เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 145 ปราชัย
Sign in Buddha’s palm 145 ปราชัย
เงียบ!
เงียบสนิท!
กองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองที่เหลือต่างจ้องมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ถูกสังหารด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันนั้น หัวใจของพวกเขาเต้นตุบ ตื่นตะลึงคาดไม่ถึง
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งข้ามท้องฟ้าตกลงมาบริเวณจุดที่ตั้งกระโจมของราชาหัวเมืองทั้งสิบอย่างเฉพาะเจาะจง
ดังนั้นถึงแม้ว่าทหารหลายหมื่นนายจะได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังเหลือกองทหารอีกจํานวนมากกําลังเฝ้ามองราชาของตนด้วยความรู้สึกว่างเปล่า มันไม่เหลือสิ่งใดเลย
“ไม่นะ!”
“เป็นไปไม่ได้”
นายทหารหลายคนดวงตาแดงก่ํา พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
พวกเขาร่วมก่อกบฏกับราชาหัวเมืองและคิดมานานแล้ว ว่าชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุดแม้การก่อกบฏจะล้มเหลวในสุดท้าย มันก็ต้องผ่านการต่อสู้อันแสนดุเดือดกันก่อน
แต่ตอนนี้?
มันเกิดอะไรขึ้น?
พวกเขายังไม่ได้เห็นแม้แต่กองทัพของอาณาจักรถัง แล้วราชาของพวกเขากลับถูกทวยเทพกําจัดไป?
ทหารจํานวนมากขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก หวังว่าทุกสิ่งที่เห็น เมื่อครู่จะเป็นเพราะตาฝาดไป
อย่างไรก็ตาม ช่างน่าเสียดาย
เมื่อเวลาผ่านเลยไป ความตื่นตระหนกนี้ก็แพร่กระจายออกไปในหมู่ทหาร เหล่าทหารทําได้เพียงยอมรับผลที่เกิดขึ้น
มันคือความจริง
ทั้งหมดมันคือความจริง
พวกเขาเดิมพันทุกอย่าง รวบรวมกองทัพนับล้านก่อการกบฏ หวังจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน แต่ทุกอย่างจบลง ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ํา
“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือชะตากรรมของตระกูลหลีแห่งอาณาจักรถัง พวกเราก่อกบฏเลยถูกสวรรค์ลงทัณฑ์?”
ทหารบางคนทรุดตัวลงกับพื้นร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
ในความจริงไม่ใช่แค่ทหารคนนี้ที่คิดแบบนั้น ตอนที่ผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนได้เห็นแสงอันศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมพื้นที่ที่ราชาหัวเมืองอยู่โดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้ ว่านอกจากทวยเทพแล้วจะมีใครสามารถส่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ลงมาจากท้องฟ้าได้อีก?
ในขณะที่กองทหารจํานวนมหาศาลตกอยู่ในความโกลาหล
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนับสิบคนก็เดินออกมา และเริ่มจัดการแก้ไขความวุ่นวายภายในกองทัพ
ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาหัวเมืองทั้งสิบ เมื่อยามที่ปรากฏการโจมตีจากฟากฟ้า พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้อยู่ร่วมกับราชาหัวเมือง แต่อยู่รอบนอกของกองทัพเพื่อควบคุมสถานการณ์
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดจึงหนีรอดความตายมาได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสองสามชั่วโมง
ในที่สุดทั้งกองทัพก็เริ่มสงบลง
เหตุผลที่เหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบกล้าก่อกบฏนอกเหนือจากได้ผู้สนับสนุนรายใหม่แล้ว พวกเขาก็อาศัยกองทัพนับล้านนี่แหละเป็นพื้นฐานความมั่นใจ
กองกําลังนับล้านเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีจากเหล่า ราชาหัวเมืองและภักดีต่อราชาหัวเมืองทั้งสิบคนอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาแทบจะไม่สามารถสงบใจลงได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
แต่ถ้าหากเป็นกองทัพอื่นเมื่อเผชิญกับความวุ่นวายเช่นนี้ อาจจะนับว่าพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
“ตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไรดี?”
ภายในกระโจมทหารที่ตั้งขึ้นชั่วคราวโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมากกว่าสิบคน ทั้งหมดกําลังนั่งจ้องหน้ากัน ท่าทางของพวกเขาดูสง่าผ่าเผย
“ทําเช่นไร?”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ดูเหมือนอยู่ในวัยกลางคนก็ตั้งสติได้ แล้วมองไปยังทิศทางที่แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งมา
“เมืองฉางอัน…”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนหนึ่งรู้สึกหัวใจสั่นไหวในทรวง
เขาเป็นแม่ทัพของราชาชวอฟาง และเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคม
ทหารคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าแสงอันนั้นเป็นการลงโทษจากสรวงสวรรค์ แต่เขาตระหนักดีว่าทิศทางของแสงศักดิ์สิทธิ์มาจากเมืองฉางอัน
นั่นหมายความว่าเช่นไร?
หมายความว่าแสงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นมีแนวโน้มว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
“เรา…ควรจะต่อต้านดีไหม…”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนหนึ่งที่เงียบอยู่นาน อดไม่ได้ที่ถามขึ้น
คําที่กล่าวออกมา
ความขมขึ้นเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ
ต่อต้าน?
พวกเขาจะทําเช่นนั้นได้อย่างไร?
ขนาดเหล่าองค์ชายยังสิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาที่นั่งอยู่ตอนนี้จะทําให้กองทัพสงบลงชั่วคราวได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะมีปัญหาตามมาทีหลังเป็นแน่
ในตอนนี้ถึงกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองจะมีอยู่นับล้าน แต่จริงๆแล้วเปราะบางอย่างมาก หากมีอะไรผิดปกติก็มีโอกาสที่จะแตกฉานซ่านเซ็นได้ง่าย
“กลับกันเถอะ”
“กลับไปที่เขตแดนของพวกเรา และรอให้ราชาหัวเมืองคนใหม่ขึ้นครองตําแหน่ง ก่อนที่จะปรึกษาหารือกันใหม่อีกครั้ง”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่เลว”
“ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายยิ่ง ภายในกองทัพไม่มีผู้นําอีกแล้ว ถ้าพวกเจ้าอยู่ต่อ เป็นไปได้ว่าเราอาจจะโดนอาณาจักรถังกวาดล้างได้”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
แม่ทัพของราชาชวอฟางผู้นี้เท่านั้นที่รอบคอบที่สุด
ควรรีบกลับไปในตอนนี้ จากนั้นก็รอให้ราชาหัวเมืองคนใหม่ขึ้นครองตําแหน่งแล้วค่อยจัดตั้งกองทัพขึ้นมาใหม่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เพียงแต่ว่าอาณาจักรถังจะให้โอกาสพวกเขาหรือ?
ทั้งยังมีตัวตนที่ปล่อยแสงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นออกมาได้ สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?
ในเวลาเดียวกัน
ตําหนักไท่จี้
จักรพรรดิหลีเชิงแห่งราชวงศ์ถังและเหล่าขุนนางกําลังหารือกันเกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันเมื่อไม่นานมานี้
พลังฉีฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้หลั่งไหลเข้ามาในเมืองฉางอันอย่างฉับพลัน และตอนนี้แม้ว่าจะค่อยๆ กระจายกลับไปแล้ว แต่มันก็มีผลกระทบตามมาอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ยังมีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของวังหลวง ทําให้จักรพรรดิหลี่เชิงกังวลมากขึ้นไปอีก
ทันใดนั้น
ตอนนั้นเอง
หน่วยสอดแนมจากแนวหน้าก็รีบเข้ามาภายในท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทมีรายงานด่วนจากแนวหน้า!”
“รายงานด่วน?”
จักรพรรดิถังตกตะลึง
มันไม่ใช่ความลับอะไรเรื่องที่ราชาหัวเมืองก่อกบฏ นําทัพมาเป็นล้านนาย แล้วตอนนี้ยังจะมีรายงานด่วนอะไรอีก?
