เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 321 สมปรารถนา
ตอนที่ 321 สมปรารถนา
ตอนที่ 321 สมปรารถนา
“องค์ชายสาม ลูกสาวของข้าเพิ่งจะมีอายุสิบสองปี และนางก็มีรูปโฉมงาม ท่านนั้น…”
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยขัดประโยคถัดไปของเขา หากแต่ฉีเต๋อหลงก็เดินออกมาอย่างช้า ๆ และส่งยิ้มให้เขา “องค์ชายสาม มันเป็นเพราะว่าฝ่าบาทรักเจ้า! ไม่เช่นนั้นคงไม่เสียเวลาอันมีค่าไปกับกับการหารือเรื่องการแต่งงานของเจ้าหรอก เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เข้าใจอีก!”
คำพูดเหล่านี้เหมือนกำลังบอกว่าฉีเฉิงเฟิงเป็นลูกอกตัญู ฉีเฉิงที่ได้ยินก็มีความสุขมากโดยคิดว่าฉีเฉิงเฟิงน่าจะเชื่อฟังคำสั่งของเขา หากแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดขัดใจเขาต่อหน้าเหล่าขุนนาง และกล่าวออกมาว่า “ข้าให้ความสำคัญเกี่ยวเรื่องการแต่งงานของเจ้ามาก อย่ามาขัดความตั้งใจของข้าเลย”
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป และทุกคนได้โปรดใจเย็นลงเสียหน่อย ข้าไม่ได้จะมาขัดความตั้งใจของทุกท่าน” ฉีเฉิงเฟิงกระตุกยิ้ม “มันเป็นเรื่องที่ดีมากที่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าอาวุโสจำนวนมากเช่นนี้ แต่ทุกคนได้โปรดฟังสิ่งที่ข้าพูดก่อน หลังจากที่พวกท่านฟังประโยคที่ข้าพูดแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับข้าหรือไม่”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขาคิดว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังล้อเล่นอยู่ เขาเป็นถึงลูกชายของฮ่อง
เต้ และเป็นองค์ชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน! อีกทั้งยังไม่มีนางสนม! และฉีเฉิงเฟิงก็มีแนวโน้มที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์จากต่อจากฝ่าบาท! หากไม่ให้ลูกสาวของพวกเขาออกเรือนไปกับองค์ชายสาม พวกเขาจะยกลูกสาวตัวเองให้กับใคร
“เชิญองค์ชายสามพูดมาเถอะ” ขุนนางคนหนึ่งพูดออกมาพร้อมกับหัวใจที่พองโต
ริมฝีปากสีแดงของฉีเฉิงเฟิงก็เอ่ยออกมา “ฝ่าบาทเคยประทานพิธีการอภิเษกสมรสให้ข้าถึงสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งก็คือเฉียวหน่วนอวี้ และครั้งที่สองคือสวีซู แล้วบทสรุปสุดท้ายของพวกนางเป็นอย่างไร พวกท่านโปรดอย่าลืมไปเสีย?”
เฉียวหน่วนอวี้ได้แต่งงานไปเป็นนางสนมขององค์ชายรอง หลังจากที่พบนางที่บนถนนในเช้าวันนั้น นางก็ถูกตัวส่งกลับไปยังตำหนักขององค์ชายรอง และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินข่าวใด ๆ เกี่ยวกับนางมาเป็นเวลานาน ก็ไม่รู้ว่านางยังชีวิตรอดหรือตายไปแล้วกันแน่ ส่วนสวีซูเองก็ถูกโบย นำส่งไปที่วัดลั่วซุยและขังอยู่ที่นั้นเป็นเวลาสิบปี!
ทั้งคู่มีตอนจบที่ไม่ดีไปกว่ากัน หรือเพราะเป็นการจัดการของซูหวานหว่าน ยิ่งทุกคนคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งหวาดหวั่น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของพวกเขา มันก็คงจะไม่เป็นไรมาก แต่ถ้ามันส่งผลกระทบต่อตระกูลของพวกเขาทั้งหมด! ใครเขาจะยอมกัน?
