เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 253 ทุบตีหลี่หงเหมย / ยืนหยัดเพื่อคนของตัวเอง
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 253 ทุบตีหลี่หงเหมย / ยืนหยัดเพื่อคนของตัวเอง
บทที่ 253 ทุบตีหลี่หงเหมย / ยืนหยัดเพื่อคนของตัวเอง
หลี่หงเหมยโกรธมากจนอยากจะสั่งสอนเจียงหว่านให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อหลี่หงเหมยถือไม้กวาดปรี่เข้ามา เจียงหว่านก็แย่งไม้กวาดจากมือหล่อน และใช้ไม้กวาดนั่นตีหลี่หงเหมยทันที โดยไม่พูดไม่จาอะไรอีก
ก่อนหน้านี้เจียงหว่านเคยตีหลี่หงเหมายก็ความโมโห แต่เจียงหว่านก็คิดเสมอว่า ต่อให้หล่อนจะดีหรือเลวยังไงก็เป็นแม่ของเฉียวเหลียนเฉิง ดังนั้น แม้ว่าจะโมโหแค่ไหน แต่เจียงหว่านก็ไม่เคยตีหล่อนเต็มแรง
แต่ตอนนี้จะให้เธอผ่อนแรงเหรอ? ไม่มีทาง!
ในทางตรงกันข้าม ตอนนี้เจียงหว่านอยากจะเอาชนะอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก เมื่อนึกไปถึงว่า เมื่อหลายปีก่อนหลี่หงเหมยถึงกับสลับตัวลูกสาวกับตัวเฉียวเหลียนเฉิง เพียงเพื่อจุดยืนที่มั่นคงในครอบครัวของหล่อนเอง
นอกจากนี้ เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของหลี่หงเหมย ช่วงวัยเด็กของเฉียวเหลียนเฉิงจึงลำบากมาก เขาได้กินแค่ผักจืด ๆ และบางครั้งก็แทบไม่ได้กินด้วยซ้ำ ในขณะที่พวกหลี่หงเหมายได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ได้กินอาหารอร่อย ๆ
ถ้าหากเธอยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างก็ควรจะทำดีกับเขาสักนิดสิ แม้ว่าจะไม่รักใคร่โปรดปราน แต่อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ควรทำร้ายเขา!
แต่นี่เธอทำได้ยังไง?
เมื่อนึกถึงว่าเฉียวเหลียนเฉิงถูกละเลยและทารุณกรรมมานาน หัวใจของเจียงหว่านบีบรัดอย่างเจ็บปวด
หลังจากเธอรู้ความจริง เธอก็มองหาโอกาสเอาคืนหลี่หงเหมยมาตลอด
ตอนนี้หลี่หงเหมยมาหาถึงที่แล้ว เจียงหว่านไม่มีเหตุผลที่จะหยุดตัวเองอีก!
เธอกระชากหลี่หงเหมยอย่างแรง ตรึงอีกฝ่ายไว้กับพื้นและทุบตี
พอตีไปได้สักพักก็รู้สึกไม่ชอบไม้กวาดที่ถืออยู่ เธอจึงโยนทิ้ง และเริ่มทุบตีด้วยผ่ามือและหมัดโดยตรง
ทั้งยังถามไปด้วยว่า “คุณเอาแต่ด่าฉันว่านังสารเลว ตกลงใครกันแน่ที่เป็นนังสารเลว”
“เฉียวเหลียนเฉิงเป็นเด็กดีขนาดนี้ คุณทำกับเขาแบบนั้นได้ยังไง?”
“เอาแต่ตะโกนว่าทนเจ็บท้องมาเก้าวันเก้าคืน พูดจาเหลวไหลไม่คิดถึงผลที่ตามจะมาเลยสินะ”
“ดี! วันนี้ฉันจะจัดการคุณแทนเขาเอง!”
เจียงหว่านทุบตีอย่างรุนแรงจนหลี่หงเหมยร้องไห้แทบขาดใจ
“กรี๊ด นังลูกสะใภ้นี่มันกล้าตบแม่สามีอย่างฉัน”
“ทุกคนรีบมาดูเร็ว! สูกสะใภ้ตบตีแม่สามี!”
“โอ๊ย นังคนไม่มีเหตุผล!”
เจียงหว่านแค่นหัวเราะด้วยความโกรธ และทุบตีเธอไม่หยุด “ตะโกนสิ ตะโกนอีก!”
“คุณมาที่นี่วันสองวันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าบริเวณนี้ไม่มีคนอยู่น่ะ”
“ตะโกนให้พอใจ ตะโกนให้คอแตกไปเลย ดูซิจะมีคนมาไหม?”
หลี่หงเหมยลนลาน หล่อนตะโกนหาเฉียวเหลียนเย่ที่ไปหลบอยู่บนเตียง “ลูกชาย รีบมาช่วยแม่เร็ว ช่วยแม่ด้วย!”
เฉียวเหลียนเย่ได้ยินก็มองไปที่เจียงหว่านด้วยความไม่พอใจ
แต่เมื่อเห็นเจียงหว่านมองกลับไปอย่างเย็นชา ชายหนุ่มก็ตัวสั่นทันที
“แม่ ผมช่วยแม่ไม่ไหวหรอก แม่เป็นแม่สามีของเธอ เธอแค่ทุบตีแม่ระบายความโกรธเท่านั้นแหละ อดทนไปก่อนนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่หงเหมยก็แทบจะบ้า นี่คือสิ่งที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอพูดงั้นเหรอ?
เพราะลูกชายพึ่งไม่ได้ หญิงชราจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากว่าที่ลูกสะใภ้อีกคน “อวี้ซิ่ว ลูกสาวคนดีของแม่ รีบมาช่วยแม่เร็วเข้า!”
ไป๋อวี้ซิ่วมองหญิงชราด้วยสายตาดูถูก และพูดอย่างอับจนหนทาง “แม่คะ ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก ขาฉันหัก ฉันจะไปทำอะไรได้?”
ขอให้เธอช่วย? ล้อเล่นหรือเปล่า?!
หากไม่รู้ว่าหลี่หงเหมยไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดเฉียวเหลียนเฉิง ไป๋อวี้ซิ่วคงเห็นแก่การแม่สามีในอนาคต และอาจจะช่วยเหลือ
แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แม่ลูกกันจริง ๆ เธอจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเอง!
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองขาหักยังต้องการการดูแล ไป๋อวี้ซิ่วคงไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง
การปฏิเสธและเมินเฉยของคนทั้งสอง ทำให้หัวใจหลี่หงเหมยสิ้นหวัง
เมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใคร เธอก็ตะโกนโวยวายคล้ายเป็นบ้า “ฉันจะดีหรือเลวก็เป็นแม่สามีของแก แกกำลังทุบตีแม่สามีนะ ไม่กลัวฟ้าผ่าตายเหรอ?!”
เจียงหว่านหัวเราะเยาะ “ฟ้าผ่าตาย?”
“คุณแน่ใจนะ ว่าถ้าฟ้าผ่าลงมา จะผ่าใส่ฉันไม่ใช่คุณ?”
“คุณอย่าพูดว่าฉันไม่มีจิตสำนึกเลย หลี่หงเหมย ฉันขอถามคุณหน่อย ตั้งแต่เฉียวเหลียนเฉิงเกิดมา คุณเคยป้อนนมเขาสักครั้งไหม?!”
“ขอแค่คุณเคยป้อนนมเขาสักครั้ง วันนี้ฉันจะไม่ทุบตีคุณอีก!”
หลี่หงเหมยอยากจะพูดให้เต็มปากว่า ‘เคยแน่นอน!’
เพียงแต่ไม่ทันได้อ้าปาก หล่อนก็ถูกเจียงหว่านดักทางเสียก่อน
“คิดให้ดี ๆ ก่อนพูดนะ อย่าพูดจาส่งเดช เพราะฉันอยากให้คุณเอาชีวิตของลูกชายคนรอง ลูกชายคนที่สาม และลูกสาวของคุณมาเดิมพันกับการตอบตำถามนี้”
“ถ้าคุณโกหก ลูกชายทั้งสองคนและลูกสาวของคุณจะต้องไม่ได้ตายดี!”
คำสามคำที่ติดอยู่กับริมฝีปากของหลี่หงเหมยถูกกลืนกลับเข้าไปทันที
หล่อนจึงมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ส่วนเจียงหว่านก็ทุบตีหล่อนรุนแรงขึ้น
ตอนนี้ในใจเจียงหว่านไม่ใช่แค่รู้สึกโกรธแค้นเท่านั้น แต่เธอยังรู้สึกน้อยใจด้วย
เธอรู้สึกเคียดแค้นแทนเฉียวเหลียนเฉิง และรู้สึกน้อยใจแทนเขา
เดิมทีเขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ และสามารถมีการศึกษาที่ดี รวมไปถึงมีอนาคตที่สวยงาม
ทว่าทั้งหมดนี้พังทลายลงเพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี่
ตอนนี้เขาไม่เพียงต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่หลังจากผ่านความยากลำบากมาทุกสิ่งอย่าง แขนของเขาก็ยังมาใช้งานไม่ได้อีก
และความสุขในชีวิตของเฉียวเหลียนเฉิงก็อาจถูกทำลายเพราะเหตุนี้ด้วย
แล้วผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์อะไร? เธอกล้าทำได้อย่างไร?!
หมัดของเจียงหว่านยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ แรงจนเฉียวเหลียนเฉิงรีบมาขวางไว้
“หยุดเถอะ หว่านหว่านหยุดตีเถอะ!”
ตอนนี้หลี่หงเหมยรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว
เธอคิดว่าตัวเองจะถูกตีจนตายเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าลูกชายคนโตจะเข้ามาช่วยไว้
ทว่าความเคียดแค้นทำให้หลี่หงเหมยพลั้งปากอย่างขาดสติ “เจ้าใหญ่ ไอ้ลูกชั่ว ทำไมเพิ่งมาห้ามตอนนี้ แกทนเห็นแม่ถูกตีได้ยังไง!”
“แกมันไอ้อกตัญญู ได้คนเลี้ยงไม่เชื่อง!”
“ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นฉันน่าจะบีบคอแกให้ตายไปซะ!”
เพราะหมัดของเจียงหว่านถูกชายหนุ่มขวางไว้ เธอจึงมองเฉียวเหลียนเฉิงอย่างไม่พอใจ
“นายมาขวางฉันทำไม? นายได้ยินคำพูดของเธอไหมเนี่ย?”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหน้า เขาพูดเสียงอ่อน “ผมไม่ได้ไม่อยากให้คุณตีเธอ ผมแค่กลัวว่ามือคุณจะเจ็บ”
“มันไม่คุ้มหรอกที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อทำให้เธอเจ็บ”
คำพูดที่อ่อนโยน ทำให้ความเดือดดาลของเจียงหว่านถูกเยียวยาราวกับหยดน้ำที่ชะโลมจิตใจ
เธอทำเสียงฮึดฮัด และยังไม่ยอมลงจากร่างของหลี่หงเหมยง่าย ๆ หญิงสาวคว้าคอเสื้อของหญิงชรา จับหน้าเธอขึ้น แล้วเค้นถาม
“ฉันจะถามคุณ คุณยอมรับการแต่งงานของฉันกับเฉียวเหลียนเฉิงไหม?”
หลี่หงเหมยอยากพูดว่าไม่ยอมรับ แต่เพราะรู้ว่าจะถูกทุบตีแบบนี้อีก หล่อนจะกล้าไม่ยอมรับได้ยังไง
พอหมดหนทาง หลี่หงเหมยก็ทำได้เพียงพยักหน้า “ยอมรับ ยอมรับ!”
เจียงหว่านยิ้ม “แค่นี้แหละ ในเมื่อยอมรับแล้ว ก็ให้ของขวัญแรกพบด้วยสิ!”
หลี่หงเหมยตกตะลึง “อะไร ของขวัญแรกพบเหรอ!”
เจียงหว่านถลึงตา “ทำไม คุณเป็นแม่สามีแต่คุณจะไม่ให้ของขวัญแรกพบกับฉันเหรอ?”
หลี่หงเหมยตกใจตัวสั่นเทิ้ม พลันรีบส่ายหน้า “ไม่ ๆ ไม่ใช่ แต่ฉันไม่รู้จะให้อะไรเธอดี ฉันไม่มีของดี ๆ หรอกนะ มีแต่ของไม่น่ามอง!”
เจียงหว่านหัวเราะเยาะก่อนพูดว่า “ของไม่น่ามองหรือไม่อยากให้”
หลี่หงเหมยกระอักกระอ่วน ตอนนี้หล่อนเจ็บปวดไปทั้งตัว และหวังแค่ว่าจะได้หลุดพ้นจากผู้หญิงอ้วนคนนี้สักที
พอหมดหนทาง หญิงชราก็พูดว่า “ได้ เธอบอก เธอบอกมาว่าอยากได้อะไร ฉันจะหาให้!”
“ขอแค่เป็นของที่ฉันมี!”
เจียงหว่านหันเฉียวเหลียนเฉิง “เหล่าเฉียว บ้านของนายมีของดีอะไรบ้างไหม?”
เฉียวเหลียนเฉิงถึงกับคิดหนัก ที่บ้านของเขาขนาดหนูยังต้องร้องไห้หนีไป จะไปมีของดีได้ยังไง
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เห็นเจียงหว่านขยิบตาให้
เฉียวเหลียนเฉิงเข้าใจทันที เขารีบพูดว่า “มี ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เห็นในบ้านมีนาฬิกาข้อมือแบรนด์เซี่ยงไฮ้น่ะ”
“ก่อนตายพ่อบอกว่าพอผมโตจะให้นาฬิกาเรือนนั้นกับผม”
เจียงหว่านได้ยินก็ยิ้ม…ดูท่าทางเราคงใจตรงกันจริง ๆ
เพราะหลังจากทั้งสองได้ยินคำพูดของไป๋อวี้ซิ่วที่ฟาร์ม พวกเขาก็ปรึกษากันเป็นการส่วนตัว และคาดเดาว่านาฬิกาเรือนนั้นน่าจะเป็นของนายทหารที่มารับแม่ของเฉียวเหลียนเฉิงทิ้งไว้ เพราะงั้นมันอาจเกี่ยวข้องกับภูมิหลังของเขา
หรือถ้าไม่ใช่ มันก็ต้องเป็นของพ่อที่แท้จริงของเฉียวเหลียนเฉิง
หากได้นาฬิกาเรือนนั้นกลับมา อาจจะตรวจพบอะไรบางอย่าง รวมไปถึงว่าอาจจะได้รู้ตัวตนของพ่อที่แท้จริงและใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้
เมื่อพูดถึงนาฬิกา ใบหน้าหลี่หงเหมยก็ซีดลงทันที เธอตะโกนอย่างหวาดกลัว
“ไม่มี ไม่มีนาฬิกาข้อมืออะไรทั้งนั้น แกอย่ามาพูดจาเหลวไหล!”