เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 248 เจียงหว่านหยิบใบเรียกเก็บเงินค่าชดเชยออกมา
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 248 เจียงหว่านหยิบใบเรียกเก็บเงินค่าชดเชยออกมา
บทที่ 248 เจียงหว่านหยิบใบเรียกเก็บเงินค่าชดเชยออกมา
เวลานั้น มีเพียงความคิดเดียวในใจของเสิ่นหรูเหมย ‘กลับไปมัดตัวเองไว้ จะได้ไม่ทำอะไรที่น่าอายในภายหลัง’
เธอขอให้ไป๋อวี้ซิ่วช่วยมัดเธอ ในเวลานั้นไป๋อวี้ซิ่วก็ถามเธอว่ามีอะไรผิดปกติเหรอด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องทั้งหมดนี้อย่างหน้าไม่อาย
เสิ่นหรูเหมยกัดฟันกรอด เธอถามว่า “ไป๋อวี้ซิ่วอยู่ที่ไหน?”
เจียงหว่านชี้ไปยังบ้านของอีกฝ่าย “ยังอยู่นั่น”
“จริงด้วย ฉันมัดยัยนั่นไว้ ลืมคลายเชือกไปเลย!”
คิ้วของเสิ่นหรูเหมยเลิกขึ้น และเธอก็รีบพลิกตัวลุกจากเตียง
แต่เจียงหว่านรีบหยุดเธอไว้ก่อน “กินอะไรสักหน่อยก่อน ฉันเดาว่าน้ำตาลขวดนั้นคงกินไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่ามันเสียไปมากแค่ไหน”
“แต่ฉันขอให้เฉียวเหลียนเฉิงติดต่อเจียงเฉิงให้เขาเอาน้ำตาลมาให้เธอใหม่แล้วล่ะ”
เจียงหว่านพูดขณะนำอาหารเย็นออกมา มันเป็นอาหารที่ทำและห่อไว้ด้วยผ้าเพื่อให้ความอบอุ่น
ข้างในมีข้าวขาวและกะหล่ำปลีตุ๋น
“นี่คือ…” เสิ่นหรูเหมยมองดูข้าวในกล่องด้วยความตกตะลึง
เธอรู้ว่าไม่มีข้าวขาวในฟาร์มนี้ และแม้ว่าจะมีการแจกจ่ายข้าวบางส่วน แต่ก็ต้องผสมกับธัญพืชอื่น ๆ แล้วปรุงให้เข้ากัน
ข้าวสวยตรงหน้า เฉียวเหลียนเฉิงคงซื้อให้กับเจียงหว่านโดยใช้เงินของเขาเอง
เจียงหว่านเห็นความลังเลของอีกฝ่าย จึงพูดเบา ๆ “กินเถอะ วันนี้ร่างกายเธอเหนื่อยมามากพอแล้ว ต้องกินชดเชยนะ”
เสิ่นหรูเหมยเหลือบมองเจียงหว่านอย่างซาบซึ้ง จากนั้นก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังอาหารเย็น เสิ่นหรูเหมยยืนกรานจะไปหาไป๋อวี้ซิ่ว
เจียงหว่านเป็นกังวลจึงติดตามไปด้วย
หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว เสิ่นหรูเหมยก็คว้าหนังสือบนโต๊ะข้างประตู วิ่งไปที่เตียง และขว้างมันใส่ไป๋อวี้ซิ่วอย่างบ้าคลั่ง
“เดรัจฉาน แกมันเป็นเดรัจฉาน!”
“ไม่สิ แกมันแย่ยิ่งกว่าเดรัจฉาน ตอนแกขาหักใครเป็นคนเอาอาหารมาให้กัน แกทำแบบนี้ได้ยังไงฮะ!” เสิ่นหรูเหมยถามด้วยดวงตาแดงก่ำ
ไป๋อวี้ซิ่วที่กำลังหลับ สะดุ้งตื่นทันที และพอเห็นเสิ่นหรูเหมยกำลังคลุ้มคลั่ง เธอก็สาปแช่งด้วยความโกรธ
“เธอเป็นบ้าอะไร? เหลวไหลจริง ๆ! ตอนเจียงหว่านตบฉันก่อนหน้านี้ เธอก็น่าจะพอใจแล้วไม่ใช่เหรอ!”
“ฉันทนดูเธอแสร้งทำท่าทางสง่างามและอ่อนโยนไม่ได้ เธอมันชอบทำเหมือนว่าตัวเองเหนือกว่า และเราทุกคนเป็นเหมือนฝุ่น”
“ฮ่า ๆ เป็นยังไงล่ะ กินยาแล้วรู้สึกดีไหม อารมณ์มันคลายลงรึยัง?!”
”ฉันล่ะกลัวจริง ๆ ว่าเธอจะไม่เห็นตัวเองตอนนั้นว่ามันดูราคาถูกแค่ไหน!”
“สง่างามเหรอ? อ่อนโยนเรอะ?”
”น่ารำคาญ!”
“เธอมันผู้หญิงตอแหล!”
พูดจบ ไป๋อวี้ซิ่วถูกทุบตีจนพูดไม่ออกอีก ตอนนี้เสิ่นหรูเหมยโกรธมากจนตัวสั่นไปหมด
ยิ่งเธออ่อนแออยู่แล้ว บวกกับการทำงานหนักในระหว่างวัน และความโกรธของเธอเอง แม้เสิ่นหรูเหมยจะกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง และอยากจะลงมือให้หนัก แต่ฝ่ามือก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าจะทุบตีด้วยกำลังทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้มีความแรงมากนัก
เสิ่นหรูเหมยหลั่งน้ำตาด้วยความโกรธ!
เธอเกลียดผู้หญิงตรงหน้าที่ข่มเหงเธออย่างร้ายกาจ และเธอก็เกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ ทั้งยังขี้ขลาดด้วย!
เมื่อเห็นดังนั้น เจียงหว่านจึงกระโดดขึ้นไปบนเตียง และช่วยเสิ่นหรูเหมย
“เธอยังอ่อนแรงอยู่ ฉันทำเอง เธอน่ะไปยืนดูก็พอ!”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เธอก็รีบวิ่งไปตบไป๋อวี้ซิ่ว
เดิมทีใบหน้าของไป๋อวี้ซิ่วบวมมากอยู่แล้วจากการถูกตบเมื่อตอนกลางวัน และคราวนี้มันก็ยิ่งบวมมากขึ้นไปอีก
แต่ไป๋อวี้ซิ่วก็ไม่กล้าด่าทอเจียงหว่าน เพราะยิ่งด่ามากเท่าไร เธอรู้ว่าจะยิ่งถูกทุบตีหนักขึ้นเท่านั้น
เจียงหว่านหยุดตบหลังจากฟาดลงไปไม่กี่ครั้ง
ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงหันมองเสิ่นหรูเหมย “เธอรู้วิธีทำให้ตบเจ็บ ๆ แต่ไม่ทำให้เกิดอาการบอบช้ำภายในบ้างไหม”
ตอนนี้เสิ่นหรูเหมยสงบสติลงได้มากแล้ว เธอมองเจียงหว่านอย่างสับสน
เจียงหว่านกล่าวต่อว่า “ฉันเคยอ่านเจอในนิยาย จะลองดูละกัน!”
หลังจากพูดจบ เธอก็ดึงผ้าห่มมาพันตัวไป๋อวี้ซิ่วไว้ จากนั้นก็เริ่มต่อยและเตะอีกฝ่ายไม่ยั้ง
ผ้านวมนี้เป็นเพียงผ้าฝ้ายบาง ๆ ประกบกัน
โดนตบขนาดนี้ ยังไงก็เจ็บอยู่ดี
เสิ่นหรูเหมยที่เห็นภาพตรงหน้าถึงกับพูดไม่ออก
ส่วนไป๋อวี้ซิ่วสบถคำด่าออกมาไม่หยุด
ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มเสียงจึงไม่ดังนัก อีกทั้งทุกสิ่งที่เธอสาปส่งก็กลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญไปหมด
เจียงหว่านเหนื่อยมากจากการต่อยและเตะ เธอจึงหันกลับมาถามเสิ่นหรูเหมย “เธอโล่งใจแล้วหรือยัง?”
เสิ่นหรูเหมยน้ำตาไหลและยกยิ้ม “ฉันรู้สึกโล่งใจแล้วล่ะ”
เจียงหว่านยิ้มตอบกลับ “งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน กลับไปนอนเถอะ ถ้าพรุ่งนี้เช้าเราไม่สบายใจก็ค่อยกลับมาใหม่!”
“ถ้าเธอมีแรงแล้ว ค่อยมาจัดการยัยนี่เอง ถึงตอนนั้นแล้วเรามาแข่งกันเถอะ!”
เสิ่นหรูเหมยได้ยินก็ยิ้มอย่างมีความสุข หญิงสาวที่สง่างามและสดใสคนเดิมได้กลับมาแล้ว
”อื้อ กลับกันเถอะ”
เจียงหว่านดึงผ้าห่มออก ทิ้งไป๋อวี้ซิ่วไว้ข้างหลัง และเดินประคองแขนของเสิ่นหรูเหมยกลับไป
เวลาสามวันล่วงเลยผ่านไป เสี่ยวซานกับเถาจื่อก็เดินทางออกจากหมู่บ้านนายพรานมาถึงฟาร์ม
และคนที่มาพร้อมกับเขาคือหัวหน้าหมู่บ้าน โย่วต้าซาน
เขามาเจรจาเรื่องปริมาณของสินค้าแต่ละรายการ
ทันทีที่ทั้งสามมาถึงฟาร์ม พวกเขาก็เห็นหมูตายเป็นเบือ เขาเห็นหมูป่าตัวหนึ่งตายอยู่
ถัดจากนั้นคือแถวของซากแม่หมูสามตัวและลูกหมูอีกแปดตัว ทั้งหมดถูกเจ้าหมูป่าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง!
โดยเฉพาะลูกหมูทั้งแปดตัว พวกมันถูกเหยียบจนตายทั้งที่เพิ่งมีอายุได้เพียงไม่กี่วัน
แค่มองก็ทำให้รู้สึกหดหู่แล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านและลูกชายต่างก็ตกตะลึง แต่เถาจื่อกลับดูมีท่าทียินดีมาก
ใบหน้าของเธอแสดงท่าทีสะใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมองดูความโชคร้าย ใบหน้าก็ดูกระตุกอย่างรุนแรงภายใต้สีหน้าสะใจนั่น
“เกิดอะไรขึ้น” หัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างสับสน
เจียงหว่านจึงมอบรายงานค่าชดเชยที่จำเป็นสำหรับความเสียหายที่เกิดทันที
“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะหมูป่าคลุ้มคลั่ง ฟาร์มของเราเลยเสียหายอย่างหนัก”
หัวหน้าหมู่บ้านมองดูความยุ่งเหยิงของที่นี่และตัวเลขบนรายการในมือ ทันใดนั้นใบหน้าก็บิดเบี้ยวน่าเกลียด
“ตอนเธอขอหมูป่า ตอนนั้นเราก็ตกลงกันว่า ถ้าหมูป่าคลุ้มคลั่งเธอจะต้องรับผิดชอบเอง แล้วนี่มันอะไร!”
ก่อนเสี่ยงซานจะพูดอะไร เถาจื่อก็พูดขึ้นมาก่อน
“ก็เธอเป็นคนอยากได้หมูป่าเองตั้งแต่แรกนี่ ตอนนี้มันก่อปัญหา จะมาคิดค่าชดเชยกับเราเหรอ? ไม่มีเหตุผลไปรึเปล่า!”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เถาจื่อก็อดไม่ได้ที่จะยั่วยุ “หัวหน้าหมู่บ้าน เห็นไหมว่านังอ้วนหัวขโมยคนนี้ไม่มีอะไรเลย เราจะถูกหลอกไม่ได้นะ!”
เจียงหว่านตะคอกอย่างเย็นชา เหลือบมองเถาจื่อ และนำคำสารภาพของไป่อวี่ซิ่วออกมามอบให้โย่วต้าซาน
“คุณควรจะอ่านนี่ก่อนจะพูดนะ!”
เดิมทีหัวหน้าหมู่บ้านที่โกรธมาก และเมื่อเห็นเนื้อหาคำสารภาพ เขาก็ตกใจ และความโกรธก็ยิ่งปะทุออกมามากขึ้นไปอีก
เพียงแต่ความโกรธที่พุ่งเป้าไปที่เจียงหว่านในตอนแรก ตอนนี้กลับมาตกอยู่กับเถาจื่อแทน
หลังจากอ่านจบ เขามองเถาจื่อด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “เธอมีอะไรจะพูดอีกไหม!”
เถาจื่อกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “ฉันอ่านหนังสือไม่ออก คุณต้องการให้ฉันพูดอะไร?”
หัวหน้าหมู่บ้านโกรธมากกับคำพูดของเธอ จนกล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุก
โย่วต้าซานจ้องมองเถาจื่อแล้วเค้นเสียงว่า “ก็เธอไม่ใช่เหรอ ที่เอางูเจ็ดดอกและแมงป่องพิษไปให้ไป๋อวี้ซิ่ว!”
“ทั้งยังมียากระตุ้นอารมณ์อะไรนั่นอีก!” เจียงหว่านกล่าวเสริม
เมื่อต้องพูดเรื่องแบบนี้ หัวหน้าหมู่บ้านก็รู้สึกละอายมาก
“ยากระตุ้นอารมณ์นั่น เธอไปเอามาจากไหน!”
เถาจื่อตัวสั่นเมื่อถูกถามจี้ “เหลวไหล ฉันไม่มีนะ!”
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไป๋อวี้ซิ่วคือใคร อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ!”
เจียงหว่านตะคอกอย่างเย็นชา และชี้ไปทางบ้านของไป๋อวี้ซิ่วซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
“ยัยนั่นอยู่ตรงนั้นไง เธอกล้าพูดว่าไม่รู้จักได้ยังไง?!”
เถาจื่อยืนกรานปฏิเสธ “ฉันไม่รู้จักยัยนั่น ฉันไม่ได้ลงภูเขามาด้วยซ้ำ จะรู้จักไป๋อวี้ซิ่วได้ยังไง”
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าดื้อด้านมาก เจียงหว่านก็โยนถุงบางอย่างไปตรงหน้า เมื่อถุงนั้นหล่นลง หัวงูที่อยู่ภายในก็กระเด็นออกมาให้ทุกคนเห็น