ขุนนางคนหนึ่งครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ และพูดออกมาว่า “ถึงแม้ว่าลูกสาวของข้าจะเหมาะกับการแต่งงาน แต่ว่านิสัยของนางเป็นคนใจร้อน ไม่อดทน ข้าคิดว่านางไม่คู่ควรกับองค์ชายสาม นางคงจะแต่งงานไม่ได้แล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าขุนนางคนอื่น ๆ ก็กล่าวว่า “ลูกสาวข้าก็เหมือนกัน! นางดื้อรั้นเกินไป”
“…”
ก่อนหน้านี้ยังเอ่ยยกยอกปอปั้นลูกสาวตนเองอยู่เลย แต่เหตุใดตอนนี้ถึงกลับคำกล่าววาจาไร้สาระ และตำหนิลูกสาวตนเองออกมา สีหน้าของฉีเฉิงและฉีเต๋อหลงเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันว่าท่านควรจะหยุดเรื่องนี้เสียดีกว่า พระองค์ควรเรียกหมอหลวงมารักษาโรคตาของท่านจะดีกว่า จะได้ไม่มองสิ่งผิด ๆ อีก ไม่อย่างงั้นเหล่าบรรดาขุนนางอาจจะคิดว่า ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้ามาในราชวงศ์ได้” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาช้า ๆ แล้วลุกขึ้นยืนอยู่ในท่าทางที่สง่าผ่าเผย
ฉีเฉิงใบหน้าเปลี่ยนสีพลางขบฟันแน่น ก่อนจะนิ่งงันไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า”
“ฝ่าบาทอย่าหวังดีกับข้าอยู่เลย ทำไมพระองค์ถึงไม่ใส่ใจกับปัญหาผู้ลี้ภัย และปัญหาต่าง ๆ ทางเมืองฉีเป่ยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ชาวบ้านที่ได้พลัดถิ่นมาไม่มีเกลือ ไม่มีอาหารกินเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ฝ่าบาทคิดว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?” ฉีเฉิงเฟิงพูดจบก็เหลือบไปมองฉีเต๋อหลงอีกครั้งแล้วพูดว่า “องค์ชายรองก็มีพระชายา และเหล่าพระสนมแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ไปยังเมืองฉีเป่ย เพื่อช่วยฝ่าบาทจัดการแก้ปัญหาเรื่องนี้”
ใครกันจะอยากไปยังดินแดนรกร้างอย่างฉีเป่ย! สีหน้าของฉีเต๋อหลงแปรเปลี่ยนไป และเขาก็กล่าวออกมาว่า “องค์ชายสาม ทำไมท่านถึงได้กล่าวถึงเรื่องพระชายาและนางสนม? ในเมื่อท่านต้องการแต่งงานมากขนาดนั้น ทำไมท่านถึงไม่แต่งงานเสียทีแล้วพาชายาของเจ้าไปที่นั่น และไปจัดการแก้ไขปัญหาที่เมืองฉีเป่ยเอง เพราะว่า…ฉีเป่ยเป็นเขตของเจ้า”
ที่กล่าวมาก็ยังต้องการให้ฉีเฉิงเฟิงแต่งงาน
ชายหนุ่มยังคงมีท่าทีนิ่งสงบ “ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะยินยอมตกลงอยู่ฝ่ายเดียว การกระทำนี้ก็ต้องดูด้วยว่าผู้ใหญ่คนไหนเต็มใจที่จะยกลูกสาวของตัวเองให้กับข้า”
เหล่าขุนนางทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง พร้อมกับบรรยากาศที่เงียบลง ไม่มีใครอยากจะยกลูกสาวของตัวเองให้แต่งงานกับองค์ชายสามหรอก!
“ข้าเหนื่อยที่จะหาผู้หญิงที่เหมาะสมให้เจ้าแล้ว ดังนั้นข้าจะให้เหล่าขุนนางเสนอมาให้ข้าเลือก” ฉีเฉิงกล่าวออกมา และเขาก็รู้สึกมีความสุขอีกครั้งที่คิดว่าจะสามารถควบคุมฉีเฉิงเฟิงได้
เหล่าขุนนางทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา และกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท ข้ารู้สึกว่ามีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่คู่ควรกับองค์ชายสาม! คุณหนูจ้าวเป็นคนฉลาด และกล้าหาญ เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่แปลกประหลาดที่สุดก็ว่าได้ อีกทั้งนางกับองค์ชายสามทั้งสองรักกัน ข้าว่านางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“ใช่แล้ว! พวกเขาทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน มีข่าวลือว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน แต่เป็นเพราะโชคชะตาทำให้ต้องแยกจากกัน เหตุใดพระองค์ถึงไม่ลองใช้โอกาสนี้เติมเต็มสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนนั้นต้องการล่ะ?”
“…”
ซูหวานหว่านอีกแล้ว! เป็นคนอื่นไม่ได้แล้วหรืออย่างไร! ฉีเฉิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เขาเองก็ต้องการซูหวานหว่านเหมือนกัน ทำไมเขาจะต้องยกสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มาให้กับฉีเฉิงเฟิง และให้พวกเขาทั้งสองคนนั้นครองคู่กัน!
สิ่งนี้วัดจากอะไรกัน
ฉีเฉิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ กำลังจะเอ่ยว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เขากลับได้ยินฉีเฉิงเฟิงพูดว่า “สถานการณ์ในฉีเป่ยกำลังแย่มาก ถ้าฝ่าบาทเห็นด้วยข้าจะไปที่ฉีเป่ยเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ตามคำพูดขององค์ชายรอง”
หากเรื่องนี้คลี่คลาย และประชาชนเลิกตัดพ้อ มันก็คงจะเป็นผลดีสำหรับเขา หลังจากคิดเรื่องนี้ไปสักพัก ฉีเฉิงก็กล่าวออกมาว่า “เช่นนั้นก็ตามมนี้ก็แล้วกัน ข้าม่อยากที่ห้ามอะไรพวกเจ้าแล้ว ข้าจะทำตามความต้องการของเจ้าแล้วกัน”
ท้ายที่สุด ฉีเฉิงก็มีพระราชโองการว่าในวันพรุ่งนี้ฉีเฉิงเฟิงจะเข้าพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งอาจจะดูหน้าเหลือเชื่อ และกะทันหันเหลือเกิน
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะรีบร้อนมาก ฉีเฉิงเฟิงมองไปที่ฝ่าบาทและก้มหัวแทนคำขอบคุณ
นอกจากนี้ฉีเฉิงเฟิงยังนำพระราชโองการ พร้อมกับของขวัญสินสอดทองหมั้นออกไปด้วยอย่างเงียบ ๆ ฉีเต๋อหลงที่เห็นแบบนี้จึงสั่งให้คนไปป่าวประกาศเรื่องนี้ และทุกคนก็ได้รับรู้กันทั่ว
ซูหวานหว่านที่นอนอยู่ในบ้านสกุลจ้าว พอนางตื่นขึ้นมาก็พบว่าฉีเฉิงเฟิงหายไปแล้ว แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นของขวัญหมั้นหมายมากมาย นางรู้ว่าฉีเฉิงเฟิงจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ จากนั้นเขาก็ต้องไปที่ฉีเป่ย หากแต่เมื่อเปิดประตูออกมานางก็พบกับฉีเฉิงเฟิง และเขาก็โผล่มาต้อนรับนางด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น
“เมื่อวานเจ้าไม่ออกมา และวันนี้เจ้าก็ไม่ออกมาอีก เจ้าต้องการให้ข้าไปตามหาเจ้าในความฝันหรืออย่างไร?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยแล้วยกมือขึ้นลูบผมยาวของซูหวานหว่าน หญิงสาวมองไปที่เขาด้วยความแปลกใจและดึงเขาให้นั่งลง
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนเบื่อจน ฉีเฉิงเฟิงก็กล่าวออกมาว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีคณะอุปรากรมาที่เมืองหลวงนี้ และได้ยินมาว่าพวกเขาบรรเลงเพลงได้เพราะมาก ข้าอยากจะเชิญพวกเขามาที่ตระกูลจ้าว เพื่อบรรเลงให้พวกเราเต้นรำ และสร้างความสนุกสนานให้กับงาน เจ้าว่าอย่างไร?”
“ก็ดี” ซูหวานหว่านก็พยักหน้า และในขณะที่รอคณะดนตรีมา นางก็สั่งให้คนใช้เปลี่ยนทุกอย่าง และโคมทั้งเป็นสีแดงสำหรับงานแต่งงานดูเป็นงานที่รื่นเริงมาก
แม่จ้าวไม่สามารถมาได้ ดังนั้นซูหวานหว่านจึงเขียนจดหมายส่งออกไปแจ้งข่าว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ซูหวานหว่านรู้สึกง่วงจนเผลอหลับไป ฉีเฉิงเฟิงจากไปแล้ว แต่ภายในห้องกลับมีผู้หญิงแปลกหน้าเดินเข้าไปมา ซูหวานหว่านได้กลิ่นแปลก ๆ จึงตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นมามองก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นคนหรือผี? มาทำให้ข้าตกใจทำไม” ซูหวานหว่านลุกขึ้นยืน ตบไปที่เสื้อผ้าบนตัวของตัวเอง แต่ก็เห็นผู้หญิงคนก็ยังคงจ้องมองนางด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง “บังเอิญจัง พวกเราเจอกันอีกแล้ว”