เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 113 เจ้าคู่ควรเอาตัวเองมาเทียบกับภรรยาข้าอย่างนั้นหรือ?
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 113 เจ้าคู่ควรเอาตัวเองมาเทียบกับภรรยาข้าอย่างนั้นหรือ?
บทที่ 113 เจ้าคู่ควรเอาตัวเองมาเทียบกับภรรยาข้าอย่างนั้นหรือ?
ริมแม่น้ำ ขณะที่อาอินเพิ่งนำตะกร้าไม้ไผ่กดลงไปในน้ำ ก็มีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
นางหันกลับไปก็พบว่าเป็นหวังกุ้ยฟางกับเฉินหลันหลัน
อาอินกลอกตามองบน และขี้เกียจจะสนใจพวกนาง
หวังกุ้ยฟางมองซ้ายมองขวา ที่นี่ไม่มีคน เหมาะที่จะลงมือเป็นอย่างยิ่ง ใครใช้ให้คนครอบครัวเผยมารังแกคนอื่นกัน ทำร้ายมือเย่าจงของนาง นี่เท่ากับจะฆ่านางชัด ๆ ดังนั้นนางจะขอสู้ตายกับพวกเขา!
บริเวณนี้มีคนน้อยดังนั้นปูจึงชุกชุม ขณะเดียวกันอาอินก็คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของหวังกุ้ยฟางไปด้วย
ในตอนที่หวังกุ้ยฟางยื่นมือจะผลักนางลงน้ำ อาอินก็พลิกตัวกระแทกหวังกุ้ยฟางอย่างแรงไปหนึ่งที
หวังกุ้ยฟางจึงเซไปกระแทกกับร่างของเฉินหลันหลัน จากนั้นก็ด่าทอออกมาด้วยความโมโหทันที “นางเด็กชั้นต่ำ พ่อแม่ไม่สั่งสอน ต่อไปก็จะเป็นเหมือนพ่อแม่ของเจ้า คนหนึ่งพิการอีกคนอัปลักษณ์ ข้าจะดูสิว่าใครจะมาแต่งกับเจ้า”
อาอินกัดริมฝีปาก มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น “เจ้าจะด่าก็ด่าข้า แต่เจ้าด่าท่านพ่อท่านแม่ข้าทำไม คิดว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าอย่างนั้นหรือ!”
“มาสิ เจ้าเข้ามาตีสิ หากเจ้าตีข้าล่ะก็ ข้าจะไปแจ้งทางการให้มาจับพ่อแม่เจ้า”
อาอินได้ยินดังนั้นก็ถลกแขนเสื้อขึ้น และพุ่งตัวเข้าไปหาทันที “แจ้งก็แจ้งสิ คิดว่าข้าไม่กล้าอย่างนั้นหรือ!”
กำปั้นเล็ก ๆ ทุบลงไปบนร่างของหวังกุ้ยฟางครั้งแล้วครั้งเล่า “กล้าด่าว่าท่านพ่อข้าพิการ ด่าว่าท่านแม่ข้าอัปลักษณ์ ครอบครัวพวกเจ้าต่างหากที่หน้าไม่อาย เจ้าสุนัขเฉินเย่าจงขโมยคำตอบของท่านพี่ข้าทั้งยังสวมรอยเป็นเขา ครอบครัวเฉินของพวกเจ้าต่างหากที่หน้าไม่อาย เฉินเย่าจงทั้งชีวิตนี้ก็คงสอบจอหงวนไม่ได้หรอก!”
คำพูดนี้จี้ใจดำของหวังกุ้ยฟางอย่างจัง
“ดี นางเด็กสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” หวังกุ้ยฟางยื่นมือออกไปควานหาก้อนหิน อย่างไรเสียก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แรงจะเยอะขนาดไหนกันเชียว หรือว่าผู้ใหญ่สองคนยังไม่อาจกำราบได้อย่างนั้นหรือ!
อาอินเหมือนกับสิงโตน้อยที่พองขน นางใช้หัวกระแทกเข้าที่ใบหน้าของหวังกุ้ยฟาง จนหวังกุ้ยฟางเลือดกำเดาไหลออกมาและสลบไป เฉินหลันหลันตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นสายตาเคียดแค้นของอาอิน นางถึงกับก้าวถอยหลังไปสองก้าว
“จะ…เจ้า เจ้า เจ้าจะทำอะไร!”
ครอบครัวเผยนี่มันอะไรกัน เป็นสัตว์ประหลาดกันหมดเลยอย่างนั้นหรือ แต่ละคนเหตุใดถึงได้ต่อสู้เก่งเพียงนี้
อาอินหยิบหินก้อนใหญ่ที่หวังกุ้ยฟางหยิบมาเมื่อครู่วางไว้ตรงหน้าของเฉินหลันหลัน ก่อนจะออกแรงโดยใช้มือทั้งสองข้างทำให้ก้อนหินนั้นแหลกเป็นผุยผง
เฉินหลันหลันตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น
นี่ใช่เด็กอย่างนั้นหรือ นี่มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ
“ท่านแม่ข้าบอกว่าข้าแรงเยอะ วันหน้าห้ามใช้สิ่งนี้รังแกคนอื่น แต่คนอย่างพวกเจ้าโดนตีไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยังวิ่งมาให้ถูกตีถึงที่อีกครั้งแล้วครั้งเล่า ดูท่าหากไม่สั่งสอนพวกเจ้าสักหน่อย ปากเหม็น ๆ ของพวกเจ้าก็คงหุบไม่ลงเป็นแน่!”
…
ภายในถ้ำเก่า ๆ
“เย่าจง…เย่าจงเอ๊ย” เฉินไคชุนนอนอยู่ในกองหญ้าคา จ้องมองไปที่ปากถ้ำพลางร้องเรียกออกมาด้วยเสียงที่อ่อนแรง
ตั้งแต่เขาถูกคนในหมู่บ้านตระกูลเฉินขับไล่ออกมา ในคืนนั้นเขาก็มีไข้สูง คนในครอบครัวไม่ยอมเอาเงินไปจ้างหมอ บอกให้เขาทนเอาไว้ และก็ปล่อยให้เขานอนซมอยู่อย่างนั้น หาแค่ยาสมุนไพรห้ามเลือดมาโปะที่บาดแผลให้อย่างส่ง ๆ
แต่ไข้ก็ยังไม่ลด หยวนซื่อเองก็กลัวว่าตนจะติดไข้ไปด้วย จึงหลบไปอยู่ด้านนอก เพียงไม่นานเฉินไคชุนก็รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะตายเต็มที
แน่นอนว่าเฉินเย่าจงได้ยินที่เฉินไคชุนเรียกตัวเองแล้ว แต่เขาไม่อยากเข้าไป ในสายตาของเขา ทุกสิ่งที่กำลังประสบอยู่ตอนนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเฉินไคชุนทำงานไม่ได้เรื่อง และยังมีคนครอบครัวเผยที่จู่ ๆ ก็ผงาดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หากว่าจี้จือฮวนยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน เขาจะต้องกลัวอะไร?
“เย่าจง…” เฉินไคชุนอ้าปากเรียกอีกครั้ง เวลานี้เขาเป็นไข้จนแทบจะเพ้อออกมาอยู่แล้ว
เฉินเย่าจงทำเสียงจิ๊ปากออกมา พร้อมกับลุกขึ้นยืน ทว่าเพิ่งจะลุกขึ้นก็พบว่าตรงหน้ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่
ตอนนี้ที่ถ้ำเก่า ๆ นี้มีเขาอยู่แค่คนเดียว พวกท่านอาและอาสะใภ้ต่างก็ออกไปหายืมเงินคนอื่นกันอยู่
เฉินเย่าจงกุมข้อมือเอาไว้พลางจ้องมองคนตรงหน้า ในหัวของเขาก็พยายามครุ่นคิดไปด้วย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เจ้าคือ…?”
เฉินเย่าจงเตี้ยกว่าเผยยวน จึงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองตั้งแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเผยยวน ก่อนไปหยุดที่ไม้ค้ำที่เขาพิงเอาไว้ เฉินเย่าจงจึงยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตนเองคาดเดา
“อ้อ เจ้านั่นเอง เจ้าคนครอบครัวเผยที่พิการผู้นั้น ที่แท้เจ้าก็ฟื้นแล้วหรือ เจ้ามาก็ดีแล้ว ผู้หญิงของเจ้าทำมือของข้าเจ็บ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามือของข้าล้ำค่าเพียงใด?”
ในวันที่โจรขี่ม้าบุกมา ก่อนที่เผยยวนจะปรากฏตัว เฉินเย่าจงถูกอาอินทุบจนสลบไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเผยยวนต่างหากที่เป็นคนช่วยหมู่บ้านตระกูลเฉินเอาไว้ ส่วนคนของตระกูลเฉินก็ไม่มีอารมณ์จะบอกเรื่องนี้กับเขา
เขาเห็นว่าเผยยวนมีรูปร่างผอม ๆ สูง ๆ ทั้งยังขาพิการ นอนมาตั้งหลายปี หากเขาจะตีเผยยวนก็ย่อมได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จี้จือฮวนติดค้างเขาเอาไว้
เผยยวนได้ยินดังนั้นก็ก้มมองเขา จากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าน่ะหรือ?”
เฉินเย่าจงกำลังคิดที่จะตอบโต้ เผยยวนก็คว้าคอเสื้อเขาแล้ว จากนั้นก็เหวี่ยงเขาลงไปบนกองดินตรงหน้าปากถ้ำ
เฉินเย่าจงใบหน้าเปื้อนดินไปหมด จึงหันหน้าไปคิดจะด่าเผยยวน แต่ก็พบว่าเผยยวนวางไม้ค้ำเอาข้าง ๆ และเดินมาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว
“จะ…เจ้า เจ้า เจ้าไม่ได้ขาพิการหรอกหรือ?” เฉินเย่าจงเพิ่งจะเอ่ยจบ เผยยวนก็เหยียบลงบนข้อมืออีกข้างของเขาทันที
มีเสียง ‘กร๊อบ’ ของกระดูกมือของเฉินเย่าจงที่แตกดังขึ้น
เผยยวนมองหน้าเฉินเย่าจงที่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “มือของภรรยาข้าต่างหากที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า อย่างเจ้านับเป็นตัวอะไร คู่ควรที่จะเอาตัวเองมาเทียบกับนางอย่างนั้นหรือ?”
เผยยวนกระชากผมของเฉินเย่าจง ก่อนจะมองหน้าเขาและเอ่ยต่อ “นางตีเจ้าก็ถือเป็นบุญของเจ้าแล้ว แต่หากเจ้าไปปรากฏตัวต่อหน้าของนางอีก ทำให้นางไม่พอใจขึ้นมา ข้าจะทำให้เจ้าได้ตายอย่างน่าอนาถ เข้าใจหรือไม่?”
คนที่เกิดในกองทัพ ไอสังหารบนกายย่อมแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปอยู่แล้ว เผยยวนฆ่าคนในสนามรบมานับไม่ถ้วน แต่นี่แค่บัณฑิตยากจนคนหนึ่ง เขายังกลัวว่ามือของตนจะสกปรกด้วยซ้ำ
เฉินเย่าจงไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก เขารีบพยักหน้ารับคำทันที
…
ตอนที่จี้จือฮวนกลับมาจากตำบล เผยยวนก็กำลังนั่งสานตะแกรงไม้ไผ่อยู่ในลานบ้าน อาอินก็กำลังล้างปูอยู่ สองพ่อลูกเมื่อได้ยินเสียงของนางต่างก็รีบออกมาต้อนทันที
“มีน้ำต้มถั่วเขียวต้มสุกอยู่ในครัว ท่านแม่ท่านรีบไปดื่มเร็วเข้าเจ้าค่ะ” อาอินยื่นมือไปรับสายจูงของจ้านอิ่งมาพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องรีบ ข้าซื้อรองเท้าคู่ใหม่มาให้เจ้า เจ้ามาลองก่อนเร็วเข้า” วันนี้จี้จือฮวนไปตำบลมาเจอตลาดเข้าพอดี จึงซื้อของกลับมาไม่น้อย และยังซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เผยยวนด้วย
อาอินจึงเอ่ยตำหนิขึ้นมา “เหตุใดถึงซื้อมาให้พวกเราอีกแล้วล่ะเจ้าคะ คราวหน้าต้องซื้อให้ตัวท่านเองบ้างนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ขาดรองเท้าเสียหน่อย”
“แต่ข้าก็ซื้อมาแล้วนี่เจ้าคะท่านแม่บ้าน” จี้จือฮวนรู้ว่านางเป็นห่วง และแน่นอนว่าเมื่อเอ่ยเช่นนั้นออกไปอาอินก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะจูงจ้านอิ่งกลับเข้าคอกม้าไปอย่างมีความสุข
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เผยยวนลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ “วันนี้ข้าอยู่บ้านเรียนวิธีสานตะแกรงไม้ไผ่กับพี่ต้าเฉียงมา ใช่แบบที่เจ้าอยากได้หรือไม่?”
จี้จือฮวนมองดูรูปร่างของตะแกรงที่เขาสานเล็กน้อย ทำใช้ได้ทีเดียว “สานได้ดีมาก ข้าตั้งใจนำมาอบพวกผลไม้ แค่นี้ก็พอแล้ว”
เผยยวนถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ช่วยนางได้บ้างก็ยังดี
จี้จือฮวนกำลังจะไปล้างหน้าก็เห็นว่ามีคนมาทางบ้านพวกนาง คนที่เดินนำมาก็คือหยวนซื่อ “ท่านเจ้าหน้าที่เจ้าคะ คนครอบครัวนี้แหละเจ้าค่ะที่ตีหลานชายข้า สามีข้าก็ใกล้จะตายอยู่รอมร่อ นอกจากนี้ยังมีลูกสะใภ้กับลูกสาวข้าด้วยที่หายตัวไป”
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว ก่อนจะผลักประตูรั้วออก ท่านป้าที่เล่นไพ่นกกระจอกอยู่ด้านในได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็รีบออกมาดู พวกเหล่าเติ้งเองก็ถือค้อนตามออกมาด้วยเช่นกัน
กลุ่มคนมากมายยืนอยู่เต็มลานบ้านและจ้องหยวนซื่อตาเขม็ง อีกทั้งคนในหมู่บ้านตระกูลเฉินก็มีไม่น้อยที่รีบมา ด้วยกลัวว่าจะมีคนมาหาเรื่องครอบครัวเผย!
“ท่านเจ้าหน้าที่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเรานะเจ้าคะ”
“วาดชีวิต ลิขิตชะตา #เกิดใหม่ครั้งหน้า ขอข้าเป็นนางเอก” เป็นนิยายที่ผู้ติดตามตำหนักหมื่นบุปผาถามหากันเยอะมากจนฝ่ายผลิตทำงานไม่ทันต้องสั่งปิดเรื่องไปก่อน มาเวลานี้ด้วยฤกษ์งามยามสะดวก(อันที่จริงคือกำลังการผลิตกลับมา) ตำหนักหมื่นบุปผาจึงขอเปิดตัวแม่นางผู้นี้อีกครั้ง!
“ใบรายชื่อดวงชะตาระบุว่า หากนางอยากหลุดพ้นจากชะตาน่าอนาถก็ต้องหาวิธีคว้าเอาโชคลาภจากผู้ที่มีนามปรากฏอยู่ จากนั้นพันธุ์ไม้ในกระถางวิเศษจะงอกเงย ไม้ต้นนี้เป็นดัชนีชี้วัดโชค ยิ่งต้นไม้งามเท่าไหร่ชะตาก็เปลี่ยนไปมากเท่านั้น
ทว่าเหมือนสวรรค์ชอบเล่นสนุก เพราะรายชื่อลำดับแรกสุดที่ระบุไว้บนใบรายชื่อนี้ก็คือ —— เยี่ยนอ๋อง!เชื้อพระวงศ์โฉดโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วเมืองหลวง และสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคืออิสตรี . หึ! อ๋องโฉดหรือ? …ข้าแต่ง!
.
.
เขาผุดลุกขึ้น มือเรียวยังไม่ลืมคว้าไหเหล้าใบน้อยติดกายไปด้วย คนผู้นั้นก้าวเดินตามความเย้ายวนที่ติดตรึงอยู่กับปลายจมูกประหนึ่งกลิ่นนั้นเป็นเชือกล่องหนที่ฉุดรั้งให้เขาต้องก้าวตาม
เมื่อผู้ติดตามเห็นท่าทางประหลาดของเจ้านายตน คำว่า ‘ฉิบหาย’ ก็แจ่มชัดขึ้นในใจ”