ข้าราชบริพารที่เหลือต่างก็คาดเดาและเริ่มรู้สึกไม่สบาย
“พูดมา”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองขุนนางทั้งฝ่ายทหารและ ฝ่ายพลเรือนจากนั้นจึงค่อยกล่าวคําออกมา
“กองทัพของเหล่าองค์ชาย กองทัพของเหล่าองค์ชายกําลังถอยทัพกลับไป…” เห็นได้ชัดว่าหน่วยสอดแนมเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่เขาก็ยังรายงานออกมาอย่างรวดเร็ว
กองทัพของเหล่าองค์ชาย…ถอยทัพไปแล้ว?”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ
เขาเพิ่งจะคิดว่ากองทัพของเหล่าองค์ชายอาจจะล้อมกรอบเมืองอยู่เมื่อครู่นี่เอง แต่มิคาดคิด อีกฝ่ายกลับถอยทัพกลับไป?
รู้หรือไม่ว่าการก่อความวุ่นวายจากเหล่าราชาหัวเมือง ทั้งสิบนั่นเทียบเท่ากับการฉีกหน้าของอาณาจักรถังออกอย่างสมบูรณ์ คนอื่นอาจจะคิดล่าถอยได้ แต่ราชาหัวเมือง ทั้งสิบเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่สามารถล่าถอยได้อีกต่อไป
เพราะแม้ว่าพวกเขาจะถอยทัพกลับ อาณาจักรถังก็ไม่สามารถปล่อยให้ราชาหัวเมืองที่ก่อกบฏมีชีวิตรอดต่อไปได้แน่ๆ
ในกรณีนี้คงจะเป็นการดีกว่าที่จะรวมกําลังกันเข้าโจมตีอาณาจักรถัง
ถ้าจักรพรรดิถังหลี่เชิงยังสามารถคิดเรื่องนี้ได้ เหล่าองค์ชายก็ต้องคิดได้เช่นกัน
“เพราะเหตุใดกัน?”
ความคิดของจักรพรรดิถังวิ่งวุ่นในหัว และกล่าวถามออกมาในทันที
“ตามข้อมูลที่ได้รับมา เหมือนว่าจะมีแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กวาดล้างราชาหัวเมืองทั้งสิบไปจนสิ้นพะย่ะค่ะ”
“กองทัพของเหล่าองค์ชายจึงเลือกล่าถอย เพราะไม่มีผู้นํากองทัพนับล้าน…”
หน่วยสอดแนมกัดฟันกล่าวถ้อยคําทั้งหมดออกมา
อันที่จริงเมื่อได้ฟังข้อมูลเหล่านี้ ตัวเขาเองก็แทบจะไม่เชื่อ เช่นกัน เมื่อยามที่รายงานออกไปจึงเริ่มต้นอธิบายด้วยคําว่า ‘เหมือนว่า’…
นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมในฐานะที่เป็นคนในหน่วยสอดแนมข้อมูลทุกอย่างต้องถูกถ่ายทอดออกไปอย่างถูกต้อง จึงใช้คําที่มีความหมายคลุมเครืออย่าง ‘เหมือนว่า’
“แสงศักดิ์สิทธิ์?”
เหมือนมีเสียงดังก้องอยู่ภายในใจของจักรพรรดิถังหลีเชิง
ประกายความคิดแวบขึ้นมาในหัว จักรพรรดิถังนึกไปถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของพระราชวังเมื่อไม่นานมานี้
เวลาของทั้งสองเหตุการณ์ใกล้เคียงกันมาก ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ในวังหลวง เหล่าราชาหัวเมืองก็ตกตายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
“มันคือแสงศักดิ์สิทธิ์อันนั้นที่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้ามุ่งหมายจะสังหารราชาหัวเมืองจนสิ้นชีพ?”
“ระยะทางห่างไกลกว่าหลายพันลี ท่ามกลางกองทหารนับล้าน สามารถสังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบได้?”
จักรพรรดิหลี่เชิงกลืนน้ําลาย รู้สึกเหมือนตนกําลังตกอยู่ในความฝัน
หากเรื่องที่เขาคิดเป็นความจริง เกรงว่าตัวตนที่มีพลังเช่นนั้นควรจะเทียบเท่าทวยเทพเสียแล้ว
“มีเทพยุทธซ่อนตัวอยู่ในวังหลวงเช่นนั้นหรือ?”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงแอบตกตะลึงอยู่ในใจ