เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 246 ตบหน้ามู่เหย่ ทำให้ผู้คนประหลาดใจ
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 246 ตบหน้ามู่เหย่ ทำให้ผู้คนประหลาดใจ
บทที่ 246 ตบหน้ามู่เหย่ ทำให้ผู้คนประหลาดใจ
เจียงหว่านวางขวดน้ำตาลลง พลันกระโดดขึ้นไปบนเตียง แล้วเดินไปตรงหน้าไป๋อวี้ซิ่ว ก่อนจะยื่นมือคว้าคอเสื้อของเธอ แล้วดึงตัวขึ้นมา
“กรี๊ด! จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ!” มือของไป๋อวี้ซิ่วยังคงถูกมัดไว้ เธอจึงร้องด้วยความหวาดกลัว
เจียงหว่านไม่สนใจจะพูดเรื่องไร้สาระ ง้างมือตบอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง ทำให้ไป๋อวี้ซิ่วมึนงงจนดวงตาเห็นดวงดาวเต็มไปหมด จากนั้นเจียงหว่านลากเธอเข้าข้าง ๆ
ไป๋อวี้ซิ่วดิ้นรนขัดขืน และพยายามถอยหนี
แต่เจียงหว่านก็ก้าวเข้าไปหา แล้วกั้นทางหนีไว้จนไป๋อวี้ซิ่วไม่สามารถขยับได้
เจียงหว่านใช้โอกาสนี้หันกลับไปคว้าผ้าห่มแล้วเปิดออก
และเธอก็เจอกับห่อกระดาษที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มนั่น
เธอหันมองไป๋อวี้ซิ่ว และเห็นความตื่นตระหนกที่ฉายชัดในแววตาของหล่อน
เจียงหว่านเหยียดริมฝีปากเย้ยหยัน เอื้อมมือหยิบซองยาขึ้นมา และแทบไม่ต้องเปิด เธอก็ได้กลิ่นหอมหวานลอยออกมาจากสิ่งที่อยู่ในซองกระดาษได้อย่างชัดเจน
”เป็นเธอจริง ๆ!”
เจียงหว่านตะคอกอย่างเย็นชา เธอวางถุงกระดาษลง แล้วพุ่งตัวใส่ไป๋อวี้ซิ่ว และเริ่มทุบตีเธอทันที
“เธอได้ยานี้มาจากไหน?!” เจียงหว่านถามไปตีไป
ไป๋อวี้ซิ่วถูกทุบตีจนร้องไห้คร่ำครวญถึงพ่อแม่ แต่ก็ยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับว่ายาเป็นของตน
เจียงหว่านเห็นอีกฝ่ายยังปากแข็ง และเธอก็เริ่มเหนื่อยแล้ว จึงดึงเชือกที่ทิ้งไว้ด้านข้างมามัดเธอ
“ก็ได้ ไม่เป็นไร ในเมื่อเธอไม่พูด ฉันก็จะไปแจ้งความตอนนี้เลย!”
“ต้องมีลายนิ้วมือของเธอบนขวดน้ำตาลและซองกระดาษอันนี้แน่ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแป๊บเดียวเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
“ถึงฉันจะทำอะไรเธอไม่ได้ แต่พวกเจ้าหน้าที่สืบสวนน่ะมีวิธีการของพวกเขา พอถึงเวลานั้น ถ้าพวกเขาพิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นเจ้าของยาซองนี้ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็จะไร้ประโยชน์”
ไป๋อวี้ซิ่วตื่นตระหนก “เธอพูดเหลวไหล! ไม่ใช่ฉันนะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันข้อเท้าหักขนาดนี้ทำได้แค่นอนอยู่ที่นี่เท่านั้นแหละ”
“ฉันจะเสกยาจากอากาศได้ยังไง!”
“อย่ามากล่าวหาคนอื่นมั่ว ๆ นะ!”
เจียงหว่านแค่นเสียงเย้ยหยัน “เสกยาออกมาจากอากาศงั้นเหรอ?”
“มันเป็นยาที่เถาจื่อให้มาไม่ใช่รึไง?”
“หมูป่าตายไปแล้ว และฟาร์มหมูก็ถูกพังจนเละ มีหมูตายกว่าสิบตัว”
“ที่เถาจื่อก่อปัญหาใหญ่ในครั้งนี้ ผู้คนในหมู่บ้านนายพรานต้องชดใช้ หัวหน้าหมู่บ้านจะไม่ปกป้องยัยนั่นแน่”
“และถ้าหัวหน้าหมู่บ้านละทิ้งยัยนั่น พอลงมาจากภูเขาหล่อนก็จะถูกจับ และทั้งความโลภ ทั้งความกลัวตาย เถาจื่อจะต้องโยนความผิดทั้งหมดให้เธอแน่นอน”
“ไป๋อวี้ซิ่ว มันคือหมูประมาณสิบกว่าตัวนะที่เธอต้องชดใช้!”
“หลังจากจ่ายเงินแล้ว ก็อาจจะต้องติดคุก อย่างน้อยก็สักสองสามปีเลยล่ะ!”
”ฮ่า ๆ ชีวิตของเธอจบแล้ว!”
เจียงหว่านพูดอย่างจริงจังและสะใจ เธอดูมั่นใจมาก เพราะเธอมีหลักฐานทั้งหมดแล้ว
แต่ในความเป็นจริงยังมีช่องโหว่บางอย่างในสิ่งที่เจียงหว่านพูด ถ้าไป๋อวี้ซิ่วฉลาดและใจเย็นกว่านี้ เธอคงพบช่องโหว่นั้นแล้ว
ทว่าตอนนี้ไป๋อวี้ซิ่วตื่นตระหนกเกินไป สมองเธอคิดอะไรไม่ออก และในใจก็มีเพียงสองประโยคก้องสะท้อนไปมา… เถาจื่อจะสลัดเธอทิ้ง และโยนความผิดทั้งหมดให้เธออย่างแน่นอน
และไม่เพียงแต่เธอจะต้องชดใช้ค่าหมูหลายสิบตัว แต่เธอยังต้องติดคุกหัวโตด้วย
จบแล้ว ชีวิตทั้งชีวิตของเธอคงได้จบลงแล้วจริง ๆ
ไป๋อวี้ซิ่วสับสนไปหมด และจิตใจก็เริ่มฟุ้งซ่าน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายฟุ้งซ่าน เจียงหว่านก็กัดริมฝีปากกลั้นขำ เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
พอสงบใจซ่อนอารมณ์ยินดีได้ เธอก็พูดขึ้น “ช่างมันเถอะ ถ้าเธอจะไม่บอกฉัน ฉันก็จะไม่บังคับ จริง ๆ เธอก็ไม่ควรบอกฉันหรอก รอจนกว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนจะมาถึงเถอะ!”
“อย่างที่เขาพูดกันไง ‘ผ่อนปรนเมื่อยอมสารภาพ รุนแรงเมื่อต่อต้าน’!”
“งั้นก็ปากแข็งให้ถึงที่สุด แล้วไปนั่งอยู่ในคุกซะ!”
พูดจบเธอก็หันกลับมาหยิบซองยา แล้วเดินออกไป
แต่ทันใด ไป๋อวี้ซิ่วก็ตะโกนอย่างเร่งรีบ “เธอจะทำอะไรน่ะ?”
เจียงหว่านตอบโดยไม่หันกลับมามอง “โทรแจ้งตำรวจไง ฉันจะขอให้พวกเขาตรวจสอบและเปรียบเทียบลายนิ้วมือด้วย”
ไป๋อวี้ซิ่วส่ายหัว เธอปฏิเสธอย่างร้อนรน ตื่นตระหนกจนเก็บอาการไม่อยู่
“ไม่ ไม่ อย่านะ!”
เจียงหว่านหยุดเดิน หันมองเธอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “เธอยังอยากพูดอะไรอีกล่ะ”
ไป๋อวี้ซิ่วกัดริมฝีปากแน่น “ฉันเอง ฉันเป็นคนวางยาเอง!”
เจียงหว่านยกมือขึ้นเพื่อหยุด “รอก่อน เธอบอกฉันอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีใครสักคนเป็นพยาน”
หลังจากพูดแบบนี้ เจียงหว่านก็เดินออกไปตะโกนพูดกับเฉียวเหลียนเฉิงที่กำลังเป็นกังวลและเฝ้ามองอยู่จากระยะไกล
“เหล่าเฉียว เรียกมู่เหย่กับเสี่ยวไช่มาที”
เมื่อเฉียวเหลียนเฉิงเห็นเจียงหว่านเรียกตน เขาก็โล่งอกขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเสิ่นหรูเหมยก็จะสบายดีแล้ว
จากนั้นไม่นาน มู่เหย่ เสี่ยวไช่ และคนอื่น ๆ ก็มา
อีกทั้งเฉียวเหลียนเฉิงยังเอาปากกากับกระดาษมาด้วย
เจียงหว่านหยิบปากกากับกระดาษขึ้นมา แล้วถาม “ใครจะเป็นคนบันทึกคำพูดของเธอ?”
ทุกคนมองหน้ากัน และต่างก็โบกมือ
ไม่มีใครมีวุฒิการศึกษาสูงขนาดนั้นหรอก เกือบทั้งหมดในนี้เป็นทหารจากชนบท แม้ว่าพวกเขาจะเคยไปโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก ไม่ต้องพูดถึงการเขียนหนังสือเลย
ลำพังแค่เขียนชื่อตัวเองได้ก็บุญแล้ว!
เมื่อเห็นทุกคนโบกมือปฏิเสธ เจียงหว่านก็มุ่งความสนใจไปที่มู่เหย่ “มานี่!”
มู่เหย่หัวเราะ “ถ้าฉันเรียนเก่ง ฉันคงจะเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว ไม่มาอยู่ที่นี่หรอก”
“อีกอย่าง เป้าหมายของฉันคือการเป็นเศรษฐีเจ้าสำราญน่ะ”
เจียงหว่านถามด้วยความสับสน “แล้ว?”
มู่เหย่พูดอย่างภาคภูมิใจ “ฉันมุ่งมั่นที่จะหาเงินและเที่ยวสนุกไปเรื่อย เป้าหมายในชีวิตนี้คือการเป็นคนรวยเจ้าสำราญ เธอเคยเห็นคนพวกนี้มีผลการเรียนที่ดีบ้างไหมล่ะ!”
ทฤษฎีและตรรกะนี้ทำให้เจียงหว่านพูดไม่ออก
เธอเหลือบมองเฉียวเหลียนเฉิงอีกครั้ง เธอจำได้ว่าลายมือเขาดูดีเลยทีเดียว
แต่เมื่อเธอเห็นแขนของเขา มันก็ช่างน่าเศร้า
เฉียวเหลียนเฉิงอยากทำ แต่เจียงหว่านไม่ให้โอกาส และปฏิเสธเขาด้วยสายตา ก่อนจะทันได้พูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ
“นายทำไม่ได้หรอก ลายมือของนายน่ะแย่มาก!”
เธอพูดแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้เฉียวเหลียนเฉิงเขียน แม้จะเป็นแขนซ้ายที่มีปัญหา แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะเขียนด้วยมือเดียวโดยไม่มีความสมดุล
เธอทนไม่ได้ที่จะให้เขาทำงานหนัก!
เมื่อเห็นว่าเจียงหว่านไม่ชอบ เฉียวเหลียนเฉิงก็ทำหน้าเข้ม
จากนั้นเสี่ยวไช่ก็กล่าวว่า “ลายมือของผู้เชี่ยวชาญเสิ่นสวยมากเลยนะ!”
เจียงหว่านลูบคิ้วตัวเองพลางครุ่นคิด เสิ่นหรูเหมยยังคงหลับอยู่ และคงยังไม่ตื่นไปอีกสักพัก
แต่ทุกวินาทีมีค่า ต้องให้ไป๋อวี้ซิ่วสารภาพโดยเร็ว เพราะถ้ายืดเยื้อ เธออาจเปลี่ยนใจ และคงลำบากที่จะรอให้เธอพูดออกมาอีก
เมื่อคิดได้ดังนี้ เจียงหว่านก็กางกระดาษออก “ช่างมัน ฉันทำเอง!”
ทุกคนไม่รู้ภูมิหลังของเจียงหว่านมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สงสัยอะไร
แต่มู่เหย่รู้ระดับการศึกษาของเจียงหว่าน เขารู้ว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวในหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการศึกษา
เพราะก่อนจะมาที่นี่ เขาได้ยินคนพูดกัน
‘เฉียวเหลียนเฉิง บุคคลที่โดดเด่นที่สุดในกองทัพ กลับไปแต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้านที่อ่านหนังสือไม่ออก’
ตอนนั้นเขายังคงรู้สึกเสียใจแทนเฉียวเหลียนเฉิงอยู่เลย!
แต่ตอนนี้เจียงหว่านต้องการเขียนบันทึกเอง นั่นทำให้มู่เหย่อดไม่ได้ที่จะพ่นคำพูดร้ายกาจออกไป
“โอ้โห เธอจะเป็นคนเขียนเหรอ ขาหมูใช้เขียนหนังสือได้ด้วยหรือไงน่ะ”
“ฉันเดาว่าลายมือของเธอคงคล้าย ๆ หมูเขี่ย แบบนี้ไปที่คอกหมูแล้วจับลูกหมูตัวน้อย ๆ มาเหยียบเอาไม่ดีกว่าเหรอ!”