เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 590 มู่เหย่ยั่วยุเฉียวเหลียนเฉิง
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 590 มู่เหย่ยั่วยุเฉียวเหลียนเฉิง
บทที่ 590 มู่เหย่ยั่วยุเฉียวเหลียนเฉิง
เฉียวเหลียนเฉิงหรี่ตามอง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ช่วงหลายวันนี้เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แม้จะอยู่กับอู่เยี่ย แต่เขาก็ต้องระแวดระวังตลอดเวลา
การที่น้ำหนักลดจึงเป็นเรื่องปกติ!
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากของมู่เหย่ เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก!
เจียงหว่านเห็นท่าทีเช่นนั้นก็รีบแทรกขึ้น “นายไม่ต้องพูดเลย กว่าฉันจะผอมลงได้มันยากเย็นแค่ไหน นายไม่รู้หรอกว่าคนอย่างฉันแค่ดื่มน้ำก็น้ำหนักขึ้นแล้ว!”
“ฉันจะบอกนายให้นะมู่เหย่ นายอย่ามาเกลี้ยกล่อมสามีให้บังคับฉันกินข้าวเลย ถ้าน้ำหนักฉันพุ่งถึงร้อยโลจนเขาทิ้งฉันไป นายจะทำยังไง?”
มู่เหย่หัวเราะเยาะ “อ้วนแล้วจะทำไม คนอ้วนคือคนมีอันจะกิน!”
“ถ้าเขากล้าทิ้งเธอ ฉันจะต่อยเขาให้ตาย!”
หลังพูดจบ มูเหย่ก็เหมือนจะรู้สึกตัวว่าตนไม่ควรพูดแบบนี้
ทันใดมู่เหย่ก็หันไปทางอื่นด้วยความเขินอายและเอาแต่ใจ เขาอธิบายอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ใครกล้ากลั่นแกล้งเธอถือว่าเป็นศัตรูกับมู่เหย่คนนี้ และจะไม่มีทางยกโทษให้เด็ดขาด!”
เฉียวเหลียนเฉิงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา พลันแสงน่าขนลุกก็วาบผ่านดวงตาไป
ราวกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธที่รุนแรง เจียงหว่านรีบเอื้อมออกไปคว้ามือของเขาไว้ ป้องกันไม่ให้เขาทำเรื่องที่ไม่ควร
เมื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นบนฝ่ามือ อารมณ์คุกรุ่นของเฉียวเหลียนเฉิงพลันหายไป เขาหันกลับมาเลิกคิ้วใส่มู่เหย่
“ภรรยาผม ผมดูแลเองได้ ไม่ว่าเธอจะหนักร้อยโล หรือห้าสิบโล ขอแค่เธอมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงก็พอแล้ว!”
นี่คือภรรยาของฉัน!
คำพูดเหล่านี้ทำให้มู่เหย่รู้สึกปวดใจ
เขาเหลือบมองเฉียวเหลียนเฉิงและพูดด้วยความหงุดหงิด
“ในเมื่อหว่านหว่านอยู่ที่นี่แล้วก็ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนเถอะ พวกนายคุยกันไปก่อนแล้วกัน ฉันจะไปขอให้แม่บ้านเตรียมอาหารเพิ่ม!”
พูดจบมู่เหย่ก็กระแทกเท้าเดินออกไป
เมื่อเขาจากไป บรรยากาศในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง
เจียงหว่านไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้มู่เหย่ถึงอารมณ์เสียนัก แต่เธอดีใจที่ได้พบกับหลิวเชี่ยนเชี่ยนกับเหอซานไห่ จึงไม่อยากสนใจมู่เหย่ที่เป็นแบบนั้น เธอรีบคว้าหลิวเชี่ยนเชี่ยนมาถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองหลินเฉิงและเรื่องโรงงาน
ในเวลาเดียวกัน ณ สถานีรถไฟเมืองหลินเฉิง
เจียงจวินออกมาจากสถานีรถไฟพร้อมกับพ่อแม่ของเขา
ทันทีที่เดินออกมา ผู้หญิงแต่งตัวฉูดฉาดก็ตรงเข้ามาขวางทางพวกเขาไว้
ผู้หญิงคนนี้อายุประมาณยี่สิบต้น ๆ ใส่กางเกงขายาวที่ตัดเย็บอย่างประณีต
เธอสวมเสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลอ่อนและพันผ้าพันคอสีชมพู ผมยาวประบ่าดัดลอนใหญ่ แทบไม่ต้องพูดเลยว่าเธอดูสวยแค่ไหน
เจียงจวินมองดูผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีท่าทีชื่นชมใด ๆ เขาเพียงพูดด้วยความสงสัย
“สหาย คุณกำลังขวางทางผมนะ!”
หญิงสาวรู้สึกประหม่า เธอเหลือบมองเสื้อผ้าของตัวเองเพื่อดูว่ามีขนไก่ติดอยู่หรือไม่ ก่อนพูดตะกุกตะกักว่า
“เอ่อ คือ…!”
ท่าทางของเธอดูประหม่าอย่างมาก
เจียงจวินหรี่ตาด้วยความสงสัย “คุณเอาขนไก่มาทำไม? อ๋อ! คุณอยากจะขายไก่ใช่ไหม?”
“ขอโทษด้วยนะ ผมไม่อยากซื้อไก่!”
ใบหน้าของฮวาจือแดงก่ำพลางส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่ ไม่ใช่ ฉัน… ฉันมาที่นี่เพื่อรับคุณ!”
เจียงจวินเกาหัว “แต่ผมไม่รู้จักคุณมาก่อน!”
ฮวาจือพูดอย่างหดหู่ “คุณจำฉันไม่ได้เหรอ? ฉันฮวาจือ เพื่อนพี่สาวอ้วนของคุณไง!”
เมื่อพูดถึงพี่สาวอ้วน เจียงจวินก็ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าเธอหมายถึงเจียงหว่าน
“คุณเป็นเพื่อนของอาเจ๊เหรอ?”
ฮวาจือรีบพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้เธอก็เคยได้ยินเจียงจวินเรียกเจียงหว่านว่าอาเจ๊
พอรู้ว่าเป็นคนรู้จัก เจียงจวินก็ดีใจทันที
“แล้วเธอล่ะ?! เธอมาด้วยหรือเปล่า?”
ฮวาจือพูดตะกุกตะกัก “เปล่าหรอก เธอมีธุระต้องจัดการ เลยให้ฉันมารับพวกคุณ ฉันหาบ้านไว้ให้พวกคุณเรียบร้อยแล้วค่ะ”
แล้วพ่อแม่ของเจียงจวินก็เดินเข้ามา พวกเขามองฮวาจือตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสายตาที่ฮวาจือมองลูกชาย พวกเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างทันที
ทว่าทั้งสองคนกลับมีสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง!
ผู้หญิงคนนี้ออกจะหน้าตาสะสวย ทำไมถึงมาชอบลูกชายโง่ ๆ ของพวกเขาได้นะ?!
ถึงจะสงสัย แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเดินตามฮวาจือไปขึ้นรถตู้
ฮวาจือเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นรถตู้ ก่อนเดินขึ้นไปเธอแอบชำเลืองมองใบหน้าไร้เดียงสาของเจียงจวิน แล้วหัวใจของเธอก็เต้นรัวเหมือนกวางน้อยที่วิ่งพล่าน!
ได้ยินมาว่าครอบครัวพวกเขากำลังวางแผนมาอาศัยอยู่ที่นี่ถาวร ดังนั้นเธอต้องแสดงฝีมือให้เต็มที่
ณ เมืองเหยียนจิง
เจียงหว่านรู้ตัวว่าคงกลับเมืองหลินเฉิงไม่ได้ในเร็ววัน เธอจึงพูดคุยกับเหอซานไห่เกี่ยวกับแผนพัฒนาเมืองหลินเฉิงในอนาคต
ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว เจียงหว่านมีความคิดที่จะช่วยเหลือชาวบ้านทำการเกษตร เธอจึงเสนอให้ซื้ออุปกรณ์ทางการเกษตรเพื่อช่วยไถพรวนดินและอื่น ๆ
หากเกษตรกรปฏิเสธที่จะซื้อปุ๋ย เหอซานไห่ก็สามารถช่วยส่งมอบปุ๋ยบางส่วนได้เช่นกัน
ปุ๋ยเคมีทำกำไรได้มหาศาล ถ้าสามารถจัดการกับส่วนนี้ได้ บอกเลยว่ารวยแน่นอน!
มู่เหย่ยืนมองเฉียวเหลียนเฉิงตาเขม็งอยู่ด้านข้างตลอดเวลา ทั้งคู่ต่างก็พยายามเอาชนะกันอยู่
ในอดีตเฉียวเหลียนเฉิงไม่ค่อยสนใจมู่เหย่มากนัก แต่ตอนนี้เขาเริ่มสังเกตเห็นว่ามู่เหย่มักจะทำดีกับเจียงหว่านเป็นพิเศษ และสายตาของเขาก็มองไปทางเจียงหว่านอยู่บ่อย ๆ
เหตุการณ์นี้ทำให้เฉียวเหลียนเฉิงตื่นตัว และกลายเป็นความหึงหวงโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเหลียนเฉิงมองมู่เหย่กลับไปเป็นครั้งคราว และอาจเป็นเพราะดวงตาเฉียวเหลียนเฉิงดูมีอำนาจมาก มู่เหย่จึงไม่อยากมองเขาอีกต่อไป
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยเรื่องปุ๋ยเคมีว่าเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรได้มหาศาล
เมื่อได้ยินคำว่ากำไรมหาศาล เขาก็อดไม่ได้ที่จะสนใจขึ้นมา
“กำไรมหาศาลอะไร อธิบายให้ฉันฟังหน่อย!”
เจียงหว่านมองเขาด้วยความประหลาดใจ “จริงสิ นายมีทุนหนา คงจะดีไม่น้อยถ้าเปิดโรงงานผลิตปุ๋ยเคมี!”
ดวงตาของมู่เหย่เปล่งประกาย ท่าทางสนใจมาก เขารีบเดินเข้าไปหาเจียงหว่าน ทำท่าเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัยที่ตั้งใจเรียนหนังสือ
เฉียวเหลียนเฉิงหรี่ตามอง ก่อนเดินเข้าไปนั่งลงตรงกลางระหว่างมู่เหย่กับเจียงหว่าน จากนั้นยื่นแก้วน้ำให้เจียงหว่านอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “ผมเห็นคุณพูดมาสักพักแล้ว ดื่มน้ำให้ชุ่มคอหน่อยนะ!”
เจียงหว่านไม่ได้คิดอะไรมาก เธอรับมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว
มู่เหย่จ้องมองเฉียวเหลียนเฉิงอย่างดุเดือด เขาไม่พอใจที่ถูก ‘กลั่นแกล้ง’ แบบนี้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า
“ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าทหารกล้าอย่างคุณจะเกาะติดภรรยาขนาดนี้!”
“คุณไม่กลัวเหรอว่าทหารในกรมจะพูดว่าคุณเป็นคนกลัวเมีย?”
เฉียวเหลียนเฉิงตอบอย่างไม่ลังเล “ผมก็แค่ติดภรรยาของตัวเอง แล้วมันผิดอะไรเหรอ? ภรรยาแสนดีแบบนี้ ผมก็ต้องเอาอกเอาใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว!”
“คุณเองก็ลองเอาอกเอาใจภรรยาของคุณอย่างที่ผมทำดูสิ!”
พูดจบเขาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมา “อ้อ ผมลืมไปเลย คุณไม่มีภรรยานี่เนอะ!”
มันเฉียบคมเหมือนถูกแทงด้วยมีด แม้แต่หลิวเชี่ยนเชี่ยนที่กำลังกังวลเรื่องอนาคตก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา!
มู่เหย่โกรธจนหน้าดำ
เหอซานไห่กลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกันจริง ๆ จึงรีบถามเจียงหว่านขัดจังหวะทั้งสองคน
“บอกเราหน่อยสิว่าปุ๋ยเคมีจะทำกำไรได้แค่ไหน!”
เจียงหว่านวางแก้วน้ำลง อธิบายคร่าว ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานและต้นทุนการผลิตปุ๋ยเคมี!
ระหว่างที่เจียงหว่านพูด เฉียวเหลียนเฉิงก็นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
เขาไม่สามารถเข้าร่วมบทสนทนาเหล่านี้ได้ แต่เขารู้สึกชื่นชมอย่างมากเมื่อเห็นเจียงหว่านนั่งอยู่ตรงนี้และวางแผนกลยุทธ์อย่างใจเย็น
สมกับเป็นหว่านหว่านของเขา!
การมีเธอในชีวิตนี้ถือเป็นโชคดีที่สุดแล้ว!
ทั้งสามคนคุยกันอีกสักพัก สุดท้ายก็ตัดสินใจลองทำดู
ด้วยความที่เหอซานไห่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร ประกอบกับต้องการรับซื้อพืชผลทางการเกษตร เขาจึงสามารถดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรทั้งขายปุ๋ยเคมีและรับซื้อพืชผลได้
ส่วนมู่เหย่มีทุนหนา เขาจึงรับผิดชอบเรื่องเงินทุนและการขอใบอนุญาต
เจียงหว่านรับผิดชอบด้านการตัดสินใจและเทคโนโลยี ส่วนเหอซานไห่รับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของทีมผู้ก่อตั้งอาณาจักรธุรกิจขนาดย่อมที่จะดึงดูดผู้คนมากมายในอนาคต!
หลังจากนั้นเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงก็กินอาหารเย็นที่บ้านมู่เหย่ เสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ก่อนจากไป เจียงหว่านบอกมู่เหย่เกี่ยวกับเรื่องที่เธอเห็นคนแอบมองอยู่หน้าประตู
มู่เหย่ถามด้วยความตกใจว่า “เธอแทรกซึมเข้าไปในหมู่ศัตรูงั้นเหรอ ครั้งหน้าถ้าฉันเห็นเธอแต่งเป็นผู้ชายบนถนน ฉันก็จำเธอไม่ได้สิ!”
เจียงหว่านรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “อย่าพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ไหม ฉันทำไปเพื่อใครล่ะ!”
“แล้วเบาะแสที่ฉันให้ไปสืบก่อนหน้านี้ นายได้อะไรคืบหน้าบ้างไหม?”
มู่เหย่พยักหน้า “เจอแล้วล่ะ ลองดูสิ!”
เจียงหว่านรับมาพลิกดูคร่าว ๆ แล้วก็เก็บใส่กระเป๋า
“รอสายจากฉันนะ!”
พูดจบ เธอกับเฉียวเหลียนเฉิงก็เดินออกไป มู่เหย่ออกมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตู
กระทั่งออกจากประตูใหญ่ ทั้งสองก็หายไปในความมืด
เมื่อเห็นพวกเขาจากไป มู่เหย่จึงหันหลังกลับเข้าบ้าน แต่เขาก็บังเอิญเห็นไห่หรงเทียนยืนอยู่ที่หน้าประตู