่ลูกรีบไปเสียที
จี้จือฮวนสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของคนขายมาโดยตลอด จึงลุกขึ้นและเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไปเถอะ พวกเขาคงไม่อยากขายให้เราแล้ว”
อาอินเดินตามไปเงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยความร้อนใจ “เพราะเหตุใดกัน เป็นเพราะพวกเราขายดีกว่า พวกเขาเลยไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนส่ายหน้า “แม้ว่าพวกเราจะขายดี แต่คนที่มาซื้อผักผลไม้ก็ไม่ได้มาซื้อของเรา กลับกันเป็นเพราะพวกเราถึงทำให้มีคนมาที่ตลาดผักไช่ซือมากกว่าเดิม แต่ที่พวกเขาไม่ขายก็เพราะมีคนไม่ต้องการให้พวกเขาขายวัตถุดิบให้เรา เพื่อต้องการตัดเส้นทางทำมาหากินของเรา และต้องการแสดงอำนาจให้เราเห็น”
อาอินเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ใครกันที่น่ารังเกียจเช่นนี้”
“ในเมื่อคนผู้นั้นลงมือแล้ว ไม่นานพวกเราก็คงจะได้รู้เอง”
แน่นอนว่าเมื่อจี้จือฮวนกับอาอินกลับมาถึงที่ร้าน ก็มีคนยืนอยู่ตรงหน้าของเผยจี้ฉือแล้ว คนที่มาก็คือเถ้าแก่รองของภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ โจวเหล่ย
ส่วนคนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายของโจวเหล่ย ก็คือคนที่มาขอซื้อสูตรด้วยความหยิ่งทะนงเมื่อครั้งก่อน
“ท่านนี้ก็คือแม่นางจี้กระมัง”
จี้จือฮวนเดินผ่านไปโดยไม่ชายตามอง มิหนำซ้ำยังเมินการคำนับจากเขาด้วย โจวเหล่ยจึงรู้สึกไม่พอใจมาก เป็นแค่หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง กล้าไม่ไว้หน้าคนอื่นเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจนางอีก “แม่นางน้อย ถูกบีบจนเป็นเช่นนี้แล้ว คงจะรู้จุดจบของการเป็นปกปักษ์กับเราแล้วกระมัง เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้อีกเล่า?”
จี้จือฮวนเก็บของเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ใช้เชือกป่านมัดจนแน่น และทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างไรอย่างนั้น
โจวเหล่ยเม้มริมฝีปาก น้ำเสียงก็เริ่มเย็นชาลงเรื่อย ๆ “แม่นางจี้ อย่าให้พวกเราต้องใช้ไม้แข็งจะดีกว่า อาศัยว่าตอนนี้พวกเรายังยอมพูดจาดี ๆ กับเจ้า เอาสูตรมาให้เราซะ เจ้าเองก็จะสามารถทำการค้าต่อไปได้ อย่าทิ้งโชคดีไปเปล่า ๆ จะดีกว่า”
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้น “รู้แล้ว”
โจวเหล่ยนิ่งไป “รู้อะไร”
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ ดังนั้นเจ้าไสหัวไปได้แล้ว” จี้จือฮวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยจบ ก็ให้อาอินเข็นรถเข็นไปทันที
ผ่านหน้าของโจวเหล่ยไป
โจวเหล่ยนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงดังลั่น “ข้าว่าเจ้ากำลังรนหาที่ตายโดยไม่รู้ตัวมากกว่า”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา จี้จือฮวนก็หมุนกายเดินไปทางตรงกันข้ามกับภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ โจวเหล่ยหรี่ตาลงก่อนจะเห็นฮวาเซียงเซียงที่เพิ่งตื่นนอนกำลังดีดลูกคิดอยู่อย่างเบื่อหน่าย และเห็นว่าจี้จือฮวนตรงเข้าไปเคาะที่โต๊ะยาวของฮวาเซียงเซียง
คงไม่ใช่กระมัง สตรีผู้นั้นจะขายสูตรให้ฮวาเซียงเซียงอย่างนั้นหรือ?
โจวเหล่ยไม่เชื่อ จึงตามไปดู
แต่จี้จือฮวนกลับทำการค้ากับฮวาเซียงเซียงจริง ๆ “ร้านของข้าเล็กเกินไป จึงทำอะไรได้ไม่มากนัก พวกนี้ดูมีประโยชน์ต่อร้านของเจ้าหรือไม่?”
ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหลไม่สมกับชื่อร้านเลยจริง ๆ ช่วงที่ผ่านมาจี้จือฮวนไม่เคยเห็นภัตตาคารแห่งนี้มีลูกค้ามากกว่าสามโต๊ะเลย แต่เสี่ยวเอ้อกลับขยันขันแข็งในการตีแมลงวัน
ฮวาเซียงเซียงไม่ใช่คนโง่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการค้าของจี้จือฮวนนั้นดีเพียงใด แต่นางเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ใช่พวกที่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลเหมือนฉือชางไห่ ดังนั้นการจะหาคู่ค้าก็ต้องหาคนที่เชื่อถือได้เช่นนาง
คราวนี้ร่างที่แข็งค้างของฮวาเซียงเซียงก็ลุกพรวดขึ้นมา “เจ้าจะขายสูตรให้ข้าอย่างนั้นหรือ น้องสาวเจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
แค่นางขายเองก็ได้เยอะมากแล้ว แต่การทำเช่นนี้ไม่เท่ากับเอาอ่างสมบัติไปให้ผู้อื่นหรอกหรือ?
จี้จือฮวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เพียงเท่านั้น ต่อไปหากมีสูตรอาหารใหม่ ๆ ข้าก็จะให้ร้านของพวกเจ้าก่อน”
เดิมทีฮวาเซียงเซียงต้องการจะถามว่าเพราะเหตุใดถึงทำเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นโจวเหล่ยของจุ้ยเซียนจวี่โผล่หัวเข้ามาอยู่ที่หน้าประตูก็เข้าใจได้ในทันที
“ถุย พวกสารเลวของจุ้ยเซียนจวี่อีกแล้ว เจ้าตั้งใจจะขายให้ข้าจริงหรือ?”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับ “พูดในมุมการค้า พวกเราทำการค้าต่างก็หวังที่จะหาเงิน เจ้าอย่ามองว่าของที่ข้าทำนั้นง่าย เพราะส่วนที่ยากก็คือเคล็ดลับ ต่อให้เจ้าจะเห็นวิธีทำของข้า แต่หากไม่มีของที่ข้าปรุงขึ้นมาก็ไม่ได้รสชาตินั้นอยู่ดี เจ้าสามารถลองดูก่อนได้ หากการค้าที่ทำร่วมกันไปได้สวย พวกเราก็ค่อยร่วมมือกันในระยะยาว”
ที่นางพูดมา บางอย่างแม้ฮวาเซียงเซียงจะฟังไม่เข้าใจในทันที แต่ก็ทำให้คนรู้สึกว่าเชื่อถือนางได้
และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่จะรังแกกันเกินไปแล้ว ฮวาเซียงเซียงไม่กลัวพวกเขาหรอก “ได้ น้องสาว เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น”
ฮวาเซียงเซียงตบโต๊ะ เป็นอันตกลงตามนี้
จี้จือฮวนรู้ว่านางต้องตอบตกลงแน่ อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้เสียใจในการตัดสินใจครั้งนี้
ส่วนภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่นั้น ต้องขอโทษทีที่นางเป็นคนใจแคบ
โจวเหล่ยแค่เห็นท่าทางคุยกันถูกคอของทั้งสองคนแล้วก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที เรื่องที่ฉือชางไห่สั่งมา หากเขาทำไม่สำเร็จก็จะต้องรับผลที่ตามมาด้วย
โจวเหล่ยเดินไปตรงหน้าพวกนางแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ขายสูตรให้ข้าแต่ขายให้นางเนี่ยนะ เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ ภัตตาคารแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากภัตตาคารที่ปิดไปแล้ว”
ฮวาเซียงเซียงกำลังจะด่าออกมา จี้จือฮวนกลับเอ่ยด้วยท่าทางเรียบนิ่งขึ้นมาเสียก่อน “ข้าชอบเห็นโชคเปลี่ยนทิศเป็นที่สุด ฝากไปบอกฉือชางไห่ให้ข้าด้วย ว่าตำแหน่งภัตตาคารอันดับหนึ่งของตำบลฉาซู่ ภายภาคหน้าคงต้องเปลี่ยนเป็นเค่ออวิ๋นไหลแล้ว”