เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 235 เป็นคนของเจียงหว่าน ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 235 เป็นคนของเจียงหว่าน ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
บทที่ 235 เป็นคนของเจียงหว่าน ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
เจียงหว่านส่ายหัวคล้ายกับบอกว่าไม่เป็นไร และขณะที่เธอกำลังจะถามเกี่ยวกับสาเหตุการตายของลุงเขา เฉียวเหลียนเฉิงก็พูดขัดจังหวะเธอเสียก่อน
“เจียงเฉิง ผิงอันเป็นยังไงบ้าง ทำไมไม่พามาเที่ยวเล่นที่นี่บ้างล่ะ”
เจียงเฉิงเหลือกตาใส่ชายหนุ่ม ก่อนพูดว่า “ผิงอันก็เป็นลูกของฉันเหมือนกัน ฉันจะใจร้ายกับเขาได้ยังไง พรุ่งนี้เขาจะต้องไปโรงเรียน เลยมาไม่ได้”
“นายวางใจได้เลย อีกไม่กี่วันก็เป็นวันหยุดแล้ว เดี๋ยวฉันจะพาผิงอันมาหานายแน่”
เจียงหว่านรู้สึกประหลาดใจ มองไปที่เฉียวเหลียนเฉิงด้วยสายตาสงสัย
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหัวให้เจียงหว่านเบา ๆ
หากถามมากไปก็จะถูกมองว่าไม่ดีได้ วันนี้ถามมากพอแล้ว ถ้าถามมากกว่านี้อาจถูกสงสัย
พูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค เจียงเฉิงกับจินกