เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 586 ไม่มีลูกกระเดือกแต่ลำคอหนาโคตร ๆ!
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 586 ไม่มีลูกกระเดือกแต่ลำคอหนาโคตร ๆ!
บทที่ 586 ไม่มีลูกกระเดือกแต่ลำคอหนาโคตร ๆ!
จู่ ๆ สหายคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ฉันก็คิดว่ามันแปลก ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว จะมีน้องสาวที่ไหนสูงกว่าพี่ชายกัน!”
“พวกเขาไม่มีสายเลือดเดียวกันหรือเปล่า!”
สหายอีกคนหนึ่งพูดบ้าง “ใครจะรู้ว่าพวกเขามาจากสายเลือดเดียวกันหรือเปล่า ยังไงซะพวกเขาก็นอนเตียงเดียวกัน”
“แต่ขอพูดย้ำอีกครั้ง หากไม่บอกว่าหลัวนีน่าเป็นผู้หญิง ฉันก็คิดว่าเธอเป็นผู้ชาย”
“ตอนมองจากด้านหลัง ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็เหมือนผู้ชาย แต่ดันมีหน้าอกแถมไม่มีลูกกระเดือกนี่สิ!”
“แต่ถึงไม่มีลูกกระเดือกแต่ลำคอหนาโคตร ๆ!”
ทั้งหมดถึงกับหัวเราะครืน แต่เสี่ยวติงกลับคิ้วขมวดและใจกระตุกเล็กน้อย!
เขาลังเลอยู่สักครู่ ก่อนจะเรียกหาสหายที่สนิทมาคนหนึ่ง จากนั้นก็พูดกระซิบข้างหูอีกฝ่ายสองสามประโยค
คนคนนั้นตอบรับก่อนเดินออกไป!
ด้านเจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิง ระหว่างทางที่ทั้งสองคนเดินไปห้างสรรพสินค้า เฉียวเหลียนเฉิงได้ไปเข้าห้องน้ำรอบหนึ่ง
เมื่อออกมาเขาก็กระซิบกับเจียงหว่าน
“ทางนั้นส่งข่าวมาว่าได้รับบัญชีรายชื่อแล้ว แต่เพราะกลัวพวกเราจะถูกสงสัย เลี่ยงจื่อจึงทำสำเนาบัญชีรายชื่อหนึ่งฉบับและทิ้งต้นฉบับไว้ริมถนน”
เจียงหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าพอจะเดาออกว่าเลี่ยงจือเป็นคนทำ แต่เพราะไม่มีการยืนยันเธอจึงไม่มั่นใจ
ตอนนี้ได้ยินคำยืนยันแล้ว ในที่สุดเธอก็ได้ถอนหายใจอย่างโล่งได้
“เรื่องของที่นั่นพวกเราก็ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นายไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ส่วนที่เหลือฉันจัดการเอง!” เจียงหว่านมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงกระซิบกับเฉียวเหลียนเฉิง
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหน้า “คนพวกนั้นยังไม่ถูกจับ ผมไม่วางใจ อีกอย่างยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังเขาอีก”
เจียงหว่านยิ้ม “เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องหลังจากอู่เยี่ยถูกจับเถอะ ให้พวกเลี่ยงจื่อกังวลก็พอ นายกลับไปทบทวนบทเรียนต่อได้แล้ว”
“ฉันจะวางแผนให้พวกมันกับถานหย่งไปฆ่าฟันกันเอง!”
เฉียวเหลียนเฉิงยังคงส่ายหน้า ถึงอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมกลับ
หากเจียงหว่านอยู่ที่นี่คนเดียวมันจะอันตรายเกินไป!
เจียงหว่านเห็นอย่างนั้นก็โมโหมาก
ทั้งสองไม่ได้เดินไปไหนยังคงจ้องหน้ากันอยู่ในห้างสรรพสินค้า
แต่ในขณะนั้น ก็มีเสียงรายการจากโทรทัศน์ที่อยู่ข้าง ๆ ในห้างสรรพสินค้าดึงดูดความสนใจของพวกเขา
‘ผ่านไปยี่สิบกว่าวันแล้วที่เกิดแผ่นดินไหวในชุนเฉิง เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ต่างพากันถอนกำลัง การปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อของผู้คนจากทุกสาขาอาชีพจำนวนมากที่บริจาคอาหารและทรัพย์สิน’
‘ครั้งนี้พวกเราได้เฟ้นหาผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อสองท่านมาสัมภาษณ์ ซึ่งพวกเขาเป็นผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง’
เจียงหว่านหันมองโทรทัศน์ทันที เพราะเธอเห็นคนที่คุ้นเคยบนหน้าจอขาวดำนั้น
นั่นคือคนเลวสองคนที่เธอเจอบนรถไฟ
สีหน้าคนคนนั้นดูอิดโรยนิดหน่อย เขานั่งอยู่ในห้องถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
พิธีกรถาม ‘ขอถามหน่อยได้มั้ยครับว่าทำไมคุณถึงบริจาคอาหารและเนื้อสัตว์ให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ประสบภัย?’
ชายคนนั้นตอบอ้ำอึ้ง ‘ผมอยากทำสิ่งดี ๆ ให้กับคนที่กำลังเดือดร้อนครับ!’
พิธีกรถามอีกว่า ‘งั้นทำไมคุณบริจาคอาหารที่ขึ้นราแล้วกับเนื้อหมูที่ส่งกลิ่นเหม็นล่ะครับ’
ชายอ้วนตกตะลึง เขาไม่สามารถตอบคำถามได้อีก
แล้วหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นภาพเหตุการณ์ ขณะกำลังแจกจ่ายอาหารให้แก่ผู้ประสบภัย
อาหารพวกนั้นมีราขึ้นจริง ๆ ซึ่งราเติบโตจนมีขนสีชมพูและจับตัวกันเป็นก้อน ๆ
อีกทั้งยังมีเนื้อด้วย ซึ่งในโทรทัศน์มีการระบุว่าเป็นเนื้อที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า
จากนั้นภาพหน้าจอก็ตัดกลับมายังพิธีกรที่กำลังมองชายอ้วนอีกครั้ง
‘อาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ทำไมคุณถึงกล้าส่งไปให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยครับ?’
‘คุณก็รู้ว่าเจตนาที่ทำแบบนี้คืออะไรและชาวบ้านต้องตายไปเท่าไหร่!’
ชายอ้วนอ้าปากค้าง เขาก้มหน้าด้วยความอับอาย
สุดท้ายการซักถามของพิธีกรก็ไม่เป็นผล ชายอ้วนรู้ว่าสิ่งนี้จะต้องฉายทางโทรทัศน์จึงไม่กล้าพูดความจริงออกมาเป็นธรรมดา
แต่เมื่อถูกบีบจนไม่มีทางเลือกก็ทำได้เพียงเสแสร้งว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง!
ตอนนี้คนที่ดูรายการโทรทัศน์ตรงที่เจียงหว่านดูอยู่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่คือปี 1986 หลาย ๆ ครอบครัวยังไม่มีโทรทัศน์
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะหลาย ๆ คนที่ไม่มีอะไรให้ทำก็มักจะมาห้างสรรพสินค้าเพื่อดูโทรทัศน์อย่างเช่นตอนนี้
ฉะนั้น บริเวณหน้าโทรทัศน์ในห้างสรรพสินค้าจึงมักจะมีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่หรือบางครั้งก็มีม้านั่งตัวเล็ก ๆ ให้ด้วย เพื่อให้ผู้คนเข้ามานั่งดู
การสัมภาษณ์ชายอ้วนเมื่อสักครู่ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
แล้วคนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะด่าสาปแช่งด้วยความโกรธ
“ไอ้หมอนั่นมันเลวจริง ๆ คนในพื้นที่ที่ประสบภัยไม่ได้ตายจากแผ่นดินไหว แต่ต้องมาตายด้วยน้ำมือของมัน”
“น่ารังเกียจมาก!”
“ฉันรู้จักไอ้หมอนั่น เขาเปิดโรงงานน้ำมันพืชอยู่ในเหยียนจิง”
“โรงงานนั่นอยู่ตรงถนนใหญ่จูเชวี่ย!”
ตอนนี้ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างคราคร่ำ เจียงหว่านก็มองภาพนั้นด้วยใจที่มีความสุข ดูเหมือนว่าหมอนั่นกำลังจะถูกล่าแม่มดสินะ
ทันใดนั้น ภาพหน้าจอก็เปลี่ยน กลายเป็นภาพของเหอซานไห่กับหลิวเชี่ยนเชี่ยนอย่างไม่คาดฝัน
ดวงตาของเจียงหว่านถึงกับเบิกโพลง
พิธีกรยังไม่ทันกล่าวคำใด ผู้คนรอบ ๆ ที่เห็นภาพหน้าจอเปลี่ยนไปก็พูดว่า
“มาดูกันสิว่าสองคนนี้เป็นยังไง จะหลอกผู้คนด้วยการส่งอาหารที่ขึ้นรากับเนื้อสัตว์เหม็นเน่าไปหรือเปล่า!”
“สองคนนี้เหมือนจะไม่ใช่คนดีนะ ดูผู้หญิงคนนั้นสิ หน้าตาท่าทางดูไม่ใช่คนดีเลย จะต้องเป็นคนใจดำแน่นอน!”
เจียงหว่านอึ้ง “…”
เฉียวเหลียนเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ มีสีหน้ามืดมน เขารีบแตะหลังมือเจียงหว่านเพื่อปลอบใจ
ขณะนั้นเอง เสียงพิธีกรในโทรทัศน์ก็ดังขึ้น ‘การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ยังมีบุคคลดีเด่นที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่สองท่าน’
‘ท่านนี้คือสหายเหอซานไห่ที่บริจาคข้าวนับหมื่นตัน’
‘แน่นอนว่าเขาบริจาคแต่ข้าวที่มีคุณภาพ’
ภาพหน้าจอเปลี่ยนเป็นตอนที่เหอซานไห่ขนย้ายข้าว และมีนักข่าวสุ่มเปิดปากกระสอบดู
“พระเจ้า ข้าวพวกนี้ดีมาก ข้าวที่บ้านฉันกินยังไม่ดีขนาดนี้เลย!”
“นั่นน่ะสิ บริจาคข้าวพวกนี้ให้พื้นที่ที่ประสบภัย ถือว่าจิตใจดีมากจริง ๆ”
“อั๊ยหย่า จริง ๆ ต่อให้ไม่ต้องดีขนาดนี้ก็ไม่เสียหายอะไรนะ!”
แล้วถาพก็ตัดมายังพิธีกรที่กำลังมองเหอซานไห่ ‘สหายเหอซานไห่ครับ ผมขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงบริจาคข้าวมากขนาดนี้!’
เหอซานไห่ยิ้มอ่อน ‘ก่อนอื่นผมขอแก้ข่าวอะไรสักหน่อย ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับที่บริจาคข้าวมากมายขนาดนี้ ผมยังมีผู้ถือหุ้นด้วยคนหนึ่ง’
‘ผม เหอซานไห่ไม่ใช่คนจิตใจดีอะไรขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ตราบใดที่ผมกินอิ่มนอนหลับและหาเงินได้นิด ๆ หน่อย ๆ มันก็เพียงพอแล้ว’
‘แต่ว่าผู้ถือหุ้นของผมไม่ได้คิดแบบนั้น เธอเป็นภรรยาทหาร สามีของเธอปกป้องประเทศชาติ และเธอก็แค่อยากทำอะไรบางอย่างให้กับประชาชนที่สามีเธอได้สู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องไว้’
‘ฉะนั้น เธอจึงต้องการบริจาคข้าวพวกนี้ทั้งหมด เดิมทีเธออยากบริจาคเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ แต่ผมคิดดูแล้วมันอาจจะน่าอายไปหน่อยสำหรับผม!’
‘เธอเป็นผู้หญิงแต่มีความกล้าหาญขนาดนี้ ผู้ชายอย่างผมจะตามอยู่ข้างหลังได้อย่างไร ผมจึงบริจาคด้วยอีกส่วนนึง’
พิธีกรได้ยินก็ตกใจมาก จึงถามด้วยความสงสัย
‘ของพวกนี้คือสินค้าทั้งหมดของพวกคุณเหรอครับ?’
เหอซานไห่ส่ายหน้า ‘ไม่ทั้งหมดหรอก แม้ว่าพวกเราจะเป็นพ่อค้า แต่ก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป ของพวกนี้เป็นเพียงส่วนที่เหลือจากจำนวนรายวันของพวกเราและส่วนหนึ่งมาจากที่กักตุนเพื่อให้มีหมุนเวียนเท่านั้น’
‘หากใช้คำพูดของภรรยาทหารท่านนั้นก็คือ พวกเราจะทำงานสูญเปล่าแค่ปีเดียวเท่านั้น!’
พิธีกรหัวเราะ
แล้วผู้คนที่อยู่ข้างหลังเจียงหว่านก็หัวเราะเช่นกัน