เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 530 เจียงหว่าน : ถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ฉันก็จะแจ้งข่าว
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 530 เจียงหว่าน : ถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ฉันก็จะแจ้งข่าว
บทที่ 530 เจียงหว่าน : ถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ฉันก็จะแจ้งข่าว
“ตอนนั้นพวกเราจึงไปยังสถานีตำรวจกัน”
“หลังจากหลี่หงเหมยถูกสอบปากคำ เธอก็พูดทุกอย่างออกมา เธอบอกว่าอยากให้ลูกชายมีชีวิตที่ดีจึงตั้งใจโกหกว่าอุ้มเด็กไปผิด!”
“เธอคิดว่ากลอุบายแบบเดียวกันจะสามารถใช้ได้ถึงสองครั้งเหรอ!”
“ตอนนี้ฉันบอกเธอได้เลยว่า ไห่หนิงซวงคือลูกสาวของฉัน ลูกสาวที่ฉันคลอดเอง”
“และต่อจากนี้ได้โปรดอย่าได้พูดคำพูดพวกนี้อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาท!”
หลังจากอีกฝ่ายพูดจบ เจียงหว่านก็นิ่งอึ้งไป
เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าหลังจากนั้นหลี่หงเหมยยังไปหาลูกอีก
หมายความว่าอย่างไร มาคิดได้ทีหลังเหรอ?
และเพราะการกระทำที่ไม่คิดของหลี่หงเหมยในตอนนั้น ทุกอย่างจึงยากขึ้น ถ้าเจียงหว่านอยากให้ตระกูลไห่ยอมรับเฉียวเหลียนเฉิงก็เหลือแต่ต้องรอให้เทคโนโลยีระบุดีเอ็นเอได้รับการยอมรับแล้ว
ในใจของเจียงหว่านรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ทั้ง ๆ ที่เฉียวเหลียนเฉิงเป็นลูกที่แท้จริงแท้ ๆ แต่นายน้อยที่แท้จริงแบบเขากลับถูกมองว่าเป็นคนน่ารังเกียจที่วางแผนจะฉกชิงชีวิตที่สุขสบายของคนอื่น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก
ตอนนี้เจี๋ยไห่เสียกับไห่หนิงซวงออกไปแล้ว
แม้ไห่หนิงซวงจะไม่รู้ว่าแม่ของตัวเองพูดอะไรกับเจียงหว่าน แต่ตอนที่เห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของเจียงหว่าน หล่อนก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนเดินออกไป ไห่หนิงซวงก็เห็นเจียงหว่านเดินเข้ามา หล่อนจึงตั้งใจเชิดหน้าใส่เธอและเปิดปากพูดคำสองคำโดยไม่มีเสียง
“อีโง่!”
ดวงตาของเจียงหว่านลุกเป็นไฟโดยพลัน ความร้อนลุ่มกำลังแผดเผาอยู่ภายในก้นบึ้งของหัวใจ
ครั้งนี้เธอไม่คิดว่าตระกูลไห่จะยอมรับเฉียวเหลียนเฉิงจริง ๆ อยู่แล้ว
และเพื่อให้เฉียวเหลียนเฉิงได้ระบายความโกรธ เธอจะปล่อยไห่หนิงซวงทำตัวน่ารำคาญไปก่อน!
แม้ว่าตระกูลไห่จะเห็นความสำคัญ แต่หากไม่มีหลักฐานก็ไร้ประโยชน์
ไห่หนิงซวงออกไปได้ไม่นาน มู่เหย่ก็มา
“ฉันเพิ่งจะกลับถึงบ้านก็ได้ข่าวเลยรีบวิ่งออกมา ไห่หนิงซวงล่ะ!”
เจียงหว่านส่ายหน้า พูดสิ่งที่เจี๋ยไห่เสียพูดก่อนหน้านี้อย่างซึม ๆ
มู่เหย่ถึงกับตกใจ “หลี่หงเหมยนี่บ้าไปแล้วหรือเปล่า เธอเปลี่ยนตัวเด็กไปแล้ว แต่เพิ่งจะมาคิดได้เหรอ?”
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลไห่ พวกเขาไม่สงสัยอะไรสักนิดเลยรึไง?”
เจียงหว่านฝืนยิ้ม “หลังจากคุณนายไห่คลอดลูก เธอคงไม่มีเวลาดู จึงไม่รู้ว่าลูกเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง”
“เด็ก ๆ ก็หน้าตาเหมือนกันหมด ไม่กี่วันก็เติบโตขึ้น เธอคงเชื่อหมดใจว่าไห่หนิงซวงเป็นลูกของตัวเอง”
“พอมีคนมาบอกว่านั่นไม่ใช่ลูกของเธอ เธอจึงไม่เชื่อ!”
มู่เหย่ขมวดคิ้วเป็นปม “แต่เฉียวเหลียนเฉิงกับไห่จิ่งโตมาก็หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ แบบนี้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือไง!”
เจียงหว่านมองมู่เหย่ “พวกเขาปฏิเสธไม่ฟังความจริงข้อนี้แม้แต่นิดเดียว สิ่งที่นายพูดมาไม่มีประโยชน์หรอก!”
มู่เหย่นิ่งเงียบไป
เจียงหว่านเลยพูดต่อ “พวกเรายังต้องหาคนมาเป็นบรรณาธิการ ตอนนี้โรงหนังสือพิมพ์ในท้องตลาดต่างยังก่อตั้งมาได้ไม่นานนัก หนังสือพิมพ์ที่ครอบคลุมก็มีน้อยมาก พวกเรามาเริ่มทำกันเถอะ”
“แบบนี้ต่อไปหากอยากจะโฆษณาสินค้าของตัวเองก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น”
มู่เหย่คิด ๆ ดู ก่อนจะพูดว่า “แต่ว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมควักเงินซื้อหนังสือพิมพ์นี่สิ”
“อีกทั้งโดยปกติหน่วยงานรัฐจะสั่งหนังสือพิมพ์จากฮวาเหรินเดลินิวส์ คงไม่มีใครมาสั่งหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ ของพวกเราหรอก!”
เจียงหว่านยิ้ม “กำไรของหนังสือพิมพ์มาจากไหน?”
มู่เหย่คิด “ขายหนังสือพิมพ์ไง!”
จากนั้นเธอหัวเราะ “แล้วสามารถขายได้เท่าไหร่ ได้กำไรกี่หยวน”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย หนังสือพิมพ์ของพวกเราหนึ่งฉบับราคาสามเฟิน หากขายได้หมื่นฉบับจะได้เงินขนาดไหน!”
มู่เหย่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “นั่นก็ใช่ แต่สิ่งที่ฉันหมายถึงคือ พวกเราไม่สามารถทำเงินได้นอกเสียจากภาครัฐจะช่วยเหลือ!”
เจียงหว่านส่ายหน้า “กำไรที่พวกเราได้ไม่ใช่ของคนธรรมดา แต่เป็นเงินของธุรกิจโฆษณา”
มู่เหย่ประหลาดใจ “โฆษณา?”
เจียงหว่านยิ้มและอธิบายให้เขาฟังเกี่ยวกับหน้าที่ของการโฆษณาและโอกาสในการพัฒนาในอนาคต
มู่เหย่ยิ่งฟังตาก็ยิ่งเป็นประกาย สุดท้ายสายตาที่เขามองเจียงหว่านก็ราวกับหลอดไฟสองร้อยวัตต์สองดวง
“หว่านหว่าน เธอรู้เยอะมากจริง ๆ แล้วยังมองการณ์ไกลอีก!”
“ที่เธอพูดก็ถูก พวกเราควรมองการณ์ไกลไว้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนแรกคือเริ่มทำให้คนรู้จัก เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะสร้างรายได้ได้แน่!”
พอได้ฟังเจียงหว่านพูด มู่เหย่จึงมีความทะเยอทะยานขึ้น
“ในเมื่อคุยกับตระกูลไห่ไม่สำเร็จ เธออยากจะกลับเลยไหม?”
เมื่อมู่เหย่คิดว่าเจียงหว่านจะต้องกลับไป จู่ ๆ เขาก็รู้สึกใจหายนิดหน่อยราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป
เขาชอบอยู่กับเจียงหว่าน จนไม่ได้สังเกตเลยว่าช่วงนี้ เขาทะเลาะกับเจียงหว่านน้อยลง
เจียงหว่านนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนพูดว่า “ยังไม่กลับไปตอนนี้หรอก ฉันวางแผนจะไปพบท่านผู้เฒ่าของตระกูลไห่ก่อน!”
“ฉันไม่เชื่อว่าคนตระกูลไห่จะโง่กันหมด แม้ว่าจะโง่ขนาดนั้นจริง ๆ ฉันก็อยากเจอกับท่านผู้เฒ่าคนนั้น ไม่งั้นใจของฉันคงไม่มีความสุขแน่!”
วิธีที่เจียงหว่านคิดนั้นง่ายมาก ในเมื่อตอนนี้ขุดรูไว้แล้วก็ควรขุดเพิ่มอีกสักหน่อย จำเป็นต้องฝากตะปูสักอันไว้ให้ไห่หนิงซวงเดินเหยียบ
ให้หล่อนยำเกรงและหวาดหวั่นซะบ้าง
มิฉะนั้นหลังจากนี้ไม่รู้ว่าหล่อนจะจัดการเฉียวเหลียนเฉิงอย่างไรอีก
อย่างน้อยหลังจากขุดเรื่องนี้เพิ่ม ไห่หนิงซวงก็คงไม่กล้าจะมายุ่งเกี่ยวกับเฉียวเหลียนเฉิงไปอีกสักพัก
เพราะว่าหล่อนจะต้องหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย!
ทว่าพอมู่เหย่ที่ได้ยินคำพูดของเธอก็ส่ายหน้า
“เกรงว่าน่าจะยากหน่อยนะ ท่านผู้เฒ่าของตระกูลไห่อยู่ในระดับผู้บัญชาการกองทัพคงจะเจอไม่ได้ง่าย ๆ!”
“เว้นแต่ว่า…”
เจียงหว่านรู้ดีว่าการพบเจอกับผู้บัญชาการกองทัพไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ผู้บัญชาการกองทัพไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านของตระกูลแล้ว การจะเจอเขาก็คงยาก
แต่หากไม่ได้ลองเธอก็คงจะค้างคาใจอยู่แบบนี้
“เว้นแต่ว่าอะไร?” เจียงหว่านถาม
มู่เหย่เงยหน้ามองเธอแล้วพูดว่า “เว้นแต่ว่าเธอจะไปหาพ่อบุญธรรมเกาเสียง หากพ่อของเธอออกหน้าให้และพาเธอไปพบท่านผู้เฒ่าก็น่าจะง่ายขึ้น”
เจียงหว่านขมวดคิ้วและส่ายหน้า “ไม่ได้ ฉันได้ยินมาว่าตระกูลเกากับตระกูลไห่ไม่ถูกกันนี่”
มู่เหย่พึมพำ “ใช่ ตอนนั้นท่านผู้เฒ่าของตระกูลไห่กับท่านผู้เฒ่าของตระกูลเกาเคยแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน”
เจียงหว่านพูด “งั้นนายบอกฉันมาสิว่าท่านผู้เฒ่าตระกูลไห่พักอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ ฉันจะลองคิดดูว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะไปพบเขาได้”
“หากเจอไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
มู่เหย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบเจียงหว่าน
ส่วนเรื่องสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ ตอนเจียงหว่านกับไห่หนิงซวงตบตีกันเป็นเวลาเลิกงานพอดี จึงมีคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ จำนวนมาก
ตอนนั้นเจียงหว่านไม่ได้คิดมากอะไร หลังจากตบตีกันแล้ว วันต่อมาเธอก็เปิดรับสมัครงานต่อ แต่เมื่อมีคนเห็น พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ที่ทะเลาะกันเมื่อวานตอนเย็น
ทำให้จากที่มีคนสนใจจะเดินเข้ามาสอบถาม ก็ต่างวิ่งหนีไปหมด
จนผ่านไปสามวัน เจียงหว่านก็ยังหาคนไม่ได้สักคน
เดิมทีข่าวมีกำหนดตีพิมพ์ทุกครึ่งเดือน แต่ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วสำนักพิมพ์ก็ยังหาบรรณาธิการไม่ได้ …หรือว่าเธอจะต้องแก้ไขฉบับต่อไปคนเดียว?
ขณะที่เจียงหว่านไม่สามารถทำอะไรได้ เกาซิ่วเหมยก็บังเอิญเดินผ่านมาพอดี จึงเข้ามาพูดคุยกับเธอ
“สำนักพิมพ์ของเธอช่างเงียบเหงาจริง ๆ มีแค่เธอเป็นฝ่ายบรรณาธิการคนเดียวงั้นเหรอ?!”
เกาซิ่วเหมยถามตรง ๆ
เจียงหว่านมีสีหน้าที่เก้อเขิน “มะ ไม่ใช่ฉันคนเดียวสักหน่อย ยังมีมู่เหย่อีกคน รวมเป็นสองคนแน่ะ!”
เกาซิ่วเหมยนิ่งไป ก่อนพูดว่า “อยากให้ฉันช่วยแนะนำคนที่เหมาะสมให้ไหม?”
“แต่พูดตามความจริงก็หาได้ไม่ง่ายเลยนะ เว้นแต่ว่าเธอจะไปหาที่มหาวิทยาลัย!”
“ตอนนี้อาชีพข้าราชการกำลังเป็นที่นิยม และบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ฮวาเหรินเดลินิวส์ทุกคนก็ล้วนว่าจ้างโดยรัฐ นั่นจึงถือว่าเป็นอาชีพข้าราชการเหมือนกัน”
“แต่สำนักพิมพ์เล็ก ๆ ของเธอ แม้ว่าจะให้เงินเดือนสูงขนาดไหนก็ยังถือว่าเป็นธุรกิจส่วนตัว คนที่มีทักษะคงไม่มากันหรอก!”