เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 263 ใครเลี้ยงหนอนเป็นสัตว์เลี้ยงบ้าง!
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 263 ใครเลี้ยงหนอนเป็นสัตว์เลี้ยงบ้าง!
บทที่ 263 ใครเลี้ยงหนอนเป็นสัตว์เลี้ยงบ้าง!
ผิงอันเล่าต่อ “พอตงเซิงเห็นเสี่ยงเสวี่ยกินเสี่ยวชิง เขาก็จะเอาเสี่ยวเสวี่ยไปตุ๋น ผมไม่ยอมเลยตีเขาไป!”
“จากนั้นเขาก็ร้องไห้ แล้วยังตัดเพื่อนกับผมด้วย!”
เจียงหว่านยิ่งไม่รู้จะพูดอะไร เลี้ยงนอนผีเสื้อ แล้วเอามาแกว่งไกวอยู่หน้าไก่ ไม่ถูกกินสิแปลก
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วมองไปยังไก่หัวโล้นที่อยู่ในอ้อมกอดของเด็กชาย
“เสี่ยวเสวี่ยไม่มีขนเหรอ สองสามวันก่อนฉันเห็นกำลังจะผลัดขนไม่ใช่หรือไง!”
ผิงอันลูบไล้ขนเสี่ยวเสวี่ยด้วยความปวดใจ “คุณลุงเจียงบอกว่า ขนของเสี่ยวเสวี่ยต้องผลัดร่วงไป แล้วก็จะขึ้นใหม่”
“ผมเห็นมันรำคาญขนที่ร่วง เลยช่วยมันดึงออก แต่ดึงออกหลายวันแล้ว มันก็ยังไม่งอกใหม่เลย!”
เจียงหว่านขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เธอพูดออกมาจากใจ “ที่เสี่ยวเสวี่ยต้องมาอยู่กับเธอ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่!”
เธอลากผิงอันมานั่ง แล้วเริ่มอธิบายถึงหลักการผลัดขนของไก่
“หลักการมันก็เหมือนกับฟันและเส้นผมนั่นแหละ เธอไม่สามารถดึงออกเพื่อเร่งให้มันงอกไว ๆ ได้”
ผิงอันกลอกตาขึ้นลง “ผมรู้ว่ามันไม่ได้ผล วันนี้คุณครูสอนในห้องเรียนแล้ว”
“แต่ว่าผมดึงขนจนเกลี้ยงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสี่ยวเสวี่ยจะตายรึเปล่า”
เจียงหว่านดูอาการของเสี่ยวเสวี่ย และมันยังคงปกติดี
“คงไม่เป็นไรหรอก แต่ครั้งหน้าทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าดึงขนจนเกลี้ยงมันจะหนาว”
ผิงอันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ไม่นานเฉียวเหลียนเฉิงที่ไปล้างหน้าก็กลับมา เขาเรียกผิงอันเข้าไปถามเรื่องการบ้าน ถามเสร็จผิงอันก็กลับไปนอนบ้านเจียงเฉิง
ทว่าเสี่ยวเสวี่ยยังอยู่ที่นี่
เพราะว่าเถียนเถียนไม่ชอบเสี่ยวเสวี่ย ผิงอันจึงเอาเสี่ยวเสวี่ยมาเลี้ยงไว้ที่บ้านของตนเอง
ตอนกลางคืน
เจียงหว่านกับเฉียวเหลียนเฉิงที่เหนื่อยมาก ก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสว่าง ทั้งสองคนก็ยังไม่ตื่น จึงไม่มีใครเห็นว่าเสี่ยวเสวี่ยที่ถูกขังอยู่ในเล้าไก่นั้นจู่ ๆ ก็ลุกขึ้น
มันหันมองไปรอบ ๆ ได้กลิ่นบางอย่างมาจากถุงผ้าที่แขวนอยู่บนผนัง
ระยะทางก็ไม่ไกล มันวิ่งตรงดิ่งไปยังถุงผ้าราวกับมีเครื่องนำทางติดกับตัว
เมื่ออยู่ห่างถุงผ้าไม่มาก มันก็กระพือปีก บินขึ้นไปพุ่งชนถุงผ้าอยู่สองสามครั้งแรก มันบินได้ไม่ดีนัก จึงบินเลยถุงผ้าไป
และก็ไม่รู้ว่าเพราะใช้แรงมากเกินไปหรือยังไง มันถึงได้หล่นลงไปในถุงผ้า และไม่ขยับอีก เดาว่าคงจะสลบไปแล้ว
หลังจากผ่านไปหลายนาที เฉียวเหลียนเฉิงตื่นขึ้นมาก่อน
พอได้ยินเสียง เจียงหว่านก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน ทั้งสองรีบลุกไปล้างหน้า ทว่าไม่ทันกินข้าวเช้า ก็คว้าถุงผ้าที่ห้อยอยู่ตรงผนังแล้วก็ออกไปทันที
ไม่ว่าจะเป็นรถของใคร พวกเขาแค่ติดรถไปด้วย จะให้คนอื่นรอนั้นไม่ได้ นี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน
ทั้งสองรอกว่าสิบนาที แล้วรถของผู้บัญชาการก็มาถึง
“ไอหยา นี่ผมมาสายเหรอเนี่ย?” คนขับแซ่ลู่ เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ พูดขึ้น
เฉียวเหลียนเฉิงรีบตอบ “ไม่ใช่ครับ พวกเราต่างหากที่มาเร็วไป”
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เสี่ยวลู่ไม่ได้มาสาย เขามาตรงเวลา
คนทั้งสองขึ้นไปบนรถ และรถก็ออกจากเขตค่ายทหารไป
เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว ทุกคนพูดคุยถูกคอ หัวเราะกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง
พอขับไปได้สองชั่วโมงกว่า ท้องเจียงหว่านก็เริ่มร้อง
เพราะตอนเช้ารีบออกมาเลยไม่ทันกินข้าว เธอคิดถึงซาลาเปาที่ห่อไว้
เธอเปิดกระเป๋าผ้าออก เตรียมจะล้วงเข้าไปหยิบ
และพอล้วงเข้าไป มือก็สัมผัสถึงอะไรอุ่น ๆ เป็นความรู้สึกอุ่น ๆ แปลก ๆ
เจียงหว่านแปลกใจ ซาลาเปาของเมื่อวานเย็นไม่มีทางจะร้อนถึงตอนนี้!
เธอรีบเปิดปากถุงให้กว้างออก หยิบเสื้อผ้าไปกองไว้ด้านหนึ่ง แล้วก้มลงไปมอง
ทันใด ไก่สีแดงครึ่งตัวก็พุ่งออกมา
มันบินออกมาพร้อมทั้งร้องเสียงดัง
เจียงหว่านร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ พอตั้งสติได้ถึงรู้ว่าเจ้าไก่นี่คือ เสี่ยวเสวี่ย
อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน หรืออาจเพราะอุดอู้อยู่ในกระเป๋าผ้ามานาน ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยเลยดุร้ายเล็กน้อย
ทุกคนจ้องเขม็งไปยังเจ้าตัวผิวหนังสีแดงที่วุ่นวายอยู่ในรถ
เฉียวเหลียนเฉิงตกใจ เขายกมือขึ้นเตรียมจะตีมันให้ตาย “นี่อะไร?”
เจียงหว่านรีบตะโกน “อย่าทำมันนะ นั่นเสี่ยวเสวี่ย?”
พอเฉียวเหลียนเฉิงได้ยินว่ามันคือเสี่ยวเสวี่ยก็ชะงักทันที
ผิงอันรักเสี่ยวเสวี่ยมากแค่ไหน ไม่มีใครในค่ายทหารไม่รู้เรื่องนี้
ช่วงเวลาที่เขาลังเล เสี่ยวเสวี่ยวิ่งไปทางคนขับ มันวิ่งตรงไปยังหน้าต่างข้างคนขับ
เสี่ยวลู่ตกใจ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวเขาก็เกือบจะชนกับรถที่ขับสวนมาแล้ว
โชคดีเขามีประสบการณ์พอ จึงรีบหักพวงมาลัย หยุดรถได้อย่างนิ่มนวล
พอรถหยุดแล้ว คนทั้งสามในรถก็เริ่มไล่จับไก่
เรื่องนี้พิสูจน์ว่า ไก่ที่ถูกเลี้ยงแบบอิสระจับได้ยากที่สุด
คนทั้งสามใช้เวลาอยู่ในรถครึ่งค่อนวัน ถึงจะจับเสี่ยวเสวี่ยได้
ถึงแม้ว่าเสี่ยวลู่จะเป็นคนที่อารมณ์ดี แต่เหตุการณ์นี้มันก็ทำให้เขาโมโหจนหน้าแดงขึ้นมา
เขาถามด้วยความไม่เชื่อ “พวกคุณเอาไก่มาด้วยเหรอเนี่ย?”
ใบหน้าของเฉียวเหลียนเฉิงเคร่งขรึมราวขึ้น เขาไม่พูดอะไรออกมาเลย
เจียงหว่านรีบอธิบาย “เอ่อ ไม่ใช่ นี่คือของขวัญที่พวกเราอยากมอบให้กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่ะ”
“พวกเราเลี้ยงเองกับมือ รสชาติดีมากเลยนะ!”
เสี่ยวลู่ถึงกับอ้ำอึ้ง “แล้วทำไมถึงไม่ฆ่ามันก่อนแล้วค่อยนำมาเล่า!”
เจียงหว่านตอบ “ถ้าฆ่าก็ไม่สดน่ะสิ แถมบนรถจะมีแต่เลือด เดิมทีฉันผูกมันไว้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะวิ่งออกมา!”
เสี่ยวลู่หมดคำจะพูด และยิ่งเมื่อเห็นเสี่ยวเสวี่ยชัด ๆ ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกมากขึ้นไปอีก
“ไก่ตัวนี้ ทั้งผอมทั้งเล็ก ฆ่าไปก็คงไม่พอหนึ่งจานด้วยซ้ำ!”
เจียงหว่านรีบแต่งเรื่องขึ้นมาสองประโยค
“คุณคงไม่รู้ ไก่ตัวนี้เป็นพันธุ์ใหม่ คุณดูสิว่าไม่มีขนเลย!”
เสี่ยวลู่เหลือบมอง…อืม มันไม่มีขนจริง ๆ นั่นแหละ แถมหนังยังเป็นสีแดงทั้งตัว
ไม่ว่าจะมองยังไงก็น่าเกลียด
เจียงหว่านยังคงโกหกต่อ “นี่เป็นไก่พันธุ์ใหม่ ไม่มีขนตั้งแต่กำเนิด แต่ก็ยังโตได้ขนาดนี้ เนื้อน่ะอร่อยมากเลยนะ!”
“นี่เป็นของขวัญที่เราจะเอาไปให้ผู้อำนวยการหลินลองชิมโดยเฉพาะ!”
เสี่ยวลู่ได้ยินอย่างนั้นจึงเข้าใจได้
หลังจากพวกเขาพูดคุยกันสักพัก เจียงหว่านเจอเชือกเส้นหนึ่ง จึงผูกขาของเสี่ยวเสวี่ยไว้ แล้วยัดมันกลับเข้าไปในถุง
ผ่านไปนาน พอเจียงหว่านเอาซาลาเปาออกมา มันก็กินไม่ได้แล้ว เพราะพอแกะกระดาษไขออก เธอก็เห็นซาลาเปาไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งยังมีขี้ไก่อยู่อีกด้วย
หญิงสาวโกรธจนหน้าดำ เธอบีบจมูก จะโยนมันทิ้ง แต่เฉียวเหลียนเฉิงห้ามไว้ “ยังต้องให้อาหารเสี่ยวเสวี่ย เราเก็บไว้เถอะ!”
เจียงหว่านหน้าดำคร่ำเคร่ง “งั้นฆ่ามันเลยดีไหม”
พวกเขายังต้องไปโรงพยาบาล ไหนยังจะต้องเอาไก่ตัวหนึ่งไปด้วย นี่มันฝันร้ายชัด ๆ!
เฉียวเหลียนเฉิงลังเลครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจเบา ๆ “มันเป็นสิ่งล้ำค่าของผิงอัน”
เจียงหว่านนิ่งไป ตามที่เฉียวเหลียนเฉิงเคยบอก ผิงอันเป็นเด็กค่อนข้างเก็บตัว แทบจะไม่เล่นกับเด็กในค่ายทหารเลย เพิ่งจะดีขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง
เด็กแบบนี้ให้เลี้ยงสัตว์จะช่วยฝึกนิสัยได้ ถ้าเสี่ยวเสวี่ยตายไปในเวลานี้ต้องแย่แน่
มันคงทำร้ายจิตใจผิงอัน
แล้วปกติพวกเขาก็ยุ่งมาก มีเสี่ยวเสวี่ยอยู่ผิงอัน ไม่ว่าอย่างไรก็พอเป็นเพื่อนให้ผิงอันคลายเหงาได้
พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่บีบจมูก ยอมรับเรื่องนี้
รถวิ่งมาได้ห้าชั่วโมงแล้ว ตอนเที่ยงพวกเขาจึงไปเติมเชื้อเพลิงที่เขตทหารผิงเฉิง และกินอาหารเที่ยงง่าย ๆ กัน
แต่ถ้าจะรับประทานอาหารกลางวัน ต้องแสดงใบรับรอง เจียงหว่านและพวกเขาจึงเข้าไปยังโรงอาหาร ทิ้งเสี่ยวเสวี่ยไว้ในรถ
ก่อนจะออกไป เจียงหว่านก็ตรวจสอบดูว่ามัดเสี่ยวเสวี่ยไว้แน่นรึยัง พอมั่นใจว่าไม่มีปัญหาถึงปิดประตู แล้วจากไป
พอกินอาหารเที่ยงเรียบร้อย พวกเขาแวะเข้าห้องน้ำ เตรียมกลับไปที่รถและเดินทางต่อ
ทว่าพอเจียงหว่านเปิดประตู ทันใดนั้น เสี่ยวเสวี่ยพลันกระพือปีกสีแดงบินออกมา
เจียงหว่านไม่ทันได้ตั้งตัวใด ๆ อีกทั้งเธอกับเฉียวเหลียนเฉิงยังขึ้นรถคนละประตูด้วย
ด้วยเหตุนี้ เจียงหว่านจึงเห็นเสี่ยวเสวี่ยบินออกมา และพุ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา