เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 57 บุกวัดเส้าหลิน สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?
Sign in Buddha’s palm 57 บุกวัดเส้าหลิน สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?
ตูม ตูม ตูม!
เสียงของหัวใจเต้นถี่แรง ทรงพลัง ส่งเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซูฉินนั่งไขว้ขาอยู่อย่างเงียบเชียบ เปลือกตาปิดอยู่ รัศมีโดยรอบระยะร้อยเมตรสภาพบรรยากาศผันผวนบิดเบี้ยวอยู่เล็กน้อย พลังงานหลายหลากต่างพุ่งเข้ามาบรรจบกัน
“ฟู่!”
ทันใดนั้นซูฉินก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง พลังฟ้าดินในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังต่างหลั่งไหลเข้ามา กลายเป็นสภาพเหมือนช่องมิติขนาดใหญ่ดูดกลืนพลังฉีเข้ามาในตัวเขาอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
การเปลี่ยนแปลงที่สามารถสั่นคลอนโลกทั้งใบได้เกิดขึ้นภายในร่างของซูฉิน
ด้วยองค์ประกอบทั้งสาม คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน รวมไปถึงอวัยวะภายใน เส้นเลือดทุกเส้นภายในร่างกายของซูฉินแปรสภาพไปอย่างรวดเร็ว
หากกล่าวว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ก้าวข้ามคนธรรมดาไปสู่พลังชั้นสูงแล้ว สถานะของระดับ ‘อรหันต์‘ นั้นเหนือหมู่มวลสรรพชีวิตโดยสิ้นเชิง
‘อรหันต์‘ และระดับตำนานยุทธทั้งหลายนั้นเหนือไปกว่ามนุษย์โดยแท้จริง
“ระดับอรหันต์…”
“ในที่สุดก็มาถึงจนได้…”
ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
รูม่านตาของเขาดำสนิท ลึกล้ำกว้างใหญ่ราวกับจักรวาลที่ประดับประดาไปด้วยหมู่ดาว
ซูฉินยืนขึ้นและมองไปที่มือทั้งสองข้าง
ในขณะนี้ร่างกายของเขาก้าวข้ามไปสู่อีกระดับหนึ่งโดยสมบูรณ์ สามารถดูดซับพลังแห่งฟ้าดินได้เองโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อเติมเต็มพลังงาน
บรรลุสู่ความเป็นเซียนอมตะ อิ่มทิพย์เพียงสูดลมหายใจ
นอกจากนี้ซูฉินยังรู้สึกอีกว่า เพียงความคิด เขาสามารถควบคุมพลังฟ้าดินในระยะหลายลี้รอบตัว ท่วงท่าทุกย่างก้าวของเขาราวกับเป็นเนื้อเดียวไปกับพลังฟ้าดิน
ไม่ว่าจะเป็น ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ วิธีการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดก็คือการใช้พลังฟ้าดิน
สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะเป็นขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพครบสามครั้งแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังต้องหวาดกลัวต่อการใช้กลยุทธ์กลุ้มรุม หากถูกปิดล้อมด้วยกองทัพขนาดใหญ่นับล้านคน ยอดปรมาจารย์ก็คงไม่อาจทานทนได้เหมือนกัน
แน่นอนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคงไม่โง่เขลากระโดดเข้าไปในวงล้อมของกองทัพนับล้านคนหรอก
แต่ระดับ ‘อรหันต์‘ นั้นต่างออกไป
ตัวตนระดับนี้ ยกเว้นไว้แต่เจอเข้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน แม้จะถูกปิดล้อมด้วยคนจำนวนมหาศาลก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
“ผ่านไปสิบวันเลยหรือนี่?”
ซูฉินรู้สึกตัวและก็พอจะรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่เริ่มขั้นตอนการตัดผ่าน
เดิมทีซูฉินคิดว่าจะใช้เวลาแค่หนึ่งคืนเพื่อที่จะข้ามผ่านขอบเขตระดับพลัง แต่มิคิดว่ามันจะใช้เวลานานเพียงนี้
“ได้เวลาออกจากที่นี่แล้ว”
รัศมีพลังของซูฉินถูกสูบกลับเข้ามาภายในร่างกายทั้งหมด เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างตอนนี้กับตอนก่อนทะลวงระดับขั้นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากไปถึงระดับ ‘อรหันต์‘ ร่างกายของซูฉินก็มาถึงระดับที่ไม่เคยเอื้อมถึงมาก่อน
อย่างฉับไว
ซูฉินออกจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังและเข้ามาถึงทางเดินสีเขียวไม่ไกลจากลานจิปาถะเท่าใดนัก
“ฮะ?”
ซูฉินพบว่าบรรยากาศของวัดเส้าหลินในเวลานี้มีบางอย่างผิดปกติ
ใบหน้าของศิษย์วัดเส้าหลินที่เดินไปเดินมาต่างตื่นตระหนกราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตบางอย่าง
“พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
“พรรคมารมาเยือนถึงหน้าประตูแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจะสามารถหยุดยั้งมันได้หรือไม่?”
“ไม่ว่าจะหยุดยั้งมันได้หรือไม่ พวกเราวัดเส้าหลินเป็นพรรคที่ขึ้นชื่อเรื่องความเที่ยงธรรมที่สุด จะไปเกรงกลัวต่อพรรคมารได้อย่างไร?”
ศิษย์วัดเส้าหลินกล่าวกันเพียงไม่กี่คำก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังโถงศาลาการประชุมใหญ่
“พรรคมาร?”
ซูฉินขมวดคิ้วและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศราวกับคลื่นน้ำไหลหลาก
หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็ทรงพลังมากขึ้นไปหลายสิบเท่า แต่ก่อนนั้นมันสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้เพียงหลายสิบเมตร แต่บัดนี้กลับครอบคลุมรัศมีเป็นแสนเมตรแล้ว
จากนั้นไม่นาน
ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ และเดินไปยังทิศทางของโถงศาลาการประชุมใหญ่
เพียงไม่นาน
ทันทีที่ซูฉินมาถึงโถงใหญ่ เขาก็ถูกหยุดโดยเจินชื่อพระภิกษุที่คอยตรวจตรา
“เจินกวน ทำไมข้าถึงไม่เห็นหน้าเจ้าเลยช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้”
เจินชื่อถามแบบไม่จริงจังอะไรมาก สายตาเขากลับจับจ้องไปที่ห้องโถงใหญ่
บริเวณโถงศาลาการประชุมใหญ่ตอนนี้ คนจากพรรคมารกำลังเผชิญหน้าอยู่กับศิษย์ของวัดเส้าหลิน
“ลาหัวโล้นเอ๋ย ถ้าเจ้ายอมจำนนต่อพรรคมารของข้าอย่างเชื่องเชื่อ ข้าอาจจะไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ได้นะ”
ชายไว้หนวดเคราที่มีใบหน้าคล้ำหมองยิ้มเยาะออกมา
“เศษสวะพรรคมาร!!!” หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธเกรี้ยวตะโกนออกมาลั่น
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ทุกคนดูเคร่งขรึม สายตาของพวกเขาสบเข้ากับชายที่สวมชุดคลุมสีดำ
ชายในชุดคลุมสีดำมีกลิ่นอายลึกล้ำ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ทุกคนหายใจติดขัดกันหมดแล้ว
“นะโม อมิตตาพุทธ จอมมาร เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกุมมือไว้ที่ด้านหน้าแล้วมองไปที่ชายชุดคลุมสีดำ
“หึ!”
สีหน้าเยาะเย้ยถากถางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจอมมารชุดดำ “ไอ้ลาหัวโล้นฮุ่ยเหวิน ข้ามีทางเลือกให้เจ้าเพียงแค่สองทาง ทางหนึ่งคือการยอมแพ้เสีย อีกทางหนึ่งคือทำลายวัดให้เหี้ยน”
เสียงของจอมมารในชุดคลุมสีดำไม่ได้ดังอะไร แต่มันกลับดังก้องอยู่ในหูของศิษย์วัดเส้าหลินทุกคน
ในทันใด
ศิษย์วัดเส้าหลินหลายต่อหลายคนพลันหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นะโม อมิตตาพุทธ…”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก้าวย่างอย่างแผ่วเบา และไปยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน
ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินอยู่มาหลายพันปีแล้วจะเป็นไปได้เช่นไรที่จะยอมจำนนต่อพรรคมาร?
“เช่นนั้น พระผู้ต่ำต้อยผู้นี้คงต้องขอคำชี้แนะจากจอมมารแล้ว”
เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้
สีหน้าท่าทางของหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนไป
มีข่าวลือมานมนานแล้วในทำเนียบยอดยุทธว่าจอมมารได้ก้าวเข้าสู่การเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด
แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ถ้าเขาต่อสู้กับระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะจินตนาการได้ไม่ยาก
“เจ้าอาวาส ไม่ได้นะท่าน”
“ใช่ ท่านจะต้องไม่ตกไปในหลุมพรางของพรรคมาร…”
หัวหน้าตำหนักต่างรีบกล่าวอย่างร้อนรน
“ถ้าข้าไม่ก้าวลงไปยมโลก จะเป็นผู้ใดอีกเล่าที่จะก้าวเดินไปในทางเส้นนี้”
เจ้าอาวาสส่ายหัวเล็กน้อย
วันนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลินคือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน หากเขาไม่ลุกขึ้นยืนหยัดสู้ ใครเล่าจะทำได้?
แม้ว่าจะยังมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดเส้าหลิน แต่จนถึงขณะนี้ท่านก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ท่านอาจจะมีภาระบางอย่างอยู่
ในเวลานี้แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมมาร แต่เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันทน
“พวกมดปลวก”
จอมมารหัวเราะเยาะ ยกมือขวาขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
ทันใดนั้นพลังมารที่น่าสยดสยองก็พลุ่งพล่านออกมาคลุมตัวเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน
ปึง
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอยหลังไปสามก้าว จนก้าวสุดท้าย เลือดก็ถูกพ่นออกมา
เจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินผู้เป็นยอดปรมาจารย์ ไม่แม้แต่จะทำให้จอมมารต้องเคลื่อนออกจากจุดเดิม
“ท่านเจ้าอาวาส”
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“จอมมารข้าจะขอสู้กับเจ้า”
เหล่าศิษย์วัดเส้าหลินจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกเจ็บใจ และหัวหน้าตำหนักต่างเข้าไปดูแลเจ้าอาวาสก่อนเป็นอันดับแรก
“ไม่เป็นไร ก็แค่บาดเจ็บเท่านั้น…”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวด้วยเสียงสั่นเทาใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
จอมมารน่าจะยั้งมือเอาไว้แล้วเมื่อครู่ ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะรอดชีวิตมาได้ เขาก็ควรจะบาดเจ็บสาหัส ไม่ควรจะฝืนยืนอยู่ได้เหมือนในขณะนี้
“วัดเส้าหลินถึงคราวจบสิ้นแล้ว…”
เมื่อเห็นฉากนี้เข้า หัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกหนาวเหน็บ
ตอนแรกพวกเขายังพอจะมีความหวังอันริบหรี่เหลืออยู่ในใจ โดยคิดไปว่าจอมมารอาจจะไม่ได้ไปถึงระดับนั้นตามข่าวลือที่ได้ฟังมา
หากเป็นเช่นนั้น วัดเส้าหลินยังพอมีโอกาสจะขับไล่พรรคมารกลับไป
แต่ยามนี้ ดูเหมือนว่า…
แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ไม่สามารถหยุดยั้งพลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้ ความแข็งแกร่งของจอมมารเกินกว่าที่วัดเส้าหลินจะรับมือได้ไหว
ในสถานการณ์เช่นนี้วัดเส้าหลินจะป้องกันการบุกรุกของพรรคมารได้เช่นไร?
“เป็นไปได้หรือไม่ที่วัดเส้าหลินอันมีประวัติยาวนานนับพันปีจะต้องมาสิ้นสุดลงตอนนี้”
เหล่าหัวหน้าตำหนักสะท้านสั่นภายในจิตใจ พวกเขาดูหมดหวัง
หลังจากที่เอาชนะเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว จอมมารในชุดคลุมสีดำก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
สำหรับมันแล้ว แม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างนักพรตเทียนเหลียนจากนิกายเทียนไถ่ก็ยังสังหารได้ นับประสาอะไรกับพระสงฆ์อย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน?
จอมมารในชุดสีดำเดินออกไปทีละก้าวจนครบเก้าก้าว เงยหน้าขึ้นมองที่โถงศาลาการประชุมใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่จากนั้นจึงตะโกนว่า
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในวัดเส้าหลิน!”
คลื่นเสียงของยอดปรมาจารย์อย่างจอมมารในชุดคลุมสีดำ ก้องกังวานไปทั่วทั้งวิหาร ศิษย์วัดเส้าหลินทั้งหลายต่างหูอื้อไปตามๆ กัน วิญญาณเหมือนจะหลุดออกจากร่าง
“เจ้าสังหารสาวกพรรคมารของข้า และเกือบจะทำลายมรดกตกทอดของพรรคข้าจนสิ้น !”
“ข้าจะเพิกเฉยความอาฆาตนี้ไปได้เช่นไร ? ตอนนี้ชีวิตความเป็นความตายของวัดเส้าหลินของเจ้าอยู่ในมือข้า ถ้าเจ้ายังไม่ยอมออกมาอีกข้าจะฆ่าศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนด้วยน้ำมือข้าเองเสียให้หมด !”
หลังจากที่จอมมารชุดดำพูดจบ มันก็มองไปทั่วทุกที่ในวัดเส้าหลิน
สำหรับประมุขพรรคมารในชุดคลุมสีดำ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เป้าหมายหลักของมันคือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลิน
สำหรับศิษย์คนอื่น หรือแม้กระทั่งยอดปรมาจารย์อย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน มันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ …”
หัวใจของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสั่นสะท้าน เขาไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะออกมาหรือไม่ ?
ด้วยพลังอำนาจของจอมมารในตอนนี้ บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้หรือเปล่า ?
กรณีที่บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม น่ากลัวว่าวันนี้วัดเส้าหลินจะต้องถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ …”
ศิษย์ของวัดเส้าหลินทั้งหลายต่างหวังอยู่เล็กๆ ราวกับคนจมน้ำพยายามคว้าเชือกฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ไม่ให้จมลงไป
อย่างไรก็ตาม
เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามตามที่จอมมารชุดคลุมสีดำได้เอ่ยปากออก ก็ไม่ปรากฏตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ห่าอะไรวะ ด้วยอำนาจบารมีของท่านจอมมาร มันคงวิ่งหนีหางจุกตูดไปเสียนานแล้ว …”
รอยยิ้มหยามเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าสาวกพรรคมาร
“มันกลัวข้าจริงๆ หรือ”
จอมมารชุดดำดูผิดหวัง
ตัวมันอุตส่าห์เดินทางออกจากทะเลทรายตะวันตก เพื่อมาหาสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลิน จะได้ต่อสู้กันสร้างความกดดันที่ถึงแก่ชีวิต
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะทำแบบนั้นไม่ได้เสียแล้ว
“ฉะนั้นวัดเส้าหลินก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป”
จอมมารส่ายหัวเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูเศร้าหมอง
เมื่อจอมมารกำลังจะสั่งการสังหารศิษย์วัดเส้าหลิน
ทันใดนั้น
เสียงที่สงบเรียบก็ดังขึ้น
“เจ้ามาหาข้าเพื่อแก้แค้นงั้นหรือ ?”
ในเวลาต่อมา
ท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งของทุกคน
ภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากฝูงชน