เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 362 เดินทางมาถึง
Sign in Buddha’s palm 362 เดินทางมาถึง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
มันคือแก่นกลางของอาณาจักรเก้าดาบ เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ตอนที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจิ๋วหลีได้เปิดโลกอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมา ครั้งหนึ่งเขาเคยปิดด่านฝึกตนอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์นานหลายร้อยปีจากนั้นจึงล่องลอยออกไปภายนอกไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย
หลังจากการหายตัวไปของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ กลุ่มบรรพชนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็ได้เข้ายึดครองพื้นที่รอบนอกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์และก่อตั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบขึ้นมา ซึ่งรู้จักกันในนามมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเข้ากวาดล้างทั่วทั้งอาณาจักรเก้าดาบทั้งหมดเป็นเวลากว่าห้าหมื่นปี
ในเวลาที่นานเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครคิดที่จะต่อต้านการปกครองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ แต่พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเพียงไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนบนโลกอาณาจักรเก่าดาบจะสามารถต้านทานได้
“ผู้อาวุโส ท่านกําลังจะไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อฉุนหยางสื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ในสายตาของฉุนหยางสื่อนั้นซูฉินแข็งแกร่งมาก เพียงขยับกาย ศิษย์ทั้งสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็สลายกลายเป็นความว่างเปล่า แต่หากซูฉันดูแคลนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ และภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุนี้ นับว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งใด?
นั่นคือสถานที่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบใช้ปิดด่านฝึกตนเมื่อครั้งกระโน้น ไม่ต้องกล่าวถึงเคล็ดวิชามากมายที่หลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เก้าดาบเพียงอย่างเดียว แม้จะเป็นกลุ่มเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดรวมพลังกัน คาดว่าคงทําอะไรไม่ได้
“ในโลกอาณาจักรเก้าดาบแห่งนี้ มีเพียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้นที่ทําให้ข้าสนใจได้
ดวงตาของซูฉินนิ่งสงบ เขามองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับกล่าวออกมาเบาๆ
ด้วยความช่วยเหลือของวิหารการสงคราม ซูฉินได้ผ่านช่องทางมิติจนมาถึงอาณาจักรเก่าดาบจุดประสงค์ที่สําคัญก็คือมาลงชื่อเข้าใช้ที่นี่
โลกแห่งอาณาจักรเก่าดาบดํารงอยู่มาอย่างน้อยก็นับหมื่นปี แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ แต่ก็ได้สะสมเติมาอย่างยาวนาน ไม่รู้ว่ามากยิ่งกว่าพระราชวังภายในเมืองฉางอันไปมากแค่ไหน ตามที่ซูฉินคาดเดาเกรงว่าจะมีสถานที่เพียงไม่กี่แห่ง อาทิประตูเซียนเท่านั้นที่สามารถเทียบกับที่นี่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาณาจักรเก้าดาบจะสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ก็กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง เทียบได้กับอาณาจักรถังนับสิบแห่งหรืออาจจะถึงร้อยเท่า……ซูฉันกําลังมองหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนไม่ก็เป็นปี
ดังนั้นซูฉินจึงขี้เกียจเกินกว่าจะตามหา วางแผนว่าจะไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
ด้วยสถานที่ตั้งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จะต้องรวบรวมเต่าสะสม ส่วนใหญ่บนโลกของอาณาจักรเก้าดาบเอาไว้หากลงชื่อเข้าใช้ที่นั่นจะต้องได้รับอะไรกลับไปไม่น้อยเป็นแน่
ส่วนสถานที่อื่นๆ ภายในอาณาจักรเก่าดาบ…หลังจากที่ซูฉันมีเวลามากเพียงพอ เขาค่อย ตามหามันที่ละแห่งอย่างไรเสียช่องทางมิติระหว่างอาณาจักรเก้าดาบและโลกมนุษย์ก็ก่อตัวขึ้น มาแล้วอย่างน้อยในยุคที่กระแสปราณฟื้นคืนนี้ ซูจินก็มีเวลามากมายที่จะใช้ค้นหาและเก็บเกี่ยว ภายในโลกแห่งอาณาจักรเก่าดาบ
“ผู้อาวุโส ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ…” ฉุนหยางสื่อลังเล เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของซูฉิน แต่เมื่อซูฉินตกตายอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เขาซึ่งเป็นคนนําทาง….จุดจบคงไม่ได้ดีอย่างแน่นอน และจะต้องถูกคิดบัญชีโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทันที
“ไม่เป็นไร”
“ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”
ซูฉันกล่าวเบาๆ
อาณาจักรเก่าดาบไม่ได้ยอดเยี่ยมไปกว่าประตูเซียน ประตูเซียนเปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหลายคน ทั้งยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมรดกตกทอดของคนเหล่านั้น ด้วยอิทธิพลของกลุ่มผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ไม่เพียงแต่จะให้กําเนิดเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพเท่านั้น ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ยังกระจายสายเลือดของพวกเขาก่อนที่จะตายไปด้วยเกิดเป็นทายาททางสายเลือดที่อยู่ยงคงกระพันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลายต่อหลายคน
แต่อาณาจักรเก่าดาบนั้นไม่เหมือนกัน
ในช่วงเวลาที่อาณาจักรเก่าดาบของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลีเปิดออก ไม่ได้ใช้วิธีพิเศษใดๆในการดึงวิถีกฎเกณฑ์เข้าไป และแม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลีจะดึงเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์แห่งวิถีเข้ามาก็ตามคาดว่ามันคงจะหายไปหลังจากผ่านไปกว่าห้าหมื่นปีแล้วโลกใบเล็กภายในประตูเซียนหลังจากผ่านไปหมื่นปีวิถีกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็เกือบจะหายไปหมดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเวลาห้าหมื่นปีบนโลกอาณาจักรเก่าดาบเลยไม่ใช่หรือ?
และด้วยข้อสันนิษฐานว่ามันไม่สามารถทําความเข้าใจกฏเกณฑ์แห่งวิถีบนโลกนี้ได้ การบ่มเพาะของเซียนเทพปฐพี่นั้น อย่างมากที่สุดก็จะหยุดอยู่ที่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด
กล่าวคือ คนบนโลกอาณาจักรเก่าดาบในปัจจุบันนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ซึ่งสิ่งนี้ก็ตรงกับความเข้าใจที่ซูฉินได้รับมาจากดวงตาแห่งสัจจะยาม เมื่อมองดูอาณาจักรเก่าดาบ
ในกรณีที่ไม่มีขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ในขั้นสถิตเทพ ซูฉินย่อมไม่เกรงกลัวเป็นธรรมดาด้วย ไพ่ลับมากมายในมือ รวมถึงเคล็ดวิชาต่างๆ แม้จะได้เจอกับเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพก็ยังสามารถต้านรับไว้ได้ครู่หนึ่ง นับประสาอะไรกับอาณาจักรเก่าดาบที่ไม่มีแม้แต่ขั้นสถิตเทพ?
แน่นอน แม้ว่าซูฉินจะมั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้ละเลยโลกอาณาจักรเก้าดาบ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโลกที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ หากอีกฝ่ายทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง ซูฉินจะต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่
อย่างไรก็ตามซูฉินก็มั่นใจชัดเจน ไม่ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ตราบใดที่มันไม่เกินขอบเขตทลายนภากาศและด้วยเวลาที่ผ่านพ้นมากว่าห้าหมื่นปีถึงจะมีกระบวนท่าสังหารใดหลงเหลืออยู่ เกรงว่าแม้พลังที่เหลือของมันอาจจะคุกคามซูฉินได้ แต่ก็ไม่ได้อันต รายถึงแก่ชีวิต
“ไปเถอะ
ซูฉินเหลือบมองฉุนหยางสื่อ แล้วจึงมุ่งตรงไปในทิศทางหนึ่ง
ความรู้สึกที่ถูกแอบมองอย่างกะทันหันทําให้ซูฉินจับตําแหน่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบได้โดยตรง
“ขอรับ”
เมื่อเห็นดังนี้ ฉินหยางสื่อก็กัดฟันติดตามไปในทันที
ในตอนนี้ฉันหยางสื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากเห็นความสามารถของซูฉินเขาก็ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีแต่ประการใด ช่างน่าขํานัก ไอพลังที่ซูฉินแสดงออกมาเมื่อครู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนมองข้ามทุกสรรพสิ่งบนโลกได้เลย ในสายตาของฉุนหยางสื่อเกรงว่าจะมีเพียงเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบและเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงเท่านั้นที่พอจะเปรียบเทียบได้
การหลบหนีจากตัวตนระดับนี้…ก็เป็นเพียงแค่การมองหาความตายเท่านั้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ฉินหยางสื่อไม่ต้องคิดอะไรมากอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าซูฉินจะถูกปราบปรามโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ และจากนั้นเขาก็จะถูกคิดบัญชีโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และตอนนี้….สิ่งที่ฉันหยางสื่อจําเป็นจะต้องทําให้ได้คือการไม่ทําให้ซูฉินขุ่นเคือง
“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบช่างน่าทิ้งเสียจริง…”
ซูฉันรับสัมผัสอย่างพินิจพิเคราะห์ มีความประหลาดใจฉายอยู่บนใบหน้าเขาเล็กน้อย
ในการรับรู้ของซูฉิน อาณาจักรเก่าดาบทั้งหมดได้เผยเจตจํานงแห่งดาบออกมาอย่างแผ่วเบา แม้ว่าเจตจํานงนี้จะเบาบางมาก แต่ผ่านไปนานถึงห้าหมื่นปีก็ยังไม่จางหายฟังกระจายอยู่ทั่วทุก อณูในอากาศ
ซูฉินรู้อยู่ภายในใจว่านี่คือกลิ่นอายที่เหลืออยู่ของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ เมื่อยามที่เขาเปิดโลกอาณาจักรเก้าดาบ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็ได้ใช้พลังวิถีแห่งดาบเพียงอย่างเดียวทําลายความว่างเปล่าจนเปิดออก กลิ่นอายนั้นยังคงอยู่เรื่อยมาจวบจนเวลาผ่านมาห้าหมื่นปี
ในบางแง่มุม ซูฉินที่ได้เฝ้าดูโลกอาณาจักรเก้าดาบก็เหมือนกับได้พบประสบการณ์ใหม่บนเส้นทางของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเมื่อห้าหมื่นปีก่อน
หากเป็นเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ โดยเฉพาะเซียนเทพปฐพี่ที่บ่มเพาะในวิถีแห่งดาบ พวกเขาจะพบว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ําค่าอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย เส้นทางที่ซูฉันเดินไม่ใช่วิถีแห่งดาบอาณาจักรเก่าดาบที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบนี้ก็ทําให้เขารู้สึกประทับใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ผู้อาวุโส”
“ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่เบื้องหน้า”
เมื่อซูฉันกําลังตกอยู่ในภวังค์แห่งการรู้แจ้ง เสียงของฉุนหยางสื่อก็ดังขึ้นด้วยความระมัดระวัง
“ถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ?”
ซูฉินระงับความคิดของตน เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองดูภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันงดงามจากระยะไกล มันยืนยงมาถึงห้าหมื่นปีภูเขาทั้งลูกเหมือนกับเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่ง