เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 359 การเอาชนะความกลัวของเถียนเถียน
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 359 การเอาชนะความกลัวของเถียนเถียน
บทที่ 359 การเอาชนะความกลัวของเถียนเถียน
เจียงหว่านลากเถียนเถียนไปซื้อของ
ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าอยู่ไม่ไกล แต่มันมีขนาดเล็กและเป็นแค่ตึกสองชั้น
ตลอดการเดินทางเธอไม่ได้พูดเรื่องในวันนี้ แค่จับมือเถียนเถียนที่ไร้เดียงสาเดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ
เธอซื้อกิ๊บติดผมให้เถียนเถียน และยังให้เด็กหญิงซื้อไอศกรีมได้อีกหนึ่งแท่ง
ใบหน้าของเถียนเถียนเป็นสีแดง อดไม่ได้ที่จะถามเจียงหว่าน “คุณป้าคะ ทำไมไม่พาผิงอันออกมาเดินเล่นด้วยกันล่ะคะ”
เจียงหว่านบอกอย่างหงุดหงิด “เดินเล่นมีไว้สำหรับผู้หญิง จะพาผู้ชายมาทำไม? น่ารำคาญจะตาย!”
เถียนเถียนตกตะลึง ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เธอถึงรู้สึกสบายใจ
แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจ
แต่ความสง่างามของคุณป้ายังคงส่งมาถึงเธอ
ทั้งสองคนออกมาจากห้างสรรพสินค้า เจียงหว่านเห็นป้ายรถประจำทางอยู่ไม่ไกล เธอจึงถามเถียนเถียน
“เถียนเถียน เธอเหนื่อยไหมที่เดินเที่ยวตลอด!”
เถียนเถียนงุนงง
เจียงหว่านจึงชี้ไปที่รถประจำทาง “เราขึ้นรถประจำทางสักคัน จะได้ไปที่ต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ แล้วอยากลงที่ไหนก็ลง ทำแบบนั้นกันดีไหม?”
เถียนเถียนกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง
เจียงหว่านไม่รอคำตอบของเด็กหญิง เธอจับมือเถียนเถียนพาไปที่ป้ายรถทันที
ขณะนั้นเอง รถประจำทางคันหนึ่งก็เข้ามาจอดพอดี หญิงสาวจึงจับมือเถียนเถียนขึ้นรถ
ห้านาทีต่อมา ทั้งสองคนก็ลงจากรถตรงสวนสาธารณะ
เถียนเถียนรู้สึกแปลกใหม่มาก แต่ในใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด
“คุณป้า เคยมาที่นี่เหรอคะ”
เจียงหว่านส่ายหัว
เถียนเถียนจึงถามอีก “ไม่กลัวเหรอ?”
เจียงหว่านหัวเราะ “กลัวอะไรล่ะ ชีวีตคนเราเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ บางครั้งไม่ลงมือทำก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไงนะ!”
“เธอดูสิ ถ้าพวกเราไม่ขึ้นรถมาก็คงไม่รู้ว่ามีสวนสาธารณะที่สวยขนาดนี้อยู่ด้วย!”
เถียนเถียนตกตะลึงราวกับว่าเข้าใจอะไรสักอย่าง แต่อีกด้านก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
เจียงหว่านพาเธอเดินเล่น พลันเธอหันไปเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดเท่าผู้ใหญ่สองสามคนโอบ
บนต้นไม้นี้มีโพรงไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่
เจียงหว่านพาเถียนเถียนเดินไปที่โพรงไม้ พลางพูดกับเธอว่า
“ตอนฉันยังเป็นเด็กก็ไม่กล้าเหมือนเธอนั่นแหละ เพราะว่าทุกครั้งที่พ่อของฉันดื่มเยอะก็จะเริ่มตีคนอื่น ฉันกับแม่มักจะโดนตีประจำ นานวันเข้า ฉันก็กลายเป็นคนที่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำและไม่กล้าทำความรู้จักคนอื่น”
เถียนเถียนตาเป็นประกายเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “แล้วทำไมตอนนี้คุณป้าถึงกล้าหาญขนาดนี้ล่ะคะ?”
เจียงหว่านหัวเราะ และพูดว่า “เพราะว่าฉันมีอาวุธลับอย่างนึงไง นั่นก็คือหาโพรงไม้ให้เจอ แล้วก็นำปัญหาที่ไม่กล้าพูดมาบอกกับโพรงไม้ พอทำแบบนั้นแล้ว ฉันก็จะหายกลุ้มใจ!”
เถียนเถียนตาเป็นประกายราวกับได้ฟังเรื่องแสนวิเศษ
เจียงหว่านจึงถามขึ้น “เธออยากจะลองทำไหม ก็แค่พูดกับโพรงไม้ ฉันจะอยู่ไกล ๆ ไม่ได้ยินหรอก”
“โพรงไม้พูดไม่ได้ ดังนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะพูด!”
เถียนเถียนคิดอยู่สักพัก แล้วค่อย ๆ พยักหน้า
เจียงหว่านจึงขยี้ผมของเด็กหญิงเบา ๆ แล้วปล่อยให้เธออยู่ตามลำพัง ส่วนตัวเองก็ถอยออกมา
เถียนเถียนเห็นเจียงหว่านเดินออกไปแล้ว เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองโพรงไม้ แล้วเริ่มพูด “คุณลุงโพรงไม้ หนูพูดกับคุณได้ไหมคะ?”
เมื่อเห็นโพรงไม้ไม่ตอบ เถียนเถียนก็รู้สึกว่าได้รับการอนุญาต เธอจึงพูดขึ้นอย่างกล้าหาญ
เถียนเถียนโดนรังแกมาตั้งแต่เด็ก จึงกลายเป็นคนไม่กล้าพูด เวลาจะบอกว่าเกลียดใครก็ไม่กล้าพูดออกมา และยังต้องยิ้มให้พวกเขา จนตัวเธอรู้สึกอึดอัดมาก
หลังจากพูดเรื่องต่าง ๆ อยู่นาน ในที่สุดเธอก็พูดว่า “คุณลุงโพรงไม้ จริง ๆ แล้ว วันนี้หนูเห็นยาของคุณลุงถูกคนเอาอะไรไม่รู้ใส่ลงไป ผู้ชายสวมชุดสีดำที่อยู่ในห้องนั้นเป็นคนทำค่ะ”
“แต่หนูไม่กล้าพูด เขาถือกรรไกรขู่หนู ถ้าหนูพูดออกมาเขาก็จะแทงตาของหนูให้บอด ถ้าหนูตาบอดทุกคนก็จะเกลียดหนู”
“นะ หนูกลัว หนูไม่กล้าพูด”
พอพูดถึงตรงนี้ ความเศร้าของเถียนเถียนที่ระงับไว้ในใจก็ทะลักล้นออกมา เธอไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
หลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล เจียงหว่านที่เดินไปเดินมา ได้ยินคำพูดของเด็กหญิงอย่างชัดเจน
เธอใช้วิธีการมากมายเพียงเพื่อทำให้เถียนเถียนพูดสิ่งที่เห็นออกมา
ตอนนี้ ในที่สุดมันก็สำเร็จ
แต่ภายในใจของหญิงสาวกลับไม่มีความสุขเท่าไหร่ เธอมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด ผู้ชายคนนั้นคือใคร แล้วทำไมต้องอยากทำร้ายเฉียวเหลียนเฉิง
เจียงหว่านกลับมาคิดอย่างถี่ถ้วน ผู้ชายคนนั้น อ๊ะ! เหมือนจะเคยเจอมาก่อน วันนี้เขามาหาโม่หยาง และตอนนั้นโม่หยางก็อยู่ที่ห้องยา
ถ้าหากโม่หยางไม่ได้ร่วมมือกับคนคนนั้น แบบนั้นก็แสดงเขาพุ่งเป้าไปที่เฉียวเหลียนเฉิง
โม่หยางเป็นคนเหยียนจิง พุ่งเป้าไปที่เฉียวเหลียนเฉิง…
เหมือนเธอจะเห็นคำตอบแล้ว!
เพราะเถียนเถียนร้องไห้มากพอแล้ว เจียงหว่านจึงค่อย ๆ เดินออกมา แล้วถามเด็กหญิงด้วยรอยยิ้ม
“พูดเสร็จแล้วรึยัง?”
เถียนเถียนพยักหน้า
เจียงหว่านก้าวไปข้างหน้า จับมือเธอ และพากันเดินออกไป
แต่เพราะเจียงหว่านเป็นจอมหลงทาง ดังนั้นทั้งสองคนจึงขึ้นรถผิดคัน กว่าจะกลับมาถึงที่พัก ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว
พอข้าห้องมา เจียงหว่านก็พบกับเฉียวเหลียนเฉิงและผิงอันที่มีสีหน้าไม่พอใจ
“ถ้าคุณยังไม่กลับมา ผมจะไปแจ้งสถานีตำรวจแล้วด้วยซ้ำ” เฉียวเหลียนเฉิงพูดอย่างกลุ้มใจ
เจียงหว่านหัวเราะเบา ๆ “ฉันหลงทางน่ะ เป็นอุบัติเหตุ ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ แล้วนี่พวกนายกินข้าวแล้วใช่ไหม?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหน้าแทนคำตอบว่า ไม่ได้กิน เขาไม่กล้าออกไปข้างนอก เพราะกลัวเจียงหว่านกลับมาแล้วจะไม่เจอเขา
“งั้นไปกันเถอะ พวกเราไปกินข้าวนอกบ้านกัน”
ทั้งสี่คนไปหยิบกระเป๋าเป้ที่อยู่ในห้อง หยิบเอาเงิน และออกไปข้างนอก
พนักงานต้อนรับหน้าประตูสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพวกเขาออกไป “สหาย พวกคุณอย่าออกไปตอนนี้เลยค่ะ ที่ตรอกนี้มันไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่”
เจียงหว่านรู้สึกประทับใจในตัวหญิงสาวร่างเล็กคนนี้ เธอยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พวกเราแค่จะไปหาบะหมี่กินน่ะ”
เมื่อเห็นว่าโน้มน้าวไม่สำเร็จ หญิงสาวก็ยืนคิดสักพัก แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระบองที่อยู่ข้างหลังตู้ออกมา
“พวกคุณถืออันนี้ไปด้วยนะคะ ถ้าระหว่างทางเจอคนไม่น่าไว้ใจก็ใช้มันป้องกันตัว!”
เจียงหว่านยิ้ม “ไม่ต้องใช้หรอกค่ะ พวกเราพกมาแล้ว!”
เธอพกไม้นวดแป้งติดตัวตลอด อีกทั้งเฉียวเหลียนเฉิงก็เป็นอาวุธที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
อีกอย่าง เด็กทั้งสองคนก็คงยกกระบองไม่ไหว ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็น
หญิงสาวที่เป็นพนักงานต้อนรับยังคิดว่าพวกเขาไม่เชื่อตัวเอง หล่อนจึงกระวนกระวาย
แต่ก็ทำได้เพียงมองพวกเจียงหว่านเดินออกไป
ตรอกที่ตั้งโรงแรมไม่ยาวมาก มีระยะทางเพียงประมาณเจ็ดสิบแปดสิบเมตร และตรงปากตรอกก็มีร้านขายบะหมี่กับเกี๊ยวอยู่
ตอนนี้เจียงหว่านหิวไส้แทบขาดแล้ว อยากจะรีบกินบะหมี่ร้อน ๆ สักชาม
ด้านนอกร้านมีการจัดโต๊ะไว้ ทั้งสี่คนจึงสั่งบะหมี่สี่ชามและออกมานั่งข้างนอก
แต่ก็ต้องรอนานเล็กน้อย ทว่าพอครึ่งชั่วโมงต่อมา บะหมี่สี่ชามก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟ
ร้านนี้ให้เส้นบะหมี่เยอะมาก เยอะจนเกือบเต็มชาม นอกจากมีบะหมี่เส้นสีขาวแล้วยังมีไข่ดาวหนึ่งฟอง โรยผักชีกับต้นหอมสับ และในน้ำซุปก็มีความมันเล็กน้อย ทำให้ทุกคนรู้สึกอยากอาหารมาก
เมื่อได้กลิ่นบะหมี่ร้อน ๆ เจียงหว่านก็มีความสุขจนทนไม่ไหว ยกชามขึ้นมาซดน้ำซุปก่อน ซุปร้อน ๆ ที่ไหลลงท้อง ยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่น
เธอรีบหยิบตะเกียบขึ้นมา เตรียมพร้อมจะใช้ตะเกียบคีบเส้น
แต่ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่โผล่ออกมาจากด้านข้าง และตบเข้าที่หน้าของเจียงหว่าน
เพียะ!
“เธอคือเจียงหว่านใช่ไหม?”
เจียงหว่านคิ้วขมวด เงยหน้ามองเขาอย่างไม่พอใจ “นายเป็นใคร!”
เวลานี้ใครที่เรียกชื่อเจียงหว่าน ต่างก็เป็นศัตรูทั้งนั้น!
ซึ่งคนที่มาเป็นผู้ชายรูปร่างผอมสูง อายุประมาณสามสิบปี และเขาก็ถือมีดอยู่ด้วย
เมื่อเห็นเจียงหว่านมองมา มีดในมือก็สั่นทันที “ฉันคือคนที่จะเอาชีวิตเธอไง!”
เพียงพูดจบ เขาพลันฟันมีดใส่เจียงหว่าน