เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 269 กล้าขโมยของของแม่ฉันงั้นเหรอ?
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 269 กล้าขโมยของของแม่ฉันงั้นเหรอ?
บทที่ 269 กล้าขโมยของของแม่ฉันงั้นเหรอ?
เมื่อหญิงตั้งครรภ์กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เจียงหว่านก็พูดขัดขึ้น “ให้ฉันบอกเหตุผลแทนพวกคุณไหมล่ะ?”
ขณะพูด เธอก็เดินไปหาหญิงตั้งครรภ์และเอื้อมมือไปคว้าท้องของอีกฝ่าย
หญิงตั้งครรภ์ยังคงตื่นตระหนกกับสิ่งที่เจียงหว่านพูด ทั้งเธอยังรู้สึกผิดมากจนไม่รู้จะปกป้องตัวเองอย่างไร!
ทันใดนั้น ท้องก็ถูกดึงออก ปฏิกิริยาตอบสนองแรกที่คิดได้คือถอยและหลบเลี่ยง
ทว่าช้าเกินไป เจียงหว่านจับท้องของอีกฝ่ายไว้แน่น และรู้ว่าการคาดเดาของตัวเองนั้นถูกต้อง
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ดึงบางอย่างออกมาอย่างแรง
ปั้ก!
ทันใด สิ่งต่าง ๆ มากมายก็หลุดออกมาจากท้องของหญิงตั้งครรภ์
ทุกคนที่มองมาต่างประหลาดใจกับการกระทำของเจียงหว่าน
แต่พวกเขาไม่ทันจะได้วิจารณ์ ก็เห็นสิ่งต่าง ๆ หล่นออกมาจากเสื้อผ้าของหญิงตั้งครรภ์เสียก่อน
ขณะนี้ในใจทุกคนได้แต่อุทานว่า ‘บ้าไรวะเนี่ย’ ด้วยความงงงวย!
พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึง
“อันนั้นมัน…!”
”กระเป๋าสตางค์นี่!”
“อ้าว! กระเป๋าสีชมพูนั่นของฉัน!”
“อันสีดำที่มีสติกเกอร์ติดอยู่นั้นก็ของฉัน”
ทันใด ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้น หญิงตั้งครรภ์มองดูท้องเหี่ยว ๆ แฟบ ๆ ของตัวเองแล้วทรุดตัวลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือด
เมื่อชายอ้วนเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี เขาก็หันหลังกลับ และวิ่งหนี
ทว่าวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ ก็มีหมัดกระแทกเข้าที่หน้าอย่างจัง
“อ้าก!” ชายอ้วนกรีดร้อง จมูกและปากของเขามีเลือดไหลออกมา
เฉียวเหลียนเฉิงไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น เพราะเหล่าผู้โดยสารที่ทำกระเป๋าเงินหายต่างก็เข้ามาช่วยกันควบคุมตัวชายอ้วนคนนั้นไว้
เสียงในตู้รถนี้ดังมากจนเจ้าหน้าที่บนรถไฟต้องมาตรวจสอบ
และเมื่อรู้ถึงสถานการณ์ เจ้าหน้าที่รถไฟก็รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
ตำรวจทั้งสองที่มากำลังเดินทางไปทำภารกิจ และพวกเขาก็ได้ตัวหัวขโมยสองคนนี้โดยไม่คาดคิด
หลังถูกใส่กุญแจมือสอบปากคำ ชายอ้วนและหญิงตั้งครรภ์ก็รับสารภาพ
ปรากฏว่าสองคนเป็นหัวขโมยมืออาชีพ แกล้งเป็นหญิงตั้งครรภ์เพื่อขโมยกระเป๋าสตางค์ โดยจะเอากระเป๋าสตางค์ที่ขโมยมาใส่ถุงแล้วผูกไว้ตรงท้อง
ด้วยวิธีนี้ แม้จะมีการตรวจค้น ก็คงไม่มีใครสงสัยหรือมาตรวจท้องของหญิงตั้งครรภ์
ทว่าคราวนี้กลับถูกเปิดโปงด้วยกรงเล็บของเสี่ยวเสวี่ย
และเจียงหว่านเองก็พบถุงผ้าของเธอที่ทางเชื่อมกับตู้รถอีกตู้หนึ่ง
หลังหัวขโมยถูกจับ เจียงหว่านก็ต้องการชดเชยให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเสี่ยวเสวี่ย ทว่าทุกคนก็ปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอก แค่สกปรกนิดหน่อย เช็ดออกก็เรียบร้อยแล้ว!”
“เธอช่วยเราให้เจอกระเป๋าที่หายไปซะอีก ถ้าไม่ได้ไก่ตัวนี้ ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระเป๋าเราหายไปไหน!”
“ใช่แล้ว เงินพวกนี้ฉันเก็บเอาไว้รักษาแม่ ถ้าหายไป ฉันคงไม่รู้จะทำยังไงต่อดี!”
ทุกคนแสดงความขอบคุณจนเจียงหว่านรู้สึกเขินอาย
ทันใด ผู้โดยสารคนหนึ่งก็พูดว่า “สหาย เก็บไก่ตัวนี้ไว้ให้ดีล่ะ! หายากที่ไก่จะฉลาดขนาดนี้นะ”
หลังจากได้ยินดังนั้น ทุกคนก็พูดเสริม “ใช่ ๆ อย่าเอามันไปกินล่ะ หายากมากนะ ต้องดูแลมันไว้!”
เจียงหว่านรู้สึกเขินอาย และทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่กินหรอกค่ะ! มันเป็นลูกรักของลูกชายฉันน่ะ!”
และแล้วการเดินทางที่เหลือก็ราบรื่น จนพวกเขาลงจากรถไฟได้อย่างปลอดภัยตอนประมาณหกโมงเย็นของวันรุ่งขึ้น
เพราะตอนนี้มืดเร็วขึ้น และพระอาทิตย์ก็ตกแล้ว
เจียงหว่านดูนาฬิกาที่สถานีแล้วพูดว่า “นายขึ้นรถบัสคันสุดท้าย แล้วพาเสี่ยวเสวี่ยกลับไปที่ค่ายทหารก่อนเลยนะ”
เฉียวเหลียนเฉิงขมวดคิ้วงุนงง “แล้วคุณล่ะ”
เจียงหว่านกล่าวว่า “ฉันจะไปหาเหอซานไห่ เสบียงเกือบจะหมดแล้ว ฉันจะเอาบางส่วนกลับไปด้วย เราจะได้ขึ้นภูเขาไปได้เร็วขึ้นหน่อย”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบ เขากังวลที่เธอจะไปคนเดียว
”พวกหลัวชิงซานไม่ใช่คนดี ผมไปกับคุณดีกว่า”
เจียงหว่านส่ายหัว “นายต้องส่งเสี่ยวเสวี่ยกลับไปก่อน มันคือต้นตอของปัญหา”
“ฉันจะไปหาเหอซานไห่ ไม่ใช่หลัวชิงซาน ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
เฉียวเหลียนเฉิงอยากจะเกลี้ยกล่อมเธอ แต่เจียงหว่านกลับผลักเขาไปที่สถานี และขึ้นรถคันสุดท้ายไป
ครั้งสุดท้ายที่เจียงหว่านแยกกับเหอซานไห่ เขาบอกกับเธอว่า บ้านของเขาไม่ได้อยู่ในเมือง แต่เป็นชานเมือง
เมื่อเจียงหว่านมาถึงบ้านของเหอซานไห่ ยังไม่ทันจะได้เข้าประตูไป เธอก็ได้ยินคำด่าทอของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ตระกูลหลัวเป็นใคร? พวกมันเป็นพวกอันธพาลในหลินเฉิงนะ แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านยังต้องหลบเมื่อเห็นพวกนั้นเลย”
“แล้วคุณเก่งมาจากไหนถึงไปทำธุรกิจแข่งกับพวกมัน!”
“เอาล่ะ ตอนนี้สินค้าทั้งหมดถูกนำออกไปแล้ว ต้องมีคนได้รับบาดเจ็บแน่ ๆ!”
สิ้นเสียงผู้หญิงคนนั้น เสียงของเหอซานไห่ที่ฟังดูหดหู่ก็อธิบายขึ้นอย่างอ่อนแรง
“ผมก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน แต่ก่อนธุรกิจของพวกมันก็อยู่แค่ในเมืองมาตลอด”
“ถึงพวกนั้นจะรับสินค้า ก็ยังอยู่แค่ชานเมือง ใครจะคิดว่ามันจะไปไกลขนาดนี้!”
หญิงสาวโกรธอีกครั้ง “ไม่คาดคิด ๆ คุณเอาแต่พูดแบบนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร!”
“ตั้งแต่ฉันแต่งงานกับคุณ คุณบอกว่าคุณจะหาเงินได้มากมาย และคุณจะทำให้ให้ฉันมีชีวิตที่ดี”
“ตอนนั้นคุณวิ่งเข้าวิ่งออกตลาดมืดทุกวัน ส่วนฉันต้องติดแหงกอยู่กับบ้านทั้งวัน”
“มาตอนนี้ คุณไม่ต้องไปตลาดมืดอีกต่อไปแล้ว แต่คุณยังจะต้องมาต่อสู้กับเจ้าพวกนั้นอีก”
“เหอซานไห่ ทำไมฉันถึงต้องมาหลงรักคนอย่างคุณ! ฉันอยู่ต่อไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว ฉันจะหย่า!”
ก่อนเธอจะทันพูดจบ ก็มีเสียงถ้วยหล่นลงพื้นดังขึ้น
ปึ้ง!
เพล้ง!
“คุณไม่พอใจตั้งแต่แต่งงานกับผมแล้ว คุณเอาแต่พูดเรื่องหย่าทุกวัน”
“หย่าก็หย่าสิ ใครกลัวกันล่ะ!”
ฝีเท้าของเจียงหว่านหยุดนิ่งอยู่หน้าประตู คู่รักที่อยู่ด้านในกำลังทะเลาะกันอย่างหนัก เธอจึงไม่กล้าก้าวเข้าไป หรือจะให้ถอยไปไหนก็ทำไม่ได้!
เธอสงสัยว่าหากออกไปตอนนี้แล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้จะดีไหม
ทว่าทันใดประตูก็เปิดออก และผู้หญิงคนหนึ่งก็ออกมาด้วยความโกรธ
เธอแบกสัมภาระอยู่บนไหล่ และจากไปโดยไม่ได้มองเจียงหว่านเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่ทั้งสองสวนกัน เจียงหว่านก็สังเหตเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างดูดีมีเสน่ห์ทีเดียว ยากจะพรรณนาเกี่ยวกับรูปร่างและหน้าตาของเธอ
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินจากไปแล้ว เจียงหว่านหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน
เมื่อเข้าไปก็พบว่าในบ้านรกเละเทะไปหมด ของเกือบทุกอย่างถูกทำลาย
เหอซานไห่นอนอยู่บนเตียง คลุมตัวด้วยผ้าห่ม ใบหน้ามีรอยฟกช้ำและบวมอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นใครบางคนเข้ามา ดวงตาของเหอซานไห่ก็สว่างวาบขึ้นด้วยความหวัง เขาคิดว่าภรรยาจะกลับมา
แต่เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือเจียงหว่าน ความหวังในดวงตาของเหอซานไห่ก็พังทลายลง
“สหายเจียงมาแล้วเหรอ อา…ขอโทษทีนะ”
เจียงหว่านส่ายหัว อดไม่ได้ที่จะมองดูความยุ่งเหยิงบนพื้น แล้วถามว่า “ทั้งหมดนี้คุณทำเหรอ”
เหอซานไห่ยิ้มอย่างขมขื่น “จะเป็นไปได้ยังไง? ผมดูแลของทุกอย่างในบ้านหลังนี้อย่างดี จะมาขว้างข้าวของพวกนี้ได้ยังไง”
“ถ้าขว้าง ผมก็ต้องไปหาซื้อใหม่อีก!”
เจียงหว่านเดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง “ฉันได้ยินมาว่าหลัวชิงซานปล้นสินค้าของคุณเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”