เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 762 แผนกำจัดตระกูลเฉียว
บทที่ 762 แผนกำจัดตระกูลเฉียว
พอได้ยินแบบนี้เฉียวฟางฟางก็โกรธจัด “เจียงหว่านกับพี่ใหญ่อยู่เหยียนจิง ทำไมไม่ให้พวกเขาดูแลล่ะ?!”
เฉียวเหลียนเย่เห็นด้วย “ใช่ พวกเขาควรดูแลแม่สิ!”
เกาซิ่วเหมยตอบอย่างเย็นชา “อ้อ มีเรื่องหนึ่งที่ฉันลืมบอกไป”
“หลี่หงเหมยยอมรับต่อหน้าทุกคนแล้วว่า เฉียวเหลียนเฉิงไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของเธอ เธอเป็นคนสลับตัวเด็กสองคน!”
“ตอนนี้ เฉียวเหลียนเฉิงได้ฟ้องร้องต่อศาลแล้ว และเขาไม่เพียงแต่ต้องการจะตัดขาดความสัมพันธ์ในฐานะพ่อแม่บุญธรรมเท่านั้น แต่เฉียวเหลียนเฉิงยังเตรียมจะเอาผิดเธอในข้อหาสลับตัวเด็กด้วย”
“ยังไงก็ตาม เฉียวเหลียนเฉิงได้ช่วยเหลือครอบครัวนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเลยเก็บหลักฐานการโอนเงินทั้งหมดไว้กับที่ทำการไปรษณีย์!”
“เมื่อผลการพิสูจน์สายเลือดออกมาแล้ว เฉียวเหลียนเฉิงก็จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับหลี่หงเหมยและตระกูลเฉียวอีก”
เธอหยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ
“อีกอย่าง เฉียวเหลียนเฉิงยังฟ้องร้องต่อศาลเรียกร้องเงินที่เคยโอนไปทั้งหมดคืน และต้องการให้หลี่หงเหมยชดเชยค่าเสียหายสำหรับช่วงเวลายี่สิบปีที่หายไป รวมถึงค่าเสียหายทางจิตใจด้วย”
“รวมไปถึงค่าเสียหายทางจิตใจจากการถูกทารุณกรรมและความรุนแรงทางอารมณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา!”
“คร่าว ๆ คงต้องประมาณเจ็กหมื่อถึงแปดหมื่นหยวน!”
ครอบครัวเฉียวทั้งหมดตกตะลึง!
ค่าเสียหายทางจิตใจ ค่าเสียหายทางจิตใจอะไรกัน?
พวกเขาไม่เคยได้ยินคำเหล่านี้มาก่อน
ทุกคนในบ้านต่างหันมองเฉียวเหลียนเจียเป็นตาเดียว
“น้องสาม แกมีการศึกษาสูงสุดในบ้าน แกช่วยพูดอะไรหน่อยสิ!” เฉียวเหลียนเย่จ้องมองเขาด้วยความร้อนรน
เฉียวเหลียนเจียนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าตอนนั้นแม่จงใจสลับตัวเด็กจริง ๆ แม่คงไม่มีทางชนะคดีนี้แน่”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาจ้องมองพี่รองและน้องสาวด้วยความหงุดหงิด
“ก่อนหน้านี้ก็บอกไปแล้วไงว่า อย่าไปทำตัวแย่ ๆ ใส่พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มากนัก อย่างน้อยก็ต้องทำดีต่อหน้าพวกเขาบ้าง!”
“แต่ไม่มีใครฟังผมเลย!”
“ถ้าไม่ใช่ลูกตัวเอง ยังไงก็ตัดกันได้อยู่แล้ว ยิ่งแม่ทำกับพี่ใหญ่แบบนั้นด้วย!”
เฉียวเหลียนเย่กับเฉียวฟางฟางถูกต่อว่าจนพูดไม่ออก เอาแต่ก้มหน้านิ่ง
“ละ แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี?” เฉียวเหลียนเย่ตกอยู่ในความสับสน
เกาซิ่วเม่ยจ้องมองอย่างเย็นชา เธอพูดขึ้นว่า
“สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือส่งคนไปเหยียนจิงเพื่อดูแลแม่ของพวกเธอ!”
“ส่วนเรื่องคดีความค่อยว่ากันอีกที!”
เฉียวฟางฟางกลอกตา แล้วถาม “พี่ใหญ่ ไม่สิ! หมายถึงเฉียวเหลียนเฉิงคนนั้น เขามีหลักฐานอะไรถึงมาฟ้องแม่?”
“ฉันได้ยินมาว่าการจะฟ้องร้องต้องมีหลักฐานนะ ไม่ใช่แค่พยานบุคคล แต่ต้องมีหลักฐานทางวัตถุด้วย!”
เกาซิ่วเหมยยิ้มเยาะ “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก หลักฐานทางวัตถุมีแน่นอนอยู่แล้ว แม่เธอไม่ได้แค่ยอมรับครั้งเดียวว่าเธอเป็นคนสลับตัวเด็ก!”
“ตอนเธอพูด เจียงหว่านใช้เครื่องบันทึกเสียงพกพาบันทึกไว้ด้วย!”
“นี่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้!”
“ทั้งยังมีการตรวจดีเอ็นเอด้วย ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือเปล่า!”
เฉียวฟางฟางตกใจ หันไปถามเฉียวเหลียนเย่ว่า
“เครื่องบันทึกเสียงพกพาคืออะไร?”
เฉียวเหลียนเย่ส่ายหัว “ไม่รู้สิ ถ้ามันใช้เป็นหลักฐานได้ คงจะเป็นสิ่งที่ล้ำสมัยมาก!”
เฉียวฟางฟางเริ่มกลัวขึ้นมา
เธอมองเกาซิ่วเหมยแล้วพูดว่า “ฉันต้องไปทำงาน ในที่สุดฉันก็มีงานทำแล้ว ถ้าฉันต้องไปดูแลแม่ ใครจะหาเงินให้ฉันใช้ ยังไงฉันก็ไม่ไป!”
เธอเป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าเธอไม่ไปแล้วจะให้ใครไป?
เฉียวเหลียนเย่กับเฉียวเหลียนเจียมองหน้ากัน
แล้วเฉียวเหลียนเจียก็พูดขึ้น “ผมต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย!”
เฉียวเหลียนเย่จ้องเขม็ง “ฉันก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน!”
เมื่อทุกคนพูดจบ พวกเขาก็หันมองไปที่ไป๋อวี้ซิ่วซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ทำงาน
“งั้นให้เธอไป!” เฉียวเหลียนเย่พูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ
ไป๋อวี้ซิ่วหน้าดำหน้าแดง “ถ้าฉันไป แล้วเด็กจะอยู่ยังไง?!”
เฉียวเหลียนเย่ตอบโดยไม่ต้องคิด “ก็พาไปด้วยสิ จะได้ดูแลทั้งเด็กและแม่!”
ไป๋อวี้ซิ่วยึกยัก “แต่ฉันไม่มีเงิน!”
เฉียวเหลียนเย่ขมวดคิ้ว “ผู้หญิงคนนี้มาเพื่อรับคนไปดูแลแม่ เธอก็ติดรถหล่อนไปด้วยสิ จะใช้เงินไปทำไม!”
เกาซิ่วเหมยพูดขึ้น “พวกเธอป่วยหรือเปล่า? ฉันแค่มาส่งข่าว คิดว่าฉันจะพาหล่อนไปเหยียนจิงด้วยเหรอ?!”
“ถ้าพวกเธอไม่ให้เงิน แล้วใครจะไปขึ้นศาลตอนโดนเรียก!”
เฉียวเหลียนเย่โมโห “คนที่สลับตัวเด็กก็คือแม่ ไม่ใช่ฉันซะหน่อย!”
“ใครทำผิดก็ให้คนนั้นรับผิดชอบไปสิ!”
ไป๋อวี้ซิ่วพูดเสียงเรียบ “ถ้าแม่แพ้คดี เงินชดเชยจะไปทวงจากใคร?”
เฉียวเหลียนเย่ตอบโดยไม่ต้องคิด “อยากไปทวงจากใครก็ไป ฉันไม่สนอยู่แล้ว!”
“เลวร้ายที่สุดก็แค่ให้แม่ติดคุกไปซะ ยังไงสมองของเธอก็ไม่ปกติแล้วด้วย”
“ถ้าแม่เข้าคุก แม่ก็ไม่ต้องจ่ายเงินคืน ส่วนเธอก็ไม่ต้องคอยรับใช้ดูแล!”
หลังจากพูดแบบนี้ พี่น้องเฉียวอีกสองคนก็เงียบไป
เกาซิ่วเหมยจ้องมองคนสองคนนั้นอย่างเย็นชา
“พวกเธอล่ะ ว่ายังไง?”
เฉียวเหลียนเจียพูดว่า “ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของแม่ ผมคงไม่เหมาะที่จะไปดูแล ให้พี่สะใภ้รองไปเถอะ!”
“เรื่องคดีความก็รอดูคำตัดสินกันต่อไป พวกเราก็ไม่มีเงินเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่าแม่จะเต็มใจรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง!”
เกาซิ่วเหมยหัวเราะเยาะ
ในใจคิดว่า ‘นี่มันครอบครัวที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ แม้แต่แม่ผู้ให้กำเนิดก็ยังทอดทิ้งได้’
ช่างเลวระยำนัก
ไป๋อวี้ซิ่วเห็นว่าพวกเขาต่างพยายามทอดทิ้งแม่ของตัวเอง ใจเธอก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ถ้ายังปฏิบัติต่อแม่ของตัวเองแบบนี้ แล้วพวกเขาจะดีกับคนนอกอย่างเธอได้ยังไง?
เธอหลุบตาลง พูดเสียงเบา “ฉันไม่ไปหรอก ถ้าฉันไปแล้วเกิดมีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”
เฉียวเหลียนเย่ไม่เข้าใจ “แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นได้?”
เกาซิ่วเหมยจึงพูดว่า “ตอนนี้คุณแม่ของพวกเธออาการไม่ค่อยดี การรักษาต่อจากนี้ก็ต้องใช้เงิน จำเป็นต้องมีคนไปดูแลและเซ็นเอกสาร!”
“แน่นอน ยังต้องมีคนไปจ่ายเงินด้วย!”
เฉียวเหลียนเย่ได้ยินคำว่า ‘จ่ายเงิน’ หน้าของเขาก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที
เขารีบพูดว่า “ไม่เป็นไร เธอเป็นลูกสะใภ้คนรอง เป็นตัวแทนของเราทุกคนได้!”
เกาซิ่วเหมยขมวดคิ้ว “พูดปากเปล่าไม่ได้หรอก งั้นพวกเธอก็เขียนหนังสือมอบอำนาจกันมาซะ!”
“ตอนนี้ไป๋อวี้ซิ่วไม่มีสิทธิ์เซ็นเอกสาร แต่ถ้าเขียนหนังสือมอบอำนาจก็ถือเป็นอันใช้ได้!”
ตอนนี้ทั้งสามคนรีบร้อนอยากจะสลัดภาระทิ้ง จึงลงนามโดยไม่ต้องคิด
ไป๋อวี้ซิ่วกอดลูกไว้ สีหน้าตึงเครียด มองพวกเขาสามคนเซ็นชื่อบนหนังสือมอบอำนาจ โดยหนังสือระบุให้ไป๋อวี้ซิ่วดูแลแม่สามีหลี่หงเหมย และจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ของหลี่หงเหมยทั้งหมด
ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือตายจาก!
ทันทีที่การเขียนหนังสือมอบอำนาจเสร็จ ทั้งสามคนก็ถูกเกาซิ่วเหมยและไป๋อวี้ซิ่วผลักลงหลุมกับดักแล้ว
หลังจากทั้งสามคนเขียนใบมอบอำนาจ เซ็นชื่อและประทับลายนิ้วมือเสร็จ พวกเขาก็รีบหนีไปอย่างไม่ไยดี และไม่คิดจะกลับมานอนที่บ้านอีก
ก่อนจากไปยังขนข้าวของตัวเองออกไปจนหมดด้วย
เฉียวเหลียนเจียเป็นคนสุดท้ายที่ออกไป อาจเป็นเพราะเขาเห็นใจไป๋อวี้ซิ่วอยู่บ้าง
เฉียวเหลียนเจียพูดด้วยสีหน้าละอายใจ “พี่สะใภ้รอง ความจริงแล้วผมควรจะให้เงินค่าเดินทางแก่พี่ด้วย แต่ผมไม่มีเงินจริง ๆ”
“อีกทั้งล่าสุดอาจารย์ขอให้พวกเราจ่ายค่าสอบสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่…ช่วยดูหน่อยได้ไหมว่าสะดวกจะให้ผมยืมเงินสักหน่อยได้หรือเปล่า?”
ไป๋อวี้ซิ่วสีหน้าเคร่งเครียด “เธอคิดว่าฉันมีเงินงั้นเหรอ? ไม่งั้นเธอขายฉันกับลูกไปเลยก็ได้!”
“ฉันไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว!”
ใบหน้าของเฉียวเหลียนเจียเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหันหลังกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
เกาซิ่วเหมยที่ยืนกอดอกดูอยู่ข้าง ๆ เธอพลันถ่มน้ำลายอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
ครอบครัวเฉียวนี่มันช่างเลวทรามเสียจริง
ตอนนี้เธอเห็นใจไป๋อวี้ซิ่วมาก แต่เธอก็รู้สึกสงสารเจียงหว่านและเฉียวเหลียนเฉิงมากกว่า
ครอบครัวแบบนี้จะทำดีกับเฉียวเหลียนเฉิงได้แค่ไหน?
เกาซิ่วเหมยมองไปที่ไป๋อวี้ซิ่ว
“เธอยินดีให้ฉันยืมหนังสือมอบอำนาจนี้ไหม? จะเอาไปเป็นหลักฐานในชั้นศาลน่ะ!”