เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 579 ซาลาเปาหายไปไหนสามลูก?
บทที่ 579 ซาลาเปาหายไปไหนสามลูก?
“พวกนายมีอะไรกัน? เสี่ยวติง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงพี่เจียงถึงโกรธขนาดนี้?” อู่เยี่ยเดินออกมา ถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เสี่ยวติงลังเลที่จะตอบ
แต่เจียงหว่านกลับพูดออกไปว่า
“พวกนายไม่ไว้ใจฉัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาปูนขาวมาโรยที่ลานหน้าบ้านของฉันหรอก!”
“ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่…สิ่งที่ฉันได้รู้ตอนนี้คือพวกนายไม่ไว้ใจฉัน!”
“ฉันไม่เคยบอกว่าฉันอยากจะไปกับพวกนาย อู่เยี่ย ลืมเรื่องธุรกิจของเราไปได้เลย”
“ตอนนี้พวกนายจับตามองฉันอย่างกับขโมย ฉันพูดถูกไหมล่ะ?”
ใบหน้าของอู่เยี่ยบิดเบี้ยวน่าเกลียด ก่อนจะหันมองเสี่ยวติงด้วยความสงสัย
เสี่ยวติงสร้างปัญหาเสียแล้ว
เห็นชัดว่าเขาเป็นคนอยากรู้อยากเห็นมากที่สุด แต่จะอธิบายเรื่องนี้ออกไปยังไงดี
ขณะทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียง ทันใดก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของเจียงหว่าน
“พี่คะ จะไปไหนเหรอ?”
ทั้งหมดหันศีรษะกลับไปด้วยความประหลาดใจทันที
เจียงหว่านถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเฉียวเหลียนเฉิงสวมใส่ชุดผู้หญิงอยู่ และพยายามบีบเสียงอย่างสุดกำลัง
เสี่ยวติงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เวลานี้เขาตระหนักได้ถึงบางอย่างแล้ว เขามองลงไปด้านล่าง ผู้หญิงตรงหน้าสวมใส่รองเท้าขนาดสี่สิบสามจริง ๆ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
“เสี่ยวเจียง พี่ซ่อนผู้หญิงไว้จริง ๆ!”
เจียงหว่านเหลือบมองเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะหันไปหาเฉียวเหลียนเฉิง
“น้องสาว ทำไมถึงมาที่นี่? มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เฉียวเหลียนเฉิงพยายามบีบเสียงและตอบออกไปให้เป็นธรรมชาติที่สุด
“ฉันถามเลี่ยงจือน่ะ เขาบอกว่าพี่อยู่ที่นี่ ฉันก็เลยเดินมาตามทางที่เขาบอก”
“ฉันมาถึงตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนแล้ว เห็นว่าพี่กำลังหลับสบายเลยไม่ได้กวน ฉันก็เลยแค่ล้มตัวนอนลงข้าง ๆ!”
เจียงหว่านแสร้งทำประหลาดใจ
“เมื่อคืนเธอมาที่นี่ด้วยเหรอ?”
“ฉันก็ว่ารอยเท้ามันคุ้น ๆ!”
เฉียวเหลียนเฉิงเผยสีหน้าสับสน “ทำไมล่ะ? ก็ฉันไง เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เจียงหว่านส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าไม่มีอะไร
เสี่ยวติงถามด้วยความสับสน “แล้วก่อนหน้านี้เธอไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมฉันไม่เห็น?”
เฉียวเหลียนเฉิงหันกลับมาอย่างไม่พอใจ “คุณเป็นใคร? ทำไมถึงกล้าตั้งคำถามกับฉันแบบนี้?”
เจียงหว่านรีบพูดขึ้นว่า “เขาเป็นอดีตพี่น้องของฉันน่ะ!”
อดีตพี่น้อง?
เสี่ยวติงกับอู่เยี่ยถึงกับสับสน
เจียงหว่านอธิบาย “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเป็นพี่น้องกัน แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว!”
เสี่ยวติงถึงกับพูดไม่ออก
เขาหดหู่ใจและอยากจะอธิบาย “พี่ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ ผมเข้าใจผิดเอง!”
เจียงหว่านสบถออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะหันไปหาเฉียวเหลียนเฉิง “แล้วเธอไปอยู่ตรงไหนมา ทำไมฉันไม่เห็นเธอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงกะพริบตา กล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา
“จู่ ๆ เขาก็เข้ามา ฉันกลัวเพราะไม่รู้จักเขา และไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ฉันก็เลยซ่อนตัวน่ะค่ะ”
เสี่ยวติงถามทันที “เธอไปซ่อนตัวที่ไหน?”
เขาค้นหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบเจอใครในห้องเลย
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง “ก็อยู่ในบ้าน คุณมองด้านหน้า ฉันก็อยู่ด้านหลัง คุณมองทางซ้าย ฉันก็อยู่ทางขวา”
“คุณเดินมาทางขวา ฉันก็ออกไปนอกหน้าต่าง!”
“ฉันไม่รู้จักคุณ ใครจะรู้ว่าคุณเข้ามามีจุดประสงค์อะไร!”
เสี่ยวติงถึงกับพูดไม่ออก
อู่เยี่ยเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน
ผ่านไปสักครู่ เจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงเดินตามอู่เยี่ยเข้าไปในลานบ้านของเขา
ใบหน้าของเจียงหว่านยังคงบูดบึ้งเช่นเดิม “ฉันอธิบายเรื่องรอยเท้าชัดเจนแล้ว เอาละ เรามาพูดเรื่องปูนขาวกันดีกว่าไหม?”
“นายไม่เชื่อใจฉัน!”
เสี่ยวติงเผยสีหน้าขมขื่น
“ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ปกติแล้วเวลาที่ผมไม่อยู่บ้านหรือต้องออกไปข้างนอก ผมจะโรยผงสีขาวเอาไว้เพื่อดูว่ามีใครเข้ามาตอนที่ผมไม่อยู่หรือเปล่า!”
เจียงหว่านเย้ยหยัน “ถ้าอู่เยี่ยพูดอย่างนั้นก็ว่าไปอย่าง ยังไงเขาก็คือเจ้านาย มีความลับมากเป็นธรรมดา”
“แต่นายเป็นใคร? มีอะไรต้องซ่อน? ก็แค่ลูกกะจ๊อกคนนึงไม่ใช่เหรอ?”
คำว่า ‘ลูกกะจ๊อก’ ถูกใช้อย่างแพร่หลายในก่างเฉิง และมันได้รับความนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้
แม้เสี่ยวติงจะรู้ว่าตนคือลูกกะจ๊อก แต่ก็ไม่ชอบที่จะได้ยินคำเหล่านี้นัก
มันทำให้เขากลายเป็นคนด้อยกว่า และไม่สนิทสนมอย่างเมื่อก่อนที่เรียกขานกันว่าพี่น้อง
เขาอยากจะเปิดปากปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
ส่วนอู่เยี่ยไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลายจึงพูดขึ้นว่า “เอาละ ลืมเรื่องบาดหมางไปซะ ปกติแล้วพวกเราก็จะทำอย่างนี้ตลอด!”
“พี่เจียงอย่าตะขิดตะขวงใจเรื่องวันนี้เลย เราควรจะมุ่งเป้าหมายไปที่อนาคตมากกว่านะ!”
“อีกอย่าง ในเมื่อน้องสาวของพี่เจียงอยู่ที่นี่แล้ว เสี่ยวติงก็มาอยู่กับฉันแล้วกัน ลานนั้นยกให้พี่เจียงไป!”
“ในลานนั้นพี่ทำทุกสิ่งที่พี่ต้องการได้เลย และพวกเราจะไม่ไปยุ่งเกี่ยว ตกลงไหม?”
เจียงหว่านรู้ดีว่าเธอไม่สามารถแข็งข้อมากเกินไปได้ จึงยังจำเป็นต้องแสร้งยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
แต่ก่อนที่จะเดินออกไป เธอก็พึมพำบางคำเบา ๆ จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “นี่คือการกลั่นแกล้งชัด ๆ คงเห็นฉันไม่มีความสามารถ เสือร่วงสู่พื้นที่ราบก็ถูกสุนัขรังแกสินะ!”
เสี่ยวติงยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้น แต่หลังจากเห็นสายตาของอู่เยี่ยแล้ว เขาจึงต้องอดกลั้นเอาไว้
เจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงกลับมาที่ลานด้านข้าง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่นแล้ว เจียงหว่านก็รีบคว้าเฉียวเหลียนเฉินเข้าประตูพร้อมกับลงกลอนแน่นหนา
“ทำไมถึงออกมา?”
เธอกระซิบถามแผ่วเบา
เฉียวเหลียนเฉิงตอบกลับ
“ผมเห็นว่าเขากำลังสร้างปัญหาให้กับคุณ และรู้ว่าคุณถูกพวกเขาสงสัยแล้วก็เลยปลอมตัว!”
เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะหดหู่ “นายมาแบบนี้ แล้วจะขโมยบัญชีรายชื่อของอู่เยี่ยได้ยังไง?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
“เอาน่า ไว้ค่อยคิดทีหลัง!”
เจียงหว่านเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามสถานการณ์ไป
ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันสักพัก ไม่นานเสี่ยวติงก็มาเรียกพวกเขาให้ไปกินข้าวที่ลานด้านข้าง
เมื่อได้พบกันอีกครั้ง เจียงหว่านก็คล้ายว่าจะคลายความโกรธลง และเฉียวเหลียนเฉิงก็ปฏิบัติตัวอย่างสุภาพมากขึ้น
ส่วนอาหารของมื้อนี้คือซาลาเปากับซุปกะหล่ำปลี
ตามปกติแล้ว ในชนบทจะไม่มีอาหารอย่างแป้งทอดในมื้อเช้า เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของที่เหลือจากเมื่อคืน และถูกนำมาอุ่นในเช้าวันถัดมา
แต่เวลานี้เสี่ยวติงกลับหยิบยกซาลาเปาออกมาหนึ่งหม้อ
อู่เยี่ยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นซาลาเปา
“นายซื้อมาเหรอ?”
เสี่ยวติงพยักหน้า “ครับ เมื่อคืนผมเข้าเมืองไปซื้อยา เลยแวะซื้อมันมาจากร้านอาหารด้วย”
“ตอนนี้เราอยู่ด้วยกัน ซาลาเปาสักหม้อคงไม่เป็นไร ถือว่าได้โอกาสกินอาหารที่มีรสชาติบ้าง!”
“สำหรับเช้านี้ผมซื้อมาสิบลูก แต่ไม่รู้ทำไมมันหายไปสามลูก…”
หลังเจียงหว่านได้ยินว่ามีซาลาเปาหายไปสามลูก เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหน้าอกของเฉียวเหลียนเฉิง
เพราะหน้าอกที่ควรจะแบนราบ แต่ตอนนี้มันกลับนูนขึ้นมา
เอาละ ตรงนั้นน่าจะมีสองลูก แล้วอีกลูกหนึ่งอยู่ที่ไหน?
เฉียวเหลียนเฉิงเห็นการจ้องมองของเจียงหว่านจึงไอเบา ๆ แล้วพูดว่า
“ฉันไม่หิวนะคะ พวกคุณสามารถกินกันได้ตามสบาย!”
หลังพูดจบ ทันใดเขาก็หันหลังพร้อมเดินออกไป
เจียงหว่านจึงเข้าใจเรื่องราวทันที เหมือนว่าอีกลูกหนึ่งจะอยู่ในท้องของเขาแล้ว
เสี่ยวติงเห็นหญิงสาวไม่ยอมกินอาหารด้วย เขาถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
“หรือว่าอาหารมื้อนี้ไม่อร่อยเลยทำให้เธอไม่อยากกิน?”
เจียงหว่านจ้องมอง “เธอเป็นน้องสาวของฉัน ไม่ใช่น้องสาวของนาย! หยุดม่อน้องสาวของฉันได้แล้ว!”
เสี่ยวเจียงทำหน้าฉุนเฉียว จ้องมองหมีใหญ่ผู้ละโมบในตัวน้องสาวของตนอยู่
เสี่ยวติงยิ่งหดหู่มากกว่าเดิม
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว อู่เยี่ยก็พูดขึ้นว่า
“อีกสองวันคนของเราก็จะกลับมาแล้ว ฉันเลือกคนไว้ให้เสี่ยวติงเรียบร้อย พี่สามารถพาเสี่ยวติงออกไปดำเนินการตามแผนของพวกเราได้เลย!”
เจียงหว่านพึมพำพร้อมลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปด้วยความรังเกียจฉายชัดบนใบหน้า
เสี่ยวติงมองอู่เยี่ยแล้วพูดขึ้นว่า “อู่เยี่ย ผมทำให้พี่เจียงขุ่นเคืองไปซะแล้ว! ทำไมพวกนายน้อยถึงได้เอาใจยากนักนะ!”
อู่เยี่ยหัวเราะเบา ๆ “แบบนี้แหละดีแล้ว อย่างน้อยเขาก็ยังมีนิสัยเหมือนกับชายหนุ่มเลือดร้อนอยู่บ้าง”
“อีกทั้งท่าทางที่เขาทำเหมือนกับว่าพวกเราเป็นพี่น้องที่แสนดีก่อนหน้านี้มันปลอมเปลือกเกินไป!”
เสี่ยวติงเองก็คิดแบบนั้น หลังได้ยินแล้วเขาก็ผ่อนคลายลงได้
ถ้าหากเจียงหว่านอยู่ที่นี่ และได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เธอคงอดไม่ได้ที่จะสบถ ‘บัดซบ!’ ออกมา