เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 312 ประตูเซียนและ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด
Sign in Buddha’s palm 312 ประตูเซียนและ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด
“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง?”
นักพรตเฒ่าแข็งที่อ ภายในใจเต็มไปด้วยความ ขมขื่น
เขาไม่ได้คาดหวังว่าทักษะลับซ่อนกลิ่นอาย ของสํานักชะตาฟ้าที่สืบทอดมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีจะไม่สามารถปิดบังซูฉินได้
นี่เป็นทักษะปกปิดกลิ่นอายที่กล่าวอ้างว่าแม้ แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่มีทางจะจับสัมผัสได้
แต่เมื่อมันมาอยู่ต่อหน้าซูฉิน เขาไม่เพียงแต่ ปิดบังอีกฝ่ายไม่ได้ แต่อีกฝ่ายยังเดินมาหาเขาด้วยตนเองอีกด้วย
ประกายความคิดในหัวนักพรตเฒ่าลุกวาบ ในที่ สุดก็ลุกขึ้นโค้งคํานับซูฉินอย่างนอบน้อม “บุรุษชะตาฟ้าแห่งสํานักชะตาฟ้า คารวะมนุษย์สวรรค์”
“เขาคือมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง?” นัก พรตหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ขนลุกซู่ แม้ว่าเขาจะเห็นซูฉินบนกําแพงวังจากระยะไกล แต่มันก็เป็นเพียง การแอบมอง และตอนนี้ซูฉินมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ความแตกต่างของทั้งสองสิ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตัวอย่างเช่น แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายใดๆ เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ นักพรตหนุ่มก็แทบจะ หายใจไม่ออกแล้ว แก่นแท้แห่งพลังและจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาหยุดนิ่งราวกับเขาไม่ได้ เผชิญหน้าอยู่กับมนุษย์ แต่เป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ําเหยื่อ
“สํานักชะตาฟ้า?”
ซูฉินนั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ของโรงเตี้ยม ‘ไหลฟู’ หรี่ตาลงเล็กน้อย
ในโลกยุทธภพต่างแดน สํานักชะตาฟ้านั้นพิเศษมาก พวกเขาไม่ได้อยู่ในทําเนียบนิกายใหญ่และมีศิษย์สาวกไม่มาก แต่พวกเขาแสวงหาความลับด้วยการคํานวณใช้พลังของตนเอง คํานวณชะตาชีวิตของผู้คน
ด้วยเหตุนี้ศิษย์สาวกของสํานักชะตาฟ้าจึง หมกมุ่นอยู่แต่การคิดคํานวณ ไม่มียุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ฆ่าฟัน ไม่ข้องแวะกับสิ่งอื่น
ช่วงสิบปีที่ผ่านมา โลกยุทธภพต่างแดนต่างก็ ได้ยินข่าวเรื่องที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ได้กําเนิดขึ้น และหร่วนชิงเองก็มาที่เมืองฉางอันเพราะ สำนักชะตาฟ้าได้คํานวณเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดิน แห่งพลังยุทธฯ เอาไว้
“ก็ยังน่าสนใจเหมือนกัน”
ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย และใช้มือขวาแตะลงบนโต๊ะ ทันใดนั้น ผู้คนภายในโรงเตี้ยมที่แข็งค้างไป ก็ฟื้นตัวกลับมาในไม่เวลาไม่นานราวกับไม่รู้ตัว สักนิดว่าพวกเขากําลังพูดคุยกันอยู่
“นี่คือ?”
เมื่อบุรุษชะตาฟ้าเห็นฉากนี้ ร่างของเขาก็สะดุ้ง ตกใจ หากเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ พวกเขาอาจจะไม่สังเกตเห็นอะไรเลย แต่บุรุษชะตาฟ้าตระ หนักดีว่าเมื่อครู่ซูฉินนั้นใช้พลังของจิตวิญญาณ แรกกําเนิดเพื่อบังคับจิตใจของทุกคนในโรงเตี้ยมให้หยุดนิ่ง
ทําให้เวลาเหมือนจะหยุดเดิน
ไม่ใช่ว่าเวลาหยุดเดินจริงๆ แต่จิตใจของทุก คนในที่แห่งนี้หยุดนิ่ง ทั้งชีพจรและการเต้นของหัวใจยังคงเคลื่อนไหวไปตามปกติ
แต่กระนั้น ความสามารถในการหยุดจิตใจคนหลายร้อยคนอย่างเงียบๆ ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินนั้นก็น่าทิ้งไม่แพ้กัน
นี่ไม่ใช่การสังหารคนหลายร้อยคนด้วยพลังจิต วิญญาณแรกกําเนิด แต่เป็นการหยุดจิตใจของคนหลายร้อย ความยากลําบากของมันมากกว่า อย่างแรกมหาศาล
“พูดมาสิ”
“ที่สํานักชะตาฟ้าของเจ้ามาที่นี่ ต้องการจะทําอะไร?”
ซูฉินกล่าวตัดเข้าประเด็น
หากบุรุษชะตาฟ้ามาที่เมืองฉางอันอย่างตรงไป ตรงมา ซูฉินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจแต่บุรุษ ชะตาฟ้าระงับไอพลังของตนเองและสอดแนมซูฉินอย่างลับๆ
เป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นความสนใจของซูฉิน
“ข้าแค่ต้องการจะรู้ว่าท่านมนุษย์สวรรค์นั้นมาจากที่แห่งนั้นหรือไม่…” บุรุษชะตาฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาในทันที “ถ้ามันทําให้ท่าน มนุษย์สวรรค์ขุ่นเคืองสํานักชะตาฟ้าของข้ายินดี จะมอบสมบัติให้ และหวังว่ามันจะชดใช้ความผิดของพวกเราได้เพียงพอ…”
น้ําเสียงของบุรุษชะตาฟ้านั้นจริงใจอย่างยิ่ง
อันที่จริงบุรุษชะตาฟ้าไม่ได้มีทางเลือก ซูฉิน สามารถสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนได้ นับประสาอะไรกับสํานักชะตา ฟ้า? ถ้าบุรุษชะตาฟ้ากล้ายั่วยุซูฉิน เกรงว่าสํานักชะตาฟ้าทั้งหมดคงจะมีอันเป็นไป กลายเป็นฝุ่นผงธุลีกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนเช่นพรรคหมื่นดาบ
“สถานที่แห่งนั้น?”
“สถานที่ไหน?”
ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคําถามนี้ บุรุษชะตาฟ้าก็ถามออกอย่างระมัดระวัง “มนุษย์สวรรค์รู้จักประตูเซียน หรือไม่?”
“ประตูเซียน?”
ดวงตาของซูฉินสั่นไหวเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งที่สองที่ซูฉินได้ยินเกี่ยวกับประตู เซียน ครั้งแรกคือตอนที่ชายชราเฟียยวแจ้งเรื่องของประตูเซียนยามที่พรรคหมื่นดาบถูกทําลาย
ตามคําบอกเล่าของชายชราเฟยยฯ ประตู เซียนนั้นมีความลับในการทะลวงขั้นออกจากขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อยู่ เป็นเวลาหลายพันปีใน
วัยชรา จะค้นหาประตูเชียนไปทั่วโลก พยายามจะเปิดเผยความลับของประตูเซียน
ตามการคาดเดาของซูฉิน ประตูเซียนควรจะ เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดส่วนเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับประตูเซียนอย่างไรนั้น ไม่ค่อยชัดเจนนัก แม้แต่ชายชราเฟยยวก็รู้เรื่องประตูเซียนเพียงเล็กน้อย
“มนุษย์สวรรค์รู้จักประตูเซียนอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์สวรรค์ได้ออกมาจากประตูเซียนจริงๆ?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูฉิน ดวงตาของบุรุษชะ ตาฟ้าก็สว่างขึ้นในทันใด และบรรยากาศรอบตัวก็แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น
“ทําไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?”
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง แต่การแสดงออกของ เขาค่อนข้างผันผวน มองไปที่บุรุษชะตาฟ้าพร้อมกับถามเบาๆ
“มนุษย์สวรรค์มีพลังครอบงําโลกหล้า กดขี่ ยุทธภพต่างแดนได้อยู่หมัด ก่อนหน้านี้กลับไม่มีร่องรอยใดๆ ของท่านรู้หรือไม่การฝึกวิทยายุทธนั้นต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่มนุษย์สวรรค์ ได้ย่นระยะเวลาทั้งหมดไปสิ้น นอกจากประตูเซียนในตํานานแล้ว ข้ายังนึกเหตุผลอื่นไม่ออก เลยจริงๆ…”
บุรุษชะตาฟ้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
แน่นอนว่าบุรุษชะตาฟ้าไม่ได้กล่าวถึงประเด็นที่ สําคัญที่สุด ตั้งแต่ซูฉินโผล่ขึ้นมา ก็ได้ทําลายรากฐานของนิกายใหญ่เกือบทั้งหมด ซูฉินจะต้อง ไม่ได้มาจากนิกายใหญ่อย่างแน่นอน
และสําหรับจอมยุทธในนิกายใหญ่ หากต้องการจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันจะต้องใช้ ทรัพยากรมากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ต้องแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรจากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ สํานักชะตาฟ้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับซูฉินมาก่อน
และด้วยการคาดเดาต่างๆ นานา มีเพียงเรื่องที่ซูฉินมาจากประตูเซียนเท่านั้นถึงจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้
“ข้าไม่ได้มาจากประตูเซียน”
ซูฉินสายศีรษะ พร้อมกับกล่าวออกมา ด้วย ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันที่เทียบเคียงได้ กับเซียนเทพปฐพี ไม่จําเป็นจะต้องยืมชื่อของประตูเซียนมาใช้
“ท่านมนุษย์สวรรค์ไม่ใช่คนจากประตูเซียน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บุรุษชะตาฟ้าก็มีสีหน้าผิดหวัง
บุรุษชะตาฟ้าไม่เคยสงสัยในสิ่งที่ซูฉินกล่าว ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน มันไม่จําเป็นต้องโกหก
“บอกข้าเกี่ยวกับประตูเซียน”
ซูฉินมองไปที่บุรุษชะตาฟ้าพร้อมกับกล่าวถาม
“ขอรับ”
บุรุษชะตาฟ้ารวบรวมคําพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ลึกล้ํา “ประตูเซียนมีมาตั้งแต่ ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู เป็นทางหนีทีไล่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งหลายได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลังใช้เพื่อรับมือกับความเสื่อมโทรมของกระแสปราณฉีและเตรียมพร้อมสําหรับการสูญหายของ ทักษะวิชาต่างๆ”
“ทางหนีทีไล่ของเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด?”
ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด มันสอดคล้องกับการ คาดเดาของซูฉินก่อนหน้านี้ ในตอนแรกซูฉินสงสัยว่าประตูเซียนนั้นจะคล้ายกับวิหารการสงครามและเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด
“เหนือขอบเขตเซียนเทพปฐพี คือ ผู้ที่ทรงพลัง ถึงขีดสุด แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่ใช่ชื่อของขอบเขต มันเป็นเพียงฉายาของขอบเขตนี้ เหมือนอย่างที่ในทางสายพุทธเรียกอรหันต์ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ และคนทั่วไปเรียกเซียนเทพปฐพีว่ามนุษย์สวรรค์”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ บุรุษชะตาฟ้าก็ดูเคร่งขรึม แล้วพูดออกมาว่า “ขอบเขตที่อยู่หลังจากเซียนเทพปฐพี่เรียกว่าทลายนภากาศ”
“ทลายนภากาศ?”
ท่าทีของซูฉินยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่คลื่นลมก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจเขา
ที่เรียกว่า ทลายนภากาศ ก็หมายถึงการทําลาย มิติความว่างเปล่า คนที่มีอํานาจในระดับนี้ เพียงแค่การเหวี่ยงมือแกว่งเท้าก็สามารถทําให้ความ ว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้แล้ว ประหนึ่งเทพผู้สร้างโลก
กลุ่มคนที่ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศ เริ่มเข้าใจถึงพลังของมิติแล้ว จึงอาศัยพลังมิตินี้ในการทําลายความว่างเปล่าได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่มีเพียงผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด เท่านั้นจึงจะสามารถปรับแต่งสร้างสมบัติพื้นที่มิติ ได้หากปราศจากความเข้าใจที่ดีในด้านพลังมิติ มันจะขัดเกลาสมบัติหรืออาวุธชิ้นเล็กๆ ให้กลายเป็นสมบัติพื้นที่มิติได้อย่างไร?
“ปราณฉีฟ้าดินก็เปรียบดุจกระแสน้ํา มีทั้งขึ้น และลง ผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเข้าใจถึงพลังแห่งมิติจึงตระหนักในเรื่องนี้มาตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นใน ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูกลุ่มคน ที่ทรงพลังถึงขีดสุดที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็รวมพลังกันบุกเข้าไปภายในความว่างเปล่าและสร้างโลก ใบเล็กขึ้นมา ให้เชื่อมออกไปภายนอก เมื่อกระแสปราณฉีเริ่มลดลง กฎแห่งธรรมชาติทั้งหมด ค่อยๆเหี่ยวเฉา พวกเขาก็จะส่งทายาทที่เกี่ยวข้อ งกับตนเองเข้าไป…”
“โลกใบเล็กที่สร้างขึ้นโดยผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด เป็นอิสระออกจากโลกมนุษย์ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสปราณฉีภายในโลกมนุษย์ และ สามารถหลบเลี่ยงยุคสมัยที่กระแสปราณฉีซบเซาได้…”
บุรุษชะตาฟ้าพูดไปด้วยน้ําเสียงที่แสดงออกถึง ความกริ่งเกรง
เมื่อคิดถึงการสร้างโลกใบเล็กอีกใบของผู้ทรง พลังถึงขีดสุด แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นตัวตนที่เล็กจ้อยเปรียบประดุจฝุ่นธุลีในบางแง่มุม การที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถทําลายความว่างเปล่าได้ ก็นับเป็นเทพเซียนที่แท้จริงได้แล้ว
“เป็นมาเช่นนี้นี่เอง”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ความสงสัยในใจของ เขาไขกระจ่างแล้วในที่สุด
ซูฉินแปลกใจอยู่เสมอ ทําไมแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่บนโลกนี้เลย? อย่าลืมว่าอาณาจักรถังนั้น ก่อนที่กระแสปราณจะฟื้นคืน มันเป็นทวีปที่แสนห่างไกล อย่างไร ก็ตามมีมรดกนับหมื่นปีสืบทอดต่อมาในต่างดินแดน โดยเฉพาะสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี แต่กลับมีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ที่ทรงพลัง ถึงขีดสุดน้อยมาก
ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่นิกายใหญ่จงใจปกปิด ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่พวกเขามีความสัมพันธ์กับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดน้อยจนเกิน ไปทําให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงได้
กว่าหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนําลูกหลานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตนเข้าสู่โลกใบเล็กที่สร้างเอาไว้ เพื่อหลีกหนีจากยุคกระแสปราณฉี เสื่อมโทรม
โลกใบเล็กนั้นมีชื่อว่า ประตูเชียน ถูกสร้างขึ้น โดยผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดด้วยความพยายามอย่างหนัก แม้จะไม่สามารถรักษาความเข้มข้น ของกระแสปราณฉีเหมือนในตอนที่กระแสปราณ ฉีเฟื่องฟูไว้ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังพอจะรักษาเซียนเทพปฐพี่หรืออาจจะไปถึงระดับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเอาไว้ได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมในยุคต่อๆมา เซียนเทพ ปฐพีในดินแดนโพ้นทะเลจึงออกตามหาไปทั่วทั้งโลก ตามหาประตูเซียน เพราะมีเพียงพื้นที่ในประ ตูเซียนเท่านั้นที่มีจิตใจแห่งฟ้าดินและพลังงานฟ้าดินเพียงพอจะทําให้เซียนเทพปฐพีทะลวงขั้นต่อไปได้
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้ง หมดเข้าสู่ประตูเซียนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของกระแสพลัง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ ทิ้งเคล็ดวิชาสําคัญๆ ไว้ภายนอกแน่ เพราะด้วยสภาพแวดล้อมที่กระแสปราณฉีเงียบงัน พลังฟ้า ดินไม่อํานวยต่อการฝึกฝนของพวกนั้นก็ไร้ความ หมาย
“ประตูเซียน?”
ซูฉินพูดสองคํานี้ด้วยเสียงต่ํา ในตอนแรก ซูฉันคิดว่าประตูเซียนจะเป็นชื่อ ของนิกายหรือสถานที่สักแห่ง แต่เขาไม่คาดคิดว่าประตูเซียนนั้นจะเป็นการร่วมมือกันของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ทำลายความว่างเปล่าเพื่อสร้างโลกใบเล็กขึ้นมา
เป็นการลงมือที่ยิ่งใหญ่…
“แต่ว่า”
บุรุษชะตาฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“แม้ว่าประตูเซียนจะเป็นโลกใบเล็กที่สร้างขึ้น โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ก็มันก็เป็นเพียงโลกใบเล็กๆ เท่านั้น มีความห่างชั้นอย่างใหญ่หลวง เมื่อเทียบกับโลกมนุษย์ซึ่งมีพลังปราณฉีอย่างไร้ที่สิ้นสุด และตามที่บรรพชนสํานักชะตาฟ้าได้กล่าวเอาไว้ว่า ยามใดที่กระแสปราณฉีฟื้นคืน ประตูเซียนจะเปิดขึ้นอีกครั้ง”
“เมื่อถึงตอนนั้น ตัวตนที่อยู่ภายในประตูเซียนจะครองพิภพ”