Sign in Buddha’s palm 356 เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ
ช่องทางมิตินั้น พูดให้ชัดเจนคือมันไม่ใช่ช่องทาง แต่เป็นทิศทางที่จะบอกถึง’พิกัด
ความว่างเปล่านั้นกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นซ้ายขวาบนล่างหากไม่มีทิศทางกําหนดหรือพิกัด แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็อาจหลงทางได้ความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวหมุนวนตรงหน้านี้เป็นเพียงพิกัดที่โผล่ขึ้นมาเมื่อกระแสปราณฉีฟื้นฟูขึ้นมาจนถึงจุดเปลี่ยนผ่านที่สองและโลกมนุษย์ก็ได้จับสัญญาณจากโลกใบเล็กได้จากนั้นจึงสร้างพิกัด ขึ้นมา
ดังนั้นด้วยประสบการณ์ของนักพรตหมื่นกําเนิดจึงแนะนําให้ซูฉินรอจนกว่าช่องทางมิติจะถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะเข้าไป
ไม่เช่นนั้น หากช่องทางมิติไม่สมบูรณ์…แม้ว่าซูฉินจะสามารถต้านทานเศษซากมิติที่มีอยู่มากมายในส่วนลึกของความว่างเปล่าได้เขาก็ต้องหลงทางอยู่ภายในอยู่ดี
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าจะมีวิหารการสงครามที่สามารถใช้ปกป้องร่างกายหรือแม้ซูฉินจะหลงทางอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าเขาก็ยังสามารถใช้วิหารการสงครามและแรงดึงดูดของร่างจําแลงเพื่อกลับสู่โลกมนุษย์ได้แต่มันย่อมเสียเวลาไปอย่างไม่อาจเลี้ยง และภายในส่วนลึกของความว่างเปล่าก็ใช่จะปลอดภัยโดยสมบูรณ์
แม้แต่ในโลกของพลังปราณฉีอันบริสุทธิ์อย่างทะเลปราณก็ยังมีสิ่งมีชีวิตปราณฉีกําเนิดขึ้นมาฉะนั้นมันย่อมมีสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษมากมายร่อนเร่อยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าเป็นแน่และแม้แต่นอกขอบเขตของความว่างเปล่าก็คงจะมีอีก
“มาดูกันหน่อยซิ ว่าโลกใบเล็กนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ซูฉันค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผสานกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดมองเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวนั้น
แม้ช่องทางมิติจะยังไม่ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง แต่มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว ทว่าเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ หรือแม้แต่ตัวตนระดับสูงสุดของขั้นสถิตเทพสามารถรับรู้ว่าช่องทางมิตินี้เชื่อมไปยังโลกใบเล็กแห่งใดก็เมื่อยามที่ช่องทางมิติถูกสร้างขึ้นโดยสมบูรณ์เท่านั้น
แต่ซูฉินสามารถเห็นเบาะแสบางอย่างได้ก่อนด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด
ดวงตาแห่งสัจจะนั้นมีความสามารถในการเข้าใจเห็นแจ้งได้ถึงกลไกพลังฉีทั้งหมดในชั้นฟ้าดินของโลกหล้าซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงโลกมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งรวมไปถึงโลกมนุษย์เองด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซูฉินขาดความแข็งแกร่งที่มากพอ ระยะการสังเกตในปัจจุบันของดวงตาแห่งสัจจะจึงจํากัดอยู่แค่โลกมนุษย์
หวิ่ง!!!
ความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวเบื้องหน้าค่อยๆ รางเลื่อนในสภาวะภวังค์ดวงตาของซูฉินได้เดินทางผ่านความว่างเปล่ามากมายและทันใดนั้นตกลงสู่โลกใบเล็กที่เปล่งแสงสีฟ้าออกมา
ก่อนที่ซูฉันจะทันสังเกตได้อย่างถี่ถ้วน
ตึง!!!
พื้นที่มิติถูกทําลาย เห็นดาบศักดิ์สิทธิ์เก้าเล่มพุ่งทะยานสู่ฟ้าราวกับจะทําลายล้างทุกสิ่งชายร่างกํายําที่สะพายดาบศักดิ์สิทธิ์เก้าเล่มไว้ด้านหลังโผล่ออกมาเพียงยกมือขวาขึ้นดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าก็ฟันฉับลงมาอย่างพลิ้วไหวแผ่วเบาครีน
ความว่างเปล่าถูกตัดผ่าโดยตรง และชิ้นส่วนมิติจํานวนมากก็พังทลาย ซึ่งชิ้นส่วนเศษซากมิติเหล่านี้เพียงพอที่จะกําจัดเซียนเทพปฐพี่ในจุดสูงสุดของขั้นสถิตเทพได้อย่างง่ายดายและต่อให้มีความกล้าหาญเพียงใดก็ไม่อาจจะเข้าใกล้บริเวณนั้นได้ในระยะร้อยจ้าง
“ข้า จิ๋วหลี ได้เปิดอาณาจักรเก้าดาบขึ้นที่นี่ในวันนี้!”เสียงอันเย็นชาและเฉียบแหลมดังก้องอยู่ในจิตของซูฉินราวกับแผ่ขยายข้ามผ่านพื้นที่และกาลเวลา
ชั่วะ!
ซูฉินหลับตาลงในทันที
“จิ๋วหลี?”
หลังจากนั้นไม่นาน ซูฉันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและกระซิบคํากับตนเอง
ซูฉันเข้าใจดีว่าด้วยดวงตาแห่งสัจจะและปราณฉีฟ้ากําหนดเขาสามารถจับตําแหน่งของช่องทางที่ก่อตัวนั้นได้และเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ของโลกใบเล็กอันนั้น
“พวกเจ้ารู้จักจิ๋วหลีหรือไม่?” ซูฉินถามออกไปขณะที่มองไปยังเทพธิดาไท่อินและนักพรตหมื่นกําเนิด
ชายร่างกายที่มีชื่อว่า’จิ๋วหลี”เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศตัวตนที่ทรงพลังโดดเด่นเช่นนี้ย่อมดึงดูดสายตาของสรรพชีวิตทั้งหมดเป็นตัวตนที่สามารถเขย่าโลกได้ทั้งใบ
“จิวหลี?”
เทพธิดาไท่อนและนักพรตหมื่นกําเนิดมองหน้ากันด้วยความสับสนอยู่เนิ่นนาน
“พวกเจ้าไม่รู้จักหรือ?”
ซฉันเลิกคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อไปว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ใช้อาวุธเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์เก้าเล่มหรือไม่?”
ทันทีที่คํากล่าวนั้นถูกกล่าวออกมา
ท่าทีของเทพธิดาไท่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากําลังคิดบางสิ่งอยู่
“นายท่านหมายถึงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบงันหรือ?” เทพธิดาไท่อนถามออกอย่างระมัดระ
“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก๋ดาบ?”
ดวงตาของซูฉินหรี่ลงเล็กน้อย และภาพที่เขาเห็นด้วยดวงตาแห่งสัจจะกวาบเข้ามาในความคิดชายร่างกํายําผู้นั้นเปิดทะลวงความว่างเปล่าด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์และเปิดโลกใบเล็กเป็นอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมาซูฉินจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “คงมิผิด”
ซูฉินตระหนักได้ในทันทีว่านามจิ๋วหลีนั้นน่าจะเป็นชื่อจริงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เปิดอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมาโดยปกติแล้วน้อยคนนักที่จะรู้ชื่อจริงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด
ตัวอย่างเช่น ชื่อจริงของซูฉินเป็นที่รู้จักเพียงในหมู่คนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น เช่นตระกูลซูส่วนคนอื่นๆพวกเขามักจะเรียกซูฉินว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือไม่ก็อรหันต์ผู้เป็นใหญ่ในโลกเสียเป็นส่วนใหญ่
“เรียนนายท่าน ในหนังสือโบราณของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่อินก็มีบันทึกเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบอยู่บ้าง”
เทพธิดาไก่อินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะรวบรวมคําพูด แล้วจึงกล่าวออกอย่างรวดเร็ว“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบผู้นี้เป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่กําเนิดขึ้นในสมัยแรกๆของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณครั้งล่าสุดและทําลายความว่างเปล่าด้วยวิถีแห่งดาบจนกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด”
“ทําลายความว่างเปล่าด้วยวิถีแห่งดาบ”
ดวงตาของซูฉินสงบ แต่ความคิดก็ผุดขึ้นภายใน
คิดอยากจะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด จําเป็นต้องทําลายความว่างเปล่า แต่จะทําลายความว่างเปล่าได้อย่างไร?ทําลายด้วยสิ่งใดเล่า?
ในความเป็นจริง ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เองก็แบ่งแยกออกไปหลายวิถีเช่นเซียนเทพปฐพีในวิถีแห่งเปลวเพลิงเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งสายฟ้าเซียนเทพปฐพีวิถีแห่งดาบและเซียนเทพปฐพี่ในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิด
จ้าวทะเลบูรพาก็เป็นเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งเปลวเพลิง
หากต้องการทําลายความว่างเปล่าจะต้องพึ่งพาพลังของตนเองเพื่อทําลายความว่างเปล่าตัวอย่างเช่นเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งเปลวเพลิงก็ต้องทําลายความว่างเปล่าด้วยเปลวเพลิงและเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งสายฟ้าก็ต้องทุบทําลายความว่างเปล่าด้วยสายฟ้าฟาดเป็นต้น
หลังจากที่เซียนเทพปฐพี่บุกทะลวงความว่างเปล่าวิถีพลังของพวกเขาจะถูกรวมเข้ากับพลังมิติและความชั่วร้ายต่างๆจะไม่อาจติดตามตัวของพวกเขามาได้ผลกรรมก็ไม่อาจเกาะติด
“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบนั้นแข็งแกร่งมาก ในช่วงเวลานั้นยังมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่อีกสองคนในยุคเดียวกัน แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งคู่ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก๋ดาบแม้พวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม ก็ไม่สามารถเทียบได้กับพลังของดาบทั้งเก้าที่ตัดผ่านฟากฟ้า”
มีร่องรอยความหวาดกลัวในน้ำเสียงของเทพธิดาไท่อิน
“อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านเวลาไปสองพันปี ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็หายตัวไปบางคนคาดเดาว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบควรจะเดินทางไปยังพื้นที่ภายนอกความว่างเปล่าเพื่อไล่ตามขอบเขตที่สูงกว่า”
เทพธิดาไท่อนหยุดไปชั่วครู่แล้วจึงค่อยกล่าวต่อไป
“พื้นที่ภายนอกความว่างเปล่า?”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดล้วนจากโลกมนุษย์ไปสู่ห้วงอวกาศในที่สุด
แน่นอนว่ายังมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบางส่วนที่หวนคิดถึงบ้านเกิด ตัวอย่างเช่นผู้ก่อตั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกแห่งในประตูเซียน แม้พวกเขาจะเป็นถึงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแต่ก็ไม่ได้ออกไปจากโลกมนุษย์เลือกที่จะพํานักอยู่ในประตูเซียน
“นายท่าน เป็นไปได้ไหมว่าช่องทางมิตินั้นได้เชื่อมต่อกับโลกใบเล็กที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ?”ท่าทีของเทพธิดาไท่อนเปลี่ยนแปลงไปราวกับว่านางกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก
“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น”
ซูฉันพยักหน้าเล็กน้อย
ตามข้อมูลที่ซูฉินได้รับมาจากดวงตาแห่งสัจจะ โลกใบเล็กที่เชื่อมกับความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวอยู่เบื้องหน้านี้คืออาณาจักรเก่าดาบ โลกใบเล็กที่ถูกเปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ชื่อว่า’จิ๋วหลี
“โลกใบเล็กของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ…” เทพธิดาไท่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดมองหน้ากันหัวใจของพวกเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้นในทันที
นี่คือตัวตนไร้เทียมทานที่อยู่ยงคงกระพันมากว่าสองพันปี โลกใบเล็กที่ถูกทิ้งไว้โดยตัวตนเช่นนี้แม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดคนอื่นๆ ก็ต้องรู้สึกยั่วยวนใจนับประสาอะไรกับพวกตนเล่า?
“อย่าได้คิดให้มันมากเกินไป”
“เวลาก็ผ่านเลยมานานแล้ว แม้ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจะทิ้งสมบัติเอาไว้จริงๆ แต่พวกมันก็คงผุพังเน่าเสียไปหมดแล้ว”ซูฉินเหลือบมองเทพธิดาไก่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวคําออกมา
แม้จะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่หลังจากผ่านเวลาไปหลายหมื่นปี เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานเช่นนี้ย่อมผพังสลายไปไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติอื่นๆ เลยไม่ใช่หรือ?
และยุคสมัยของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็อยู่ห่างจากยุคปัจจุบันมากกว่าห้าหมื่นปีในช่วงเวลาที่ยาวนานเช่นนี้จะมีสิ่งใดบ้างที่ยังคงอยู่ไม่ผุพังเน่าเสีย
และแน่นอน
ซูฉินไม่ได้สนใจว่าสมบัติที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้จะสลายหายไปหรือไม่……ตราบใดที่โลกของอาณาจักรเก่าดาบยังคงมีอยู่ มันจะกลายเป็นสมบัติสําหรับลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินสามารถขุดคุ้ยสมบัติจํานวนมากต่อไปได้
“จริงด้วย”
เทพธิดาไก่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดสงบลงทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ต่อจากนั้น
ซูฉิน เทพธิดาไท่อน และนักพรตหมื่นกําเนิดก็กลับเข้าไปในวัง
กว่าช่องทางมิตินี้จะก่อตัวขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือนเป็นไปไม่ได้ที่ซูฉันจะคอยคุ้มกันพื้นที่นี้ในช่วงเวลานี้ได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะจากไป ซูฉินได้ตั้งค่ายกลฟ้าดินไว้มากมายใกล้กับช่องทางมิติและด้วยความสําเร็จด้านค่ายกลและขอบเขตพลังในปัจจุบันของซูฉินแม้ค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากนี้จะก่อตั้งเอาไว้อย่างลวกๆแต่เซียนเทพปฐพี่ธรรมดาๆก็ไม่สามารถทําลายมันได้และเมื่อค่ายกลถูกสัมผัสมันจะแจ้งเตือนให้ซูฉันทราบในทันที
หลังจากที่ซูฉินกลับมาวังหลวง เขาก็ไม่ได้ปิดด่านฝึกตนต่อไป แต่เดินทอดน่องอยู่ภายในวัง
“เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน…” ซูฉันมองไปรอบๆ สายตาของเขามองผ่านทหารยามขั้นที่บ่าวใช้นางกํานัลจํานวนมากและไปหยุดอยู่ที่กลุ่มเด็กอายุราวๆสิบขวบปี
“พี่ใหญ่และพี่รองนี่ช่างมีความสามารถในการสร้างทายาทจริงๆ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้พวกเขาให้กําเนิดทายาทขึ้นมาเกือบยี่สิบคน”ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อยอดครุ่นคิดในใจไม่ได้
บนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ ยิ่งฐานการบ่มเพาะสูงเท่าไหร่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ยิ่งยากต่อการให้กําเนิดทายาทมากเท่านั้นนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทําไมผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจึงโดดเดี่ยวนัก
ดังนั้นเพื่อสืบทอดเชื้อสายของตระกูลซู ซูชื่อหมิน บิดาของซูฉินจึงบังคับให้สองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่หยุดบ่มเพาะ ไปเรียนรู้วิธีการที่จะทําให้ตระกูลซูเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปโดยเฉพาะ
ยิ่งกว่านั้น เป็นเพราะซูฉิน เด็กตระกูลซูเหล่านี้ที่อยู่ภายในวัง ก็ได้รับการปฏิบัติไม่ต่างไปจากเชื้อพระวงศ์และสูงส่งกว่าลูกหลานตระกูลหลีด้วยซ้ําในแง่ของสถานะ
อย่างไรเสีย ลูกหลานตระกูลซูเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของซูฉิน แต่ก็มีสายเลือดเกี่ยวพันกับซูฉินใครเล่าจะกล้ายั่วยุพวกเขาเมื่ออยู่ภายในวังหลวง?
ซูฉันเดินวนไปรอบๆ วังหลวง และในที่สุดก็กลับมายังตําหนักชุนฝั่งขวาภายในพระราชวังตะวันออก
“ตอนนี้คงได้แต่รอให้ช่องทางมิติก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง” ซูฉินนอนเอนหลังพิงเก้าอี้ ใช้ความคิดสั่งการหยิบผลไม้สีขาวเหมือนน้ำนมออกมาแล้วยัดเข้าปากไปในทันที
ผลไม้ชนิดนี้เป็นผลไม้จิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่ซูฉันได้รับยามเมื่อลงชื่อเข้าใช้ภายในวิหารการสงคราม มันมีเศษเสี้ยวพลังมิติอยู่ หากกินเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงพลังของพื้นที่มิตอยู่เล็กน้อย
ถ้ามีตัวตนระดับสูงสุดขั้นสถิตเทพภายในประตูเซียนมาอยู่ที่นี่ พวกเขาต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นผลไม้สีขาวราวน้ำนมผลนี้ เพราะพลังมิติที่บรรจุอยู่ในผลไม้ผลนี้จะช่วยให้เหล่าตัวตนระสงสดขั้นสถิตเทพสัมผัสได้ถึงพลังของพื้นที่มิติได้ชัดเจนมากขึ้น
มีขุมทรัพย์ที่คล้ายกับผลไม้สีขาวน้ำนมนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักเช่นกันแต่พวกมันล้วนล้ำค่าอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นเจ้าลัทธิ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากตัวตนระดับสูงทั้งหลายก่อนจึงจะใช้มันได้แต่เมื่อมาอยู่ในมือของซูฉินกลับกัดกินมันเหมือนขนมทานเล่น
“พลังพื้นที่มิติ?”
ดวงตาของซูฉินหรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่เขากัดกินผลไม้สีขาวราวน้ำนมผลนี้น้ำจากผลไม้ก็ พวยพุ่งอยู่ภายในปาก ทําให้จิตใจของซูฉินล่องลอยเหมือนอยู่ภายในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ รับรู้ได้ถึงพลังของพื้นที่มิติได้อย่างถ้วนทั่ว
“น่าเสียดายนัก”
“ตอนนี้ฐานการบ่มเพาะของข้ายังไม่เพียงพอ แม้ว่าจะรู้สึกถึงพลังของมิติ แต่ก็ไม่สามารถรวมมันเข้าไว้กับตนเองได้
ซูฉันส่ายศีรษะเล็กน้อย และเริ่มนึกถึงขอบเขตความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตนเอง
“ไพ่ในมือที่ข้ามีในตอนนี้คือฝ่ามือยูไล คัมภีร์มารเก่าวิถี ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ม้วนบันทึก ภาพเทพสงคราม หุบเหวอับแสง…….”
“ในหมู่ของเหล่านี้ ฝ่ามือยไลฝึกฝนได้ถึงแค่รูปแบบที่สอง ส่วนคัมภีร์มารเก่าวิถีไม่ใช่เคล็ดวิชากระบวนท่าสําหรับโจมตี มันเป็นเพียงเคล็ดที่ใช้อธิบายเส้นทางต่างๆของโลกนี้อย่างง่ายๆ……นอกจากนี้ยังมีภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ข้าฝึกฝนได้เพียงแผ่นแรกเท่านั้นคือภาพดวงตะวันขนาดมหึมายังอีกยาวนานนักกว่าจะฝึกฝนภาพทั้งสิบสองได้สําเร็จเช่นเดียวกันกับม้วนบัน ทึกภาพเทพสงคราม…”
ความคิดในหัวของซูฉินเปลี่ยนผัน วางแผนทางเดินต่อไปในอนาคต
เพราะซูฉันนั้นฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แม้จะไม่ได้สําเร็จจนถึงชั้นยอดแต่ร่างกายของซูฉินก็ใกล้ชิดกับธรรมชาติแห่งไฟไปแล้ว เป็นที่รักของพลังฟ้าดินธาตุไฟถ้าซูฉินก้าวเดินไปในทิศทางวิถีแห่งเปลวเพลิงก็จะไปได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา
ในอนาคตหากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปจนถึงจุดสูงสุดและแปลงกายเป็นอีกาทองค่าสามขาซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงเกรงว่าจะสามารถเผาไหม้ ความว่างเปล่าด้วยเปลวเพลิงได้อย่างง่ายดายและกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด
แต่ซูฉันลังเลเล็กน้อย วิถีแห่งเปลวเพลิง วิถีแห่งสายฟ้าวิถีแห่งดาบและวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดสิ่งที่ลึกลับและคาดเดาไม่ได้ที่สุดก็คงเป็นวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดซูฉันเคยลงชื่อเข้าใช้ภายในเกาะสามพันมายาและได้รับหุบเหวอับแสงมาทั้งยังมีชายชุดขาวผมขาวที่เขาได้เห็นคนผู้นั้นมีไอพลังที่กว้างใหญ่ราวกับฟ้าดินแม้จะยังด้อยกว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเล็กน้อยก็ตาม
ตามการคาดเดาของซูฉิน ชายชุดขาวผมขาวผู้นั้นคงเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ก้าวเดินในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิด ทั้งเกาะสามพันมายาเอาไว้ทดสอบคนรุ่นหลังที่มีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นศิษย์สายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด
หากมีทางเลือก ซูฉินก็ยังอยากที่จะฝึกฝนทั้งวิถีแห่งเปลวเพลิงและวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดใช้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเพื่อรับร่างศักดิ์สิทธิ์ และบ่มเพาะจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อให้มีจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานด้วยวิธีนี้ซูฉันจึงจะไม่มีจุดอ่อนอย่างแท้จริงทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณแรกกําเนิดล้วนมีพลังเทียบเคียงกัน
แม้ว่าอีกาทองคําสามขาจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านเปลวเพลิงแต่ก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแค่เหล่าสัตว์อสูรที่มีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่น้อยแล้วไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างอีกาทองคําสามขาเลยมิใช่หรือ?
“เอาล่ะ”
“ยังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องนี้”
“คงไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจในยามที่เข้าสู่ขั้นสถิตเทพเรียบร้อยแล้ว”
ขณะที่ซฉันกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นจิตใจของเขาก็กระตุก หันมองออกไปด้านหน้าของน้ำพุในบริเวณตําหนักชุนฝั่งขวา
เห็นว่าซูชื่อหมิน พี่ใหญ่ซูเฉิงฮ่าวและพี่รองซูเฉิงยู่ พากันเดินมาที่ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวาแล้ว
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง” ซูฉินก้าวออกมา มองซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเอ๋อ” ซูชื่อหมินมองมาด้วยความยินดี รีบเดินเข้าไปหาซูฉินพร้อมกับกล่าวทักทาย
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่พี่รอง พวกท่านมาหาข้าถึงที่นี่เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”ซูฉันมองเห็นท่าทางลังเลของซูชื่อหมินได้อย่างรวดเร็วถามออกด้วยรอยยิ้ม
โดยทั่วไปแล้วซูชื่อหมินจะไม่ค่อยมาร้องขออะไรกับซูฉินแต่ตอนนี้เขากลับมาถึงหน้าประตูด้วยตนเองดังนั้นซูฉินจึงต้องเอ่ยถามขึ้นมาเป็นธรรมดา
“ฉันเอ่อ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”ซูชื่อหมินจ้องมองไปที่ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่จากนั้นจึงมองกลับมาที่ซูฉิน“เป็นพี่ใหญ่และพี่รองของเจ้าที่ต้องการมาร้องขอแต่พวกเขาอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้ในที่สุดพวกเขาก็มาพบพ่อนี่แหละ……”
MANGA DISCUSSION