เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 584 ไห่อวิ๋นหลง : ถึงตอนนั้น เด็กนั่นจะยังอยากรู้จักกับแกอยู่หรือเปล่า?
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 584 ไห่อวิ๋นหลง : ถึงตอนนั้น เด็กนั่นจะยังอยากรู้จักกับแกอยู่หรือเปล่า?
บทที่ 584 ไห่อวิ๋นหลง : ถึงตอนนั้น เด็กนั่นจะยังอยากรู้จักกับแกอยู่หรือเปล่า?
‘คราวนี้ลูกสาวของเธอมาหา และยังทิ้งเงินไว้ให้เธอสองร้อยหยวนด้วย’
หลังจากนั้นไป๋อวี้ซิ่วก็เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหลี่หงเหมยแม่สามีเธอกับเจียงหว่านสะใภ้ใหญ่เอาไว้
สรุปก็คือ ไป๋อวี้ซิ่วรู้เรื่องอะไรมาก็พูดออกไปทั้งหมด
หลี่หงเหมยกับเฉียวเหลียนเย่ถูกหักหลังโดยสิ้นเชิง
ส่วนด้านหลังคำให้การพวกนี้เป็นรายงานการตรวจสอบ
ในรายงานมีข้อมูลกับแหล่งที่มาของงูพิษตัวหนึ่ง และงูพิษตัวนี้ก็คือตัวที่จู่โจมไห่อวิ๋นหลงในตอนนั้น
โดยแหล่งที่มาจากการไล่สอบสวนพบว่า คนที่เอางูมาปล่อยเป็นลูกน้องของถานหย่ง เขายอมรับผิดเองและไม่พูดโบ้ยใครเลย
แต่เขาก็ไม่มีการกล่าวอ้างถึงไห่หนิงซวง
แม้จะมีคนเป็นพยานว่าเห็นไห่หนิงซวง ก่อนที่จะเจองูพิษ
แต่เขากลับยอมรับว่าเป็นตัวเองทำทุกอย่าง เขาโยนงูพิษออกไปเพื่อจะใส่ร้ายเจียงหว่าน
ส่วนไห่อวิ๋นหลงเขาไม่รู้ว่าเป็นใครและไม่มีเจตนาที่จะทำร้าย
เมื่อถูกถามว่าเขากับเจียงหว่านมีเรื่องขุ่นเคืองใจอะไรกัน คนคนนั้นลังเลอยู่นานก่อนพูดอ้อมแอ้มว่า ถานหย่งเจ้านายของเขากับเจียงหว่านมีความบาดหมางกัน และได้ยินเจ้านายพูดอยู่หลายครั้งว่าอยากแก้แค้นแทนภรรยา
เขาที่อยากทำให้ลูกพี่พอใจจึงลงมือทำโดยพลการ
โดยปกติแล้ว สิ่งเหล่านี้ฟังพอได้และอาจเป็นข้อเท็จจริง แต่เมื่อนำมาปะติดปะต่อกันก็รู้สึกว่าดูแปลกอยู่บ้าง
หลังจากอ่านเอกสารเสร็จ สีหน้าของไห่หรงเทียนก็ยิ่งไม่น่ามอง
ไห่อวิ๋นหลงพูด “ไม่ใช่ว่าแกเป็นนายพลแล้วแกจะคิดว่าแกถูกอยู่คนเดียวแต่คนอื่นผิดหมดได้!”
“ลูกสาวของแกเดินทางออกจากเหยียนจิงไปถึงหลินเฉิง เพื่อแค่ไปเจอเฉียวเหลียนเฉิงและเพื่อไปให้เงินแม่ของเขางั้นเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้ลูกสาวของแกแทบไม่เคยพัวพันกับเฉียวเหลียนเฉิงเลยสักนิด!”
“ฉะนั้น ใครสร้างปัญหาให้ใครกันแน่!”
“ท่านนายพลกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?”
“หรือน้ำเข้าไปในสมอง หูโดนอุดไปด้วยขนหมูเหรอ?!”
ไห่อวิ๋นหลงดุด่าอย่างแรงจนไห่หรงเทียนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
กระทั่งไห่อวิ๋นหลงด่าจนเหนื่อย ไห่หรงเทียนจึงค่อย ๆ พูดแก้ต่างให้ตัวเอง
“พ่อใจเย็น ๆ แล้วฟังคำอธิบายของผมหน่อย!”
ไห่อวิ๋นหลงพูดเสียงเรียบ “ได้ แกพูดมาสิ!”
ไห่หรงเทียนพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ “ผมก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนนี้ปัดเรื่องเฉียวเหลียนเฉิงทิ้งไปก่อน แต่พ่อลองคิดดูสิ ถ้ามีคนมาที่บ้านแล้วบอกพ่อว่า ผมไม่ใช่ลูกของพ่อและถูกคนสลับเปลี่ยนตัวไปตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อจะเชื่อเหรอ?”
ไห่หรงเทียนไม่คิดว่าหลังจากพูดจบ พ่อของเขาจะพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ใช่ ฉันเชื่อ เพราะว่าฉันไม่มีลูกชายโง่ ๆ แบบแก!”
ดวงตาที่คับข้องใจของไห่หรงเทียนเต็มไปด้วยความโกรธ “พ่อ! ใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหม ฟังคำอธิบายของผมหน่อย!”
ไห่อวิ๋นหลงสูดหายใจเข้าก่อนหันหน้ามองไปทางอื่น “แกพูดมาสิ ฉันฟังอยู่!”
ไห่หรงเทียนถอนหายใจ
แม้ว่าพ่อของเขาจะมีนิสัยใจร้อนโผงผาง แต่ก็ปฎิบัติต่อนายทหารเหมือนลูกชายของตัวเอง ทว่ากลับปฏิบัติต่อลูกชายเพียงคนเดียวอย่างโหดร้ายราวกับลมในฤดูใบไม้ร่วง
ดูสิ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็แทบไม่ฟังเขาอธิบายเลย
ไห่หรงเทียนถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่ ก่อนค่อย ๆ พูดจาอย่างมีวาทศิลป์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทุ่งนาในปีนั้น
สุดท้ายเขาก็พูดว่า “ตอนภรรยาของผมตั้งครรภ์ เธอก็เคยไปตรวจที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถระบุเพศได้ แต่พยาบาลกับหมอที่มีประสบการณ์ต่างบอกว่าภรรยาของผมตั้งครรภ์ลูกผู้หญิง!”
“ใจของเธอเองก็อยากได้ลูกผู้หญิงสักคนอยู่แล้ว!”
“ตอนที่คลอด แม้ว่าภรรยาของผมจะสลบไป แต่มันก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น”
“ตอนลืมตาขึ้นมาเห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมแขน เธอดีใจมาก ๆ”
“หลังจากนั้นผ่านไปไม่ถึงเดือน จู่ ๆ หลี่หงเหมยก็มาหาเรา และบอกว่าลูกถูกเธอสลับสับเปลี่ยน”
“แต่เด็กผู้ชายเปลี่ยนเป็นเด็กผู้หญิง ไม่ใช่เด็กผู้หญิงเปลี่ยนเป็นเด็กผู้ชายด้วยซ้ำ”
“คนที่หมู่บ้านชนบทให้ความสำคัญเกี่ยวกับแนวคิดชายหญิงมาก ๆ ในเมื่อเธอได้เด็กผู้ชายไป ทำไมถึงต้องอยากแลกลูกกลับคืนด้วย”
“หากเรื่องนี้ผ่านไปหลายปี แล้วเธอคิดถึงลูกขึ้นมาเลยมาหา มาบอก มันก็พอเข้าใจได้”
“แต่นี่ผ่านไปไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ทำไมเธอถึงคิดถึงลูกและรู้สึกถึงผิดชอบชั่วดีขึ้นมาได้แล้วล่ะครับ!”
ไห่อวิ๋นหลงเงียบไป เพราะสิ่งที่ลูกชายพูดมาก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนระดับสูงจากทุกหนทุกแห่งต่างเข้าหาพวกเขาเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าหลี่หงเหมยถูกคนมัวเมาให้มาทำแบบนี้หรือเปล่า
จึงต้องป้องกันไว้ก่อน!
และไห่หรงเทียนยังพูดถึงเรื่องที่ไห่หนิงซวงไปหาเฉียวเหลียนเฉิงอีกด้วย
“เฉียวเหลียนเฉิงเป็นอันดับหนึ่งในกองทัพ ส่วนไห่หนิงซวงไม่เต็มใจแต่งงานกับเฉินผิง และอาจมีใจให้เฉียวเหลียนเฉิง”
“อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติที่หญิงงามจะชอบผู้ชายที่เก่งและความสามารถ”
“ต่อมาเธอยังบอกผมอีกว่า เธอได้ยินว่าสะใภ้กับแม่ของเฉียวเหลียนเฉิงไม่ได้รักใคร่ปรองดองกัน ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นเธอจึงไปเยี่ยม หลังจากนั้นก็เห็นว่าแม่สามีคนนั้นช่างน่าสงสาร เลยทิ้งเงินไว้ให้”
“พ่อ หนิงซวงไม่ได้ทำผิด คนที่ผิดคือสะใภ้คนนั้นที่ทำร้ายทารุณแม่สามีมากเกินไป!”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือมูลเหตุอะไรก็ตาม แต่แม่สามีคือผู้หลักผู้ใหญ่ ลูกสะใภ้ควรมีความอดทนมากกว่านี้”
“การเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศเรานะครับ!”
ไห่อวิ๋นหลงถลึงตา ทำให้ไห่หรงเทียนที่ขึ้นเสียงใส่เบาเสียงต่ำลง
จนในที่สุดไห่อวิ๋นหลงก็ถามเขาว่า “กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของแกรับเฉียวเหลียนเฉิงเข้ามาแล้ว ทำไมถึงส่งตัวเขากลับไป!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ไห่หรงเทียนก็ยิ่งน้อยใจ “พ่อ ผมไม่ได้ทำนะ!”
“ตอนแรกผมไม่ได้จะปลดเขาจากกองกำลังพิเศษ แค่อยากให้เขาได้พิจารณาตัวเองและสำนึก แต่ตอนผมจะเขียนหมายเหตุลงไปในเอกสารตีกลับ ตอนนั้นเฉียวเหลียนเฉิงก็ยอมรับว่าตัวเองลงมือกับคนธรรมดา”
“ผมนึกไม่ถึงเลยว่าเขาเป็นทหารมาหลายปีแล้วแต่ไม่สามารถควบคุมระงับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ทุบตีชาวบ้านได้ คนแบบนี้มีคุณสมบัติทางทหารที่ไหน แล้วผมจะกล้ารับได้อย่างไร!”
“นี่ไม่ใช่นายทหาร แต่คือนักเลงชัด ๆ!”
ไห่หรงเทียนหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนพูดว่า “ความตั้งใจแรกของผมคือแค่อยากให้เขาปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองสักหน่อย แล้วค่อย ๆ ฝึกฝนไป!”
“แต่ต่อมามันก็กลับตาลปัตรเพราะผมเพิ่งจะรู้ว่าเขาไม่ผิด”
“บอกตามตรงผมก็ชื่นชอบเด็กคนนี้เหมือนกัน แต่เป็นตัวเขาเองที่ไม่ยอมกลับมา!”
ไห่อวิ๋นหลงมองลูกชายด้วยสายตาที่เรียบเฉย
ส่วนไห่หรงเทียนเบะปากด้วยความน้อยใจ “ผมไปหาตงหัว แต่ตงหัวก็บอกว่าเด็กนั่นกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย!”
“ผมไม่อยากให้เขาเป็นแค่ทหารไปตลอดชีวิต เพราะว่าเขาดูคล้ายกับลูกชายของผมมาก ผมอยากให้เขามีอนาคตไกลกว่านี้ จึงอยากให้เขาเตรียมตัวสอบอย่างสบายใจ!”
“อีกอย่างก็พ่อไม่ใช่เหรอที่บอกว่ามีคนมากมายถึงขนาดยอมทำศัลยกรรมเพื่อเข้าใกล้พวกเรา”
“พอผมมาคิดอีกทีว่าทำไมเด็กนั่นกับไห่จิ่งถึงหน้าคล้ายกันขนาดนี้!”
“ผมจึงตัดสินใจว่าจะลองสังเกตดูก่อน”
ไห่อวิ๋นหลงกัดฟันด้วยความโกรธ “แกไม่เคยคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงบ้างเหรอ? เฉียวเหลียนเฉิงอาจจะเป็นลูกชายของแกก็ได้?”
ไห่หรงเทียนเงียบไป ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย “ผมก็เคยคิด!”
“ตอนเจอเขาครั้งแรก ผมก็เคยคิดว่าลูกชายคนนี้ของผมเก่งมาก!”
“ฉะนั้นผมจึงอยากจะปลูกฝังเขาอย่างสุดความสามารถ”
“แต่พ่อ ผมไม่สามารถสงสัยลูกสาวที่ผมเลี้ยงมายี่สิบกว่าปีด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ได้”
“พวกเราจะต้องมีหลักฐาน หากไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้!”
“ฉะนั้นพ่อ เฉียวเหลียนเฉิงอยู่แค่ใต้หนังตาของเรา พวกเรามาลองดูกัน…”
ไห่อวิ๋นหลงถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และพูดออกไปด้วยความโศกเศร้า
“แกคิดว่าเด็กคนนั้นจะรอให้แกเห็นและเข้าใจหรือไง?”
“แกคิดว่าเด็กคนนั้นจำแกได้เลยอยากจะมาประจบสอพลองั้นหรือ?”
ไห่หรงเทียนถึงกับมึนงง
ไห่อวิ๋นหลงพูดต่อ “หากรอให้แกมั่นใจ เด็กนั้นก็คงท้อแท้ไปแล้ว แกคิดว่าถึงตอนนั้น เด็กนั่นจะยังอยากรู้จักกับแกอยู่หรือเปล่า?”