เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 464 ปิดตาเล่น Bach !
ตอนที่ 464 ปิดตาเล่น Bach !
นี่ไม่ใช่แค่การแสดงเพื่อสร้างความบันเทิงใจในงานเลี้ยงรับรองเท่านั้น!
ตอนเจิ้งหง หม่าอวี่และหลิ่วอวี่เจ๋อได้รับบัตรเชิญก็ได้ฟังจากจางเชี่ยนจือว่าพวกเขาจะเป็นตัวเลือกสามีคนใหม่ของซูมู่ชิง
การแสดงในครั้งนี้ที่จริงแล้วเป็นการแข่งขันกันเป็นเขยตระกูลซู!
เจิ้งหงพยายามแสดงความสามารถในทุกด้านของตัวเองไม่หยุด เสน่ห์เพศชายของเขาทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอให้กับซูมู่ชิงภรรยาของเย่เฉินดู!
เย่เฉินในฐานะที่เป็นสามีของซูมู่ชิง จะทนดูการแสดงของเพศชายที่ตั้งใจนำเสนอเพื่อจะเอาชนะใจภรรยาของตนเองได้อย่างไร!
เจิ้งหงหันมองกลุ่มคนที่เยินยอเขาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะครับทุกท่าน ที่จริงนี่ไม่ใช่ท่าดังก์บาสที่ผมถนัดที่สุด ท่าที่ผมเก่งที่สุดก็คือกระโดดดังก์!”
“กระโดดดังก์เหรอ? สวรรค์ ยากขนาดนั้นก็ทำได้ด้วยเหรอ?”
บรรดาแขกเหรื่อฮือฮา คนไม่น้อยต่างก็มีท่าทีอยากเห็น
ทันใดนั้นเองเจิ้งหงก็คิดอะไรบางอย่างออก แล้วเดินมาหาเย่เฉินพลางถาม “เย่เฉิน พอจะช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม? ไปยืนอยู่ใต้แป้นบาสไม่ต้องยุกยิก ฉันจะกระโดดลอยขึ้นไปเหนือหัวนาย เพื่อจะได้ดังก์บาส”
เย่เฉินที่เดิมไม่ได้ชอบเจิ้งหงที่ชอบโอ้อวดคน มาวางท่าเก่งเมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยาของตนเอง ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าหมอนี่จะเสนอเงื่อนไขที่หยามกันขนาดนี้ออกมา!
จะลอยขึ้นไปเหนือหัวเย่เฉินเพื่อทำการดังก์บาส!
เย่เฉินตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ “เจิ้งหง เก่งมากก็พูดมาอีกรอบสิ!”
เจิ้งหงเห็นเย่เฉินโกรธจัด กลับไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อย “เย่เฉิน สบายใจเถอะนะ ฉันกระโดดดังก์บาสเก่งมาก ฉันจะต้องดังก์บาสได้สำเร็จแน่ ไม่มีทางไปขึ้นขี่คอนายหรอก ฮ่าๆ”
เย่เฉินผุดลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ “คุณหาเรื่องผมเหรอ? คุณมาจากอวิ๋นโจวแแล้วไม่รู้เหรอว่าผมเป็นใคร?”
ในอดีตที่ผ่านมาเย่เฉินถือได้ว่าเป็นราชาแห่งอวิ๋นโจว!
หลังจากที่เขากลายเป็นผู้ริหารของหัวเซิ่งกรุ๊ปที่อวิ๋นโจวก็เพื่อจะล้างแค้นคนที่เคยหนทางทำมาหากินของเขา เรียกได้ว่าแทบจะทุกอาชีพเลย
หนำซ้ำเขายังทำบริษัทเจ๊งไปหลายสิบแห่ง!
จนวันนี้ตระกูล ธุรกิจต่างๆ ในอวิ๋นโจวล้วนแต่เชื่อฟังเย่เฉิน แต่ได้ยินชื่อเขาก็หวาดกลัว!
เจิ้งหงหัวเราะออกมา “คนที่มาจากอวิ๋นโจวต้องรู้เหรอว่านายเป็นใคร? เหอะๆ เข้าข้างตัวเองมากเกินไปแล้วมั้ง ก็เป็นแค่ผู้บริหารหัวเซิ่งกรุ๊ปเท่านั้นเอง แค่รับมือกับลูกนกลูกกาแค่นั้นเอง หลังจากที่ฉันกลับประเทศมาแล้วก็ได้ยินเพื่อนเล่าเรื่องนายว่านายเก่ง นายโหดขนาดไหน เป็นคนรวยที่สุดในอวิ๋นโจว แถมยังตามจียคุณฉินหงเหยียนที่เป็นผู้บริหารสาวสวยลำดับหนึ่งมาได้ เหอะๆ แต่ต้องขอโทษด้วยนะ คนที่รวยที่สุดในอวิ๋นโจวเป็นคนตระกูลเจิ้งมาตลอด ไม่ถึงนายหรอก อีกอย่างฉันเองก็สนิทกับฉินหงเหยียนเหมือนกัน ก่อนจะออกประเทศหล่อนมักจะนัดฉันไปกินกาแฟ ไปดื่มเหล้าที่บาร์เหล้าด้วยกันบ่อยๆ หล่อนยังเคยสารภาพรักกับฉันเลย บอกว่าอยากเป็นแฟนฉันแต่ผมปฏิเสธ หล่อนสวยมากก็จริง เสียดายที่อายุ 30 ปีแล้ว แถมยังเป็นกำพร้า จะคู่ควรกับฉันได้ยังไง?” เย่เฉินโวยวาย “พูดบ้าพูดบอปัญญาอ่อนอะไร! ฉินหงเหยียนตามจีบนายเหรอ?”
เจิ้งหงกล่าว “ทำไมจะไม่ได้? ครอบครัวฉันเป็นตระกูลใหญ่ในอวิ๋นโจวนะ ฉันทั้งหล่อทั้งอายุน้อย แถมยังทำได้ทุกอย่าง สาวๆ ที่มาตามจีบฉันเยอะแยะ ฉินหงเหยียนชอบฉันมันจะแปลกตรงไหน?””
“คุณเนี่ยนะหล่อ?”
ตอนนี้เย่เฉินสวมแว่นดำแต่ทำให้สามารถเห็นท่าทางของเจิ้งหงได้อย่างชัดเจน
เรือนร่างของเขาก็ถือว่าดีใช้ได้ นี่เป็นเพราะเขามักจะออกกำลังกาย
แต่ว่าหน้าตาก็ไม่ได้ถือว่าย่ำแย่อัปลักษณ์ พอจะใช้คำว่าพอดูได้มาบรรยาย
แต่คิดไม่ถึงว่าหมอนี่จะชมว่าตัวเองหล่อเหรอ?
เจิ้งหงกล่าวอย่างหน้าไม่อายว่า “ใช่สิ ฉันหล่อกว่านายตั้งเยอะ เสียดายที่นายตาบอดเลยไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของฉัน!”
เจิ้งหงไอ้คนสารเลว อาศัยที่เย่เฉินตาบอดเลยกล้าหลอกลวงเย่เฉิน ทำให้เย่เฉินคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เพื่อให้เย่เฉินรู้ตัวแล้วยอมถอยแล้วทอดทิ้งซูมู่ชิงไปเร็วๆ
เสียดายที่เย่เฉินเห็นสภาพเขาตั้งนานแล้ว
เจิ้งหงกล่าวอย่างลำพองใจ “เย่เฉิน ฉันน่ะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี มีความสามารถ ศักยภาพ พื้นเพครอบครัว ล้วนแต่ไร้ข้อด้อย และสมบูรณ์แบบ มีแค่ผู้ชายอย่างฉันถึงจะคู่ควรกับคุณหนูซู ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมามีแต่ยอดบุรุษคู่ควรกับหญิงงาม ฉันชื่นชมคุณซูมู่ชิงมานานดังนั้นถึงได้ปฏิเสธฉินหงเหยียนรวมไปถึงผู้หญิงที่โดดเด่นอย่างมาก ดังนั้นฉันเลยไม่ได้มาตามจีบคุณหนูซูตั้งแต่แรก เพราะฉันอยากจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อวันหนึ่งจะได้กลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบก่อนแล้วค่อยไปตามจีบคุณหนูซู เย่เฉินถ้าวันนี้นายไม่ได้ตาบอด ฉันก็จะได้ต่อสู้กับนายอย่างสมศักดิ์ศรี เพื่อนายจะได้รู้ตัวแล้วยอมปล่อยคุณหนูซูไป เสียดายที่นายกลายเป็นคนพิการ ฉันก็เลยจะไม่รังแกนายอีก นายเป็นฝ่ายขอหย่าเองเถอะ อย่าเป็นตัวถ่วงคุณซูเลย”
เจิ้งหงกำลังท้าทายเย่เฉินเพื่อแย่งภรรยาของเขาต่อหน้าแขกเหรื่อและคนตระกูลซู!
ทว่าพอได้ยินคำพูดเสียมารยาทของเจิ้งหง คนตระกูลซูก็ไม่พูดอะไร!
แปลว่ายอมปล่อยให้เจิ้งหงแย่งซูมู่ชิงได้!
“ดูแล้วคนตระกูลซูน่าจะเตรียมจะเปลี่ยนเขยแล้วไม่อย่างนั้นไม่มีทางปล่อยให้เจิ้งหงพูดแบบนี้กับเย่เฉิน”
“จริงด้วย มิน่าวันนี้ในงานเลี้ยงถึงได้มีรายการการแสดงเพิ่มเข้ามา ดูไปคนที่เข้าร่วมกิจกรรมน่าจะคัดตัวเป็นลูกเขยมา”
“ก็ไม่แปลกอย่างไรเสียเย่เฉินก็ตาบอดไปแล้วโดนทิ้งก็สมควร”
“เสียดายจริงๆ ได้ยินมาว่าตอนเย่เฉินแข็งแรง ทำได้ทุกอย่างเหมือนกัน ถ้าหากแข่งขันกันขึ้นมาจริงๆ อาจจะไม่แพ้เจิ้งหงหรอก!”
แววตาของทุกคนล้วนแต่จดจ้องที่เย่เฉิน
ตอนนี้เย่เฉินมีแค่สองทางเลือก ไม่เอาชนะเจิ้งหง เพื่อให้ทุกคนสังเกตได้ว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าเจิ้งหง
หรือไม่ก็ยอมปล่อยซูมู่ชิงไป
เย่เฉินกล่าว “อยากจะแข่งกับผมเหรอ? ได้นี่ นานๆ ทีจะมีคนที่ทำได้ทุกอย่างเหมือนผมแถมยังอายุเท่าๆ กัน งั้นผมจะให้โอกาสคุณแล้วกัน!”
เจิ้งหงตกใจ “นายอยากแข่งกับฉันเหรอ? แข่งอะไร? ตานายมองไม่เห็นด้วยซ้ำ!”
เย่เฉินกล่าวพลางระบายยิ้ม “ถูกต้องตอนนี้ผมตาบอด แต่จะเอาชนะคุณไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”
หลิ่วอวี่เจ๋อแปลกใจ
เย่เฉินกล่าว “เมื่อกี้นายแสดงเปียโนกับดังก์บาส งั้นผมก็จะแสดงสองอย่างนี้เหมือนกัน ที่รักครับช่วยพาผมไปที่เปียโนหน่อยครับ”
“ได้ค่ะ!”
ซูมู่ชิงเองก็ทนฟังคำพูดหลงตัวเองของเจิ้งหงคนนี้มานาน เดิมเห็นเขาดังก์บาสก็ว่าหล่อมากทีเดียว
คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดจาเกินเลยแบบนี้กับเย่เฉิน แถมยังโกหกว่าตัวเองหล่อเหลาอีก ชวนอ้วกจริงๆ
ทุกคนตื่นตระหนก
“นี่เย่เฉินจะทำอะไร? เขาจะไปเล่นเปียโนเหรอ?”
“ได้ยินมาว่าฉินหลางนักเปียโนนานาชาติยังเป็นศิษย์น้องของเขา ทักษะเปียโนของเขาอยู่เหนือเจิ้งหงไปมาก!”
“แต่ตอนนี้เขาตาบอด มองไม่เห็น นี่จะเป็นแสดงเปียโนโดยที่มองไม่เห็นเหรอ?”
ใบหน้าซูมู่ชิงระบายยิ้ม ตอนนี้มีแค่หล่อนที่รู้ว่าที่จริงแล้วดวงตาของเย่เฉินยังมองเห็น
หล่อนรู้ว่าสามีของตนเองไม่มีทางยอมขายหน้า แล้วจะต้องทำให้คนทั้งงานต้องตกตะลึง!
เจิ้งหงได้ยินว่าเย่เฉินจะนั่งเล่นเปียโนก็ตะโกนถามเสียงดัง “เย่เฉิน นายจะเล่นเพลงอะไร!”
เย่เฉินกล่าวดวยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “G Minor Bach ครับ”
สีหน้าเจิ้งหงฉายแววหวาดกลัว “ถ้านายจะเล่นดนตรีโดยที่มองไม่เห็น ฉันจะคุกเข่ายอมเรียกนายว่าอาจารย์เลย!”