เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 508 ศพปลอมของเฉินผิงน่ากลัวมาก!
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 508 ศพปลอมของเฉินผิงน่ากลัวมาก!
บทที่ 508 ศพปลอมของเฉินผิงน่ากลัวมาก!
ก่อนที่เจียงหว่านจะเคลื่อนไหว เงาดำก็แวบผ่านเข้ามาและเตะใส่คนที่จะทำร้าย
และคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ผู้ที่ถูกเตะกระเด็นลอยไปทางคนที่อยู่ข้างหลังเขาอีกที
ส่งผลให้ชายทั้งสามคนที่รีบวิ่งเข้ามาล้มลงระเนระนาด
ทุกคนที่เห็นอย่างนั้นก็ตกตะลึง แม้แต่โจวเจิ้งที่กำลังตะโกนเสียงดังในตอนนี้ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ และไม่พูดอะไรไม่ออก
สิบนาทีต่อมา ทั้งสามคนก็ออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงกลุ่มคนที่เศร้าโศกและกำลังร้องไห้อยู่ที่ลานบ้าน
พวกเขาไม่ได้ร้องไห้ด้วยความเต็มใจ แต่เพราะถูกเฉียวเหลียนเฉิงทุบตีต่างหากเลยร้องไห้!
เจียงหว่านอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฉียวเหลียนเฉิง
เฉียวเหลียนเฉิงถามด้วยความกังวล “เป็นอะไรไป?”
เจียงหว่านส่ายหัว “ไม่ ฉันแค่รู้สึกว่านายดูแปลกไปจากเดิม ฉันไม่เคยเห็นนายใช้แรงขนาดนี้มาก่อน!”
เฉียวเหลียนเฉิงนิ่งเงียบ มีความเย็นชาส่องประกายในดวงตาของเขา
“เพราะผมใช้เวลาอยู่ในห้องขังมาตลอด เลยรู้ได้ทันทีว่าคนบางคนไม่คู่ควรกับน้ำใจของผม”
เจียงหว่านประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกโล่งใจไปในเวลาเดียวกัน
ส่วนเฉียวเหลียนเฉิงกลัวว่าเธอจะกังวล เขาจึงรีบอธิบาย
“ไม่ต้องห่วง ผมคิดมาดีแล้ว!”
“จำได้ว่ามีนิยายเรื่องนึงที่คุณเขียน นางเอกเป็นแพทย์ที่ตอบโต้สามีที่ชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัว โดยใช้มีดทำร้ายเขาไปหลายสิบครั้ง แต่พอประเมินอาการบาดเจ็บ มันก็เป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“แม้ว่าผมมจะไม่ใช่หมอ แต่ผมรู้ดีเกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์ ผมเลยประเมินดู!”
คราวนี้เจียงหว่านโล่งใจจริง ๆ!
ตกกลางคืน
บ้านของโจวเฉียนเงียบสงบ และยังคงมีโลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางลานบ้าน
แสงนวลของดวงจันทร์สาดส่อง อาบไล้ทั่วทั้งลานเล็ก ๆ นั้น
ท่ามกลางลมหนาวที่พัดพา ธงที่อยู่ข้าง ๆ โลงศพไสวไปตามสายลม ทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกสั่นสะท้าน
โจวเจิ้งกำลังเฝ้าคอยอยู่กับหลานชายที่บ้าน
พวกเขาทั้งสองนั่งยอง ๆ และพูดคุยกัน
“นี่จะห้าทุ่มแล้ว มันคงไม่มาแล้วล่ะ เราไปนอนกันเถอะ!” หลานชายพูดแล้วเอามือกอดตัวเองเพราะความกลัว
โจวเจิ้งตอบอย่างหดหู่ “ฉันก็รู้ว่ามันดึกแล้ว แต่เราออกไปไม่ได้จนกว่าจะถึงรุ่งเช้า”
“เราสู้กับคนคนนั้นไม่ได้ และเรายังไม่ได้ศพของเสี่ยวซิ่วด้วย จะเป็นการดีถ้าเราไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยน!”
คำพูดของโจวเจิ้งทำให้หลานชายเศร้าหมอง อดไม่ได้ที่จะกระซิบ
“มันเป็นความผิดผมเอง ถ้าผมไม่ไปยั่วยุนังนั่น เธอก็คงไม่บ้าแบบนั้น”
ท่าทีของโจวเจิ้งเปลี่ยนไป เขาจ้องเขม็งเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพูดไร้สาระ
หลานชายจึงเม้มปาก และเงียบไปทันที
โจวเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ช่างมันเถอะ ถ้าแกเหนื่อยก็ไปพักก่อน ฉันจะคอยเฝ้าตรงนี้เอง!”
หลานชายได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ กำลังจะลุกขึ้น ทว่ากลับมีแสงไฟสว่างขึ้นที่ด้านนอก พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังลอยมา
“มาแล้ว มาแล้ว!” หลานชายรู้ทันทีว่ารถของใคร
ครั้งก่อนคนที่ให้เงิน 30,000 หยวนก็มาด้วยรถแบบนี้
และศพของเฉินผิงก็ถูกรถคันดังกล่าวพาไป
โจวเจิ้งรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเช่นนั้น
ภารกิจของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว
ไม่นาน ชายร่างกำยำในวัยสามสิบก็ลงจากรถ ตามมาด้วยชายหน้าตาเจ้าเล่ห์สองคน
“โจวเจิ้งอยู่ไหน?”
พวกเขาทั้งสามพูดเสียงดังทันทีที่เข้ามาในลานบ้าน แตกต่างจากคนที่ถ่อมตัวและสุภาพในครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
โจวเจิ้งรีบออกมาพูด
“สหายทั้งสอง มาทำอะไรที่นี่อีกครับ คราวนี้มีอะไรอีกหรือเปล่า?”
หลิวชิวผู้เป็นหัวหน้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาก็ผลักโจวเจิ้งจนล้ม และก่อนที่โจวเจิ้งจะลุกขึ้นมา หลิวชิวก็รีบเข้าไปเหยียบหน้าอกของอีกฝ่ายเอาไว้
“ทำบ้าอะไรของแก แกกล้าหลอกฉันงั้นเหรอ? นี่แกไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม?!”
โจวเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น “พี่ชาย… ”
หลิวชิวขยี้ฝ่าเท้าแล้วคำราม “เรียกฉันว่านายท่าน!”
โจวเจิ้งพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “นายท่าน คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณจริง ๆ!”
หลิวชิวถ่มน้ำลายใส่อีกฝ่าย ” ถุย แกไม่ได้หลอกฉันงั้นเหรอ? ถ้างั้นตอบมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพของเฉินผิง!!”
หลิวชิวชี้ไปที่โลงศพ เมื่อเปิดฝาโลงออก เผยให้เห็นใบหน้าศพที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำเป็นจำนวนมาก
โจวเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น “ผมไม่รู้ น้องสะใภ้ของผมได้มันกลับมา เธอบอกว่าศพก่อนหน้านี้เป็นของปลอม”
“เราอยากจะบอกนายท่านเหมือนกัน แต่นายท่านไม่ได้ทิ้งที่อยู่ไว้ และเราก็ไม่มีวิธีจะแจ้งให้ท่านทราบ!”
หลิวชิวตะคอก “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะย้ายร่างนี้ออกไป!”
“ใครก็ได้ ย้ายมันออกไปสิ!”
ตามคำสั่งของชายร่างกำยำ ลูกน้องสองคนที่อยู่ข้างหลัง วิ่งเข้ามายกศพ แล้วรีบเดินไปที่รถพร้อมกับยัดศพเข้าไป
จากนั้นหลิวชิวก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง และไม่สนใจคำวิงวอนของโจวเจิ้งที่อยู่ข้างหลังเลยสักนิด
เมื่อรถขับออกไปแล้ว โจวเจิ้งก็ทรุดลงบนพื้น
เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก แล้วรีบหยิบพลุสองอันออกมาจุดไฟ
พลุพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับเสียงระเบิดในท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบ
ด้านหลิวชิว
หลังพวกเขาเข้าไปในรถ ทุกคนก็มองดูศพ…
“มันดูเหมือนศพก่อนเป๊ะเลย!”
“ถ้าลองมองแบบนี้ แทบไม่เห็นอะไรเลย!”
“เหมือนอะไรล่ะ หน้าคนคนนี้มีปานเยอะมาก อันก่อนแทบไม่มีปานเลย!”
“แกโง่หรือไง มันคือรอยช้ำของศพ ยิ่งตายนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเยอะขึ้น!”
ในขณะที่หลายคนกำลังคุยกัน หลิวชิวก็ได้ยินเสียงพลุดังขึ้นสองครั้งไม่ไกล
เขาขมวดคิ้วและหันไปถาม
“ได้ยินอะไรไหม?”
ทุกคนส่ายหัว พวกเขาเอาแต่คุยเรื่องศพ จึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่น
หลิวชิวเงียบไปสักพัก พลันก็ตะโกน
“หยุดรถ!”
เมื่อรถหยุดลง หลิวชิวก็รีบลงจากรถแล้วหันไปมองตามเสียง
แต่เขามองไม่เห็นอะไรในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบแบบนี้เลย
เพราะพลุได้บานสะพรั่งและร่วงหล่นไปเรียบร้อยแล้ว กว่าพวกเขาจะออกมาดู นี่ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว
ชายที่อยู่ข้างหลังเดินเข้ามาถาม “ลูกพี่ เกิดอะไรขึ้น?”
หลิวชิวตอบ “ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ”
ชายคนนั้นจึงพูดว่า “คืนนี้พี่คงเมาเกินไป!”
“จะมีอะไรผิดปกติในที่ทุรกันดารแบบนี้กัน!”
หลิวชิวเงียบ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ไม่ เราอ้อมกันเถอะ ไม่อย่างนั้นมันจะลำบาก ถ้าเราเอาอะไรบางอย่างกลับไปด้วย!”
อีกฝ่ายหัวเราะ “แต่ไม่ว่าพี่จะอ้อมแค่ไหน สิ่งที่พี่ต้องเอากลับไปก็คือศพอยู่ดีนะ!”
“ยังไงก็ต้องเอาศพนี้กลับไปด้วย!”
หลิวชิวคิ้วขมวด และคิดด้วยเหตุผลเดียวกัน
เขาหายใจเข้าลึก ๆ พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “เอาละ งั้นรีบไปกันเถอะ คืนนี้คงใช้เวลานานหน่อย!”
ทั้งสองกลับขึ้นรถ และไม่นานก็ออกเดินทางอีกครั้ง