เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 756 ทำดีไม่ต้องถามผล
บทที่ 756 ทำดีไม่ต้องถามผล
พอเอ้อร์หนิวเห็นรถที่มารับเขาขับออกไปก็โกรธจัด เขาหันไปต่อยเด็กหนุ่มจากโรงเรียนกีฬา
แต่ถึงเขาจะโกรธมากแค่ไหน เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มคนนั้น เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเขาก็เสียเปรียบโดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้มู่เหย่ใกล้จะมาถึงแล้ว
เมื่อเอ้อร์หนิวเห็นว่ามู่เหย่กำลังใกล้เข้ามา เขาก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงออกแรงผลักเด็กหนุ่มคนนั้นออกอย่างแรง แล้ววิ่งไปทางถนนใหญ่
ในเวลาเดียวกัน รถบรรทุกก็แล่นมาด้วยความเร็ว
เอ้อร์หนิววิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้ดูเลยว่ามีรถหรือไม่
เมื่อเขาวิ่งไปถึงกลางถนน ทันใดนั้นรถบรรทุกก็พุ่งตรงเข้ามาชน
โครม!
ร่างของเอ้อร์หนิวถูกชนกระเด็นลอยขึ้นฟ้า วาดเส้นโค้งสูงสามเมตร ก่อนที่จะร่วงลงกระแทกพื้น!
มู่เหย่ที่วิ่งตามมาเห็นภาพตรงหน้าก็ตกตะลึง
ฝูงชนรอบข้างล้วนตกตะลึงเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กหนุ่มโรงเรียนกีฬาที่ไล่ทุบตีอีกฝ่ายก่อนหน้า เขาพลันยืนแข็งค้างอยู่กับที่
อีกทั้งใบหน้าก็ซีดขาวไร้สี!
ทุกคนต่างช่วยเหลือพาชายหนุ่มไปส่งโรงพยาบาล
เด็กชายจากโรงเรียนกีฬาตกใจมากจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรง
“ผะ ผมแค่อยากช่วยจับหัวขโมย ผมไม่ได้อยากทำร้ายเขา!”
“แล้วแบบนี้ผมจะต้องเข้าคุกไหม?”
เมื่อเอ้อร์หนิวถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน เด็กหนุ่มจากโรงเรียนกีฬาก็นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าห้องผ่าตัด
ด้วยความรู้สึกผิด มู่เหย่จึงเดินเข้าไปปลอบ
“นี่ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก!”
เด็กหนุ่มพูดว่า “เพื่อนบ้านคนหนึ่งของผมตีหัวขโมยที่ขึ้นบ้านจนเลือดตกยางออก สุดท้ายก็โดนตำรวจจับและตัดสินจำคุกเจ็ดปี!”
“ถ้าเขาตาย ผมต้องชดใช้ด้วยชีวิตหรือเปล่า? ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ให้ตายผมก็ไม่เข้าขวางทางเขาหรอก!”
เด็กหนุ่มดูอายุไม่น่าเกินสิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาดูเด็กและยังเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์
ตอนนี้เขาร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบแก้ม ดูน่าสงสารมาก
มู่เหย่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปลอบอย่างไร เขาไม่เก่งเรื่องปลอบคน ถ้าเป็นนิสัยของเขาเมื่อก่อน อาจจะพูดจาดูถูกเด็กหนุ่มว่าเสแสร้งแกล้งทำไปแล้ว
แต่ตอนนี้ เหมือนว่าการใช้เวลากับเจียงหว่านจะทำให้เขาอ่อนโยนมากขึ้น
ถ้อยคำที่ออกมาถึงริมฝีปาก พลันถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง
เมื่อเจียงหว่านมาถึง เธอก็เห็นมู่เหย่ยืนอยู่หน้าเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาหมองหม่น เต็มไปด้วยความอึดอัด
“เกิดอะไรขึ้น? ฉันได้ยินว่าเอ้อร์หนิวประสบอุบัติเหตุ!”
มู่เหย่พยักหน้า และเล่าถึงสถานการณ์คร่าว ๆ
เจียงหว่านมองไปที่ห้องผ่าตัด “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
มู่เหย่ส่ายหน้า “หมอบอกว่าอาจจะไม่พ้นขีดอันตราย!”
เจียงหว่านนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนนายไล่ตามออกมา นายเห็นรถคันนั้นไหม?”
มู่เหย่พยักหน้า “คนในรถต้องเห็นฉันเหมือนกันแน่!”
เจียงหว่านขมวดคิ้วแน่น
ตอนนี้เด็กหนุ่มจากโรงเรียนกีฬายังคงสะอื้นไห้
เจียงหว่านรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เธอมองเด็กหนุ่มแล้วถามว่า “ฉันขอถามเธอหน่อย ถ้าเธอรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ เธอจะยังขัดขวางหัวขโมยคนนั้นอีกไหม?”
เด็กหนุ่มตะลึงงัน เขาส่ายหัวโดยสัญชาตญาณ
ไม่มีใครอยากอยู่ในสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้
เจียงหว่านพูดว่า “เธอสบายใจเถอะ ไม่มีใครเอาผิดเธอหรอก เธอช่วยเราจับคนร้ายได้นะ”
“พูดได้แค่ว่า เขาดวงซวยเอง!”
เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังสงสัยอยู่บ้าง “จริงเหรอครับ?”
เจียงหว่านพยักหน้า “จริงสิ เธอกลับบ้านได้แล้วนะ ฉันสัญญา จะไม่มีใครมาเอาผิดเธอแน่นอน!”
เธอหยุดพูดชั่วครู่แล้วพูดต่อว่า “สถานการณ์วันนี้ค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจะไม่มีใครตามหาเธอในภายหลัง อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในอนาคต ฉันหวังว่าเธอจะยังสามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่อความยุติธรรมได้”
“แต่ต้องใส่ใจกับวิธีการและขอบเขตด้วย!”
“ความยุติธรรมในโลกต้องการผู้คนปกป้อง แต่ไม่ใช่ปกป้องความยุติธรรมจนไม่เลือกวิธีการ!”
เด็กหนุ่มมองเธอด้วยสีหน้าว่างเปล่า ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าตอบตกลง
เด็กหนุ่มจากโรงเรียนกีฬาเดินจากไป แต่ก่อนไปเขายังหันกลับมามองอีกสองสามครั้ง
เหมือนว่าเขาต้องการจะจดจำหน้าตาของเจียงหว่านไว้
เจียงหว่านกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มมองเธอไม่หยุด จึงขมวดคิ้วและถามว่า
“มีอะไรหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มส่ายหัว ก่อนจะหันหลังกลับ และวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว!
มู่เหย่ทำหน้าบูดบึ้ง “เธออ่อนโยนกับเขามากแล้วนะ!”
เจียงหว่านหรี่ตาลง “เขายังเด็กอยู่ และเข้ามาช่วยด้วยความตั้งใจดี เขาช่วยนายนะ อย่าลืมสิ!”
“ถ้าไม่ใช่เขาที่ออกมาขวาง เอ้อร์หนิวก็คงขึ้นรถหนีไปแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราคงเดือดร้อนแน่ ๆ! แล้วนายยังจะใจร้ายกับเขาอีกหรือไง!”
มู่เหย่พูด “ถ้าเอ้อร์หนิวตายจะทำยังไง?!”
เจียงหว่านนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็ช่างเขาสิ!”
มู่เหย่หน้าดำคร่ำเครียด
เจียงหว่านพูดต่อ “ปัญหาตอนนี้คือจะจัดการเรื่องนี้ยังไงให้เสี่ยวติงกับเหล่าฉีไม่เกิดความสงสัย!”
ทันใดนั้น ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก
มู่เหย่หันไปมองทางนั้นทันที
หมอส่ายหัวแล้วพูดว่า “เสียใจด้วยครับ พวกเราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว!”
มู่เหย่นิ่งเงียบไป
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกพร้อมกับเตียงที่ถูกเข็นออกมา ร่างกายของเขาถูกคลุมด้วยผ้าขาว
มู่เหย่เปิดผ้าออกดู พบว่าเป็นเอ้อร์หนิวจริง ๆ
ดวงตาของเอ้อร์หนิวยังเบิกกว้าง เขานอนตายตาไม่หลับ
มู่เหย่เอื้อมมือไปปิดเปลือกตาของเขา
แล้วหันไปพูดกับเจียงหว่านว่า “ไปเถอะ ไปหาตงเลี่ยวกัน!”
หลังจากตงเลี่ยวถูกเฉียวเหลียนเฉิงช่วยขึ้นมาจากน้ำ เขาก็ล้มตัวลงนอนนิ่งอยู่ริมทะเลสาบ
เฉียวเหลียนเฉิงรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เขา แต่ไม่เห็นผล เลยจำใจต้องผายปอด
เมื่อตงเลี่ยวสำลักน้ำที่กลืนเข้าไปจนหมด เฉียวเหลียนเฉิงก็ล้มตัวลงข้าง ๆ ด้วยความอ่อนเพลีย กางแขนขา นอนแผ่หลา
เขาถามด้วยความอ่อนเพลียและงุนงง
“นายเก่งต่อสู้ แต่ทำไมถึงว่ายน้ำไม่เป็นล่ะ?”
ตงเลี่ยวรู้สึกอึดอัด เขาตอบอย่างอ่อนแรง “ใครบอกว่าเก่งศิลปะการต่อสู้แล้วต้องว่ายน้ำเป็น!”
“ผมเป็นคนกลัวน้ำมาตั้งแต่เกิด เรียนมาตั้งหลายปีก็ยังว่ายไม่เป็น!”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบไป
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ตงเลี่ยวก็พูดอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อกี้ ขอบคุณมาก!”
เฉียวเหลียนเฉิงลุกขึ้นนั่ง เขาส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ไหน ๆ ฉันก็ชนะแล้ว ตามสัญญา ให้ฉันดูหลักฐานก่อน แล้วจะให้เจอกับนีน่า!”
ตงเลี่ยวไม่ยอม “ไม่ได้ เมื่อกี้เราแค่สู้กันจนตกน้ำ ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเลย!”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบอย่างเย็นชา “แต่ฉันช่วยชีวิตนายไว้!”
ตงเลี่ยวยังคงเถียง “เรากำลังประลองกัน ไม่ได้มีกฎว่าต้องวัดผลด้วยการต่อสู้เหรอ?!”
เฉียวเหลียนเฉิงย้ำอีกครั้ง “แต่ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนาย!”
ตงเลี่ยวยังคงเถียงต่อ “การตกลงไปในน้ำเป็นอุบัติเหตุ ไม่นับ!”
เฉียวเหลียนเฉิงย้ำอีกครั้ง “ฉันเป็นคนช่วยชีวิตนาย!”
ตงเลี่ยวกลอกตา พลิกตัวนอนราบลงบนพื้น ทุบพื้นด้วยความโมโห
พอเจียงหว่านและมู่เหย่มาถึง ก็พอดีกับที่เฉียวเหลียนเฉิงกับตงเลี่ยวพักจนหายเหนื่อย และเสื้อผ้าก็แห้งไปเกือบหมดแล้ว
พวกเขากำลังลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะออกเดินทาง
เจียงหว่านเห็นพวกเขายังอยู่ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างมาก
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่?” เฉียวเหลียนเฉิงถามด้วยความสงสัย
เจียงหว่านไม่ตอบคำถาม เธอเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง
ตงเลี่ยวขมวดคิ้ว “คุณบอกว่าเขาเป็นคนของเหล่าฉีเหรอ?”
เจียงหว่านพยักหน้า “ใช่ ชื่อว่าเอ้อร์หนิว ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีเหลือง!”
ตงเลี่ยวถามต่อ “แล้วคุณเห็นใครอยู่ในรถ?”
มู่เหย่ตอบ “ฉันไม่รู้จักพวกเขา จำได้แค่เสี่ยวติงกับเหล่าฉี ตอนนั้นที่เจรจากับฉัน พวกเขาอยู่ที่นั่นด้วย!”
ตงเลี่ยวนิ่งคิดไปชั่วครู่ “ไม่เป็นไร เราแค่ต้องหาคำพูดที่ตรงกัน!”
“ต้องหาวิธีอธิบายให้สมเหตุสมผลว่าทำไมผม เฉียวเหลียนเฉิง และมู่เหย่ ถึงมาอยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องราวระหว่างนั้น เราสามารถแต่งเติมได้!”
เจียงว่านฟังแล้วก็เผยยิ้ม “แต่งเรื่องเหรอ เรื่องนี้ฉันถนัด เดี๋ยวฉันจัดการเอง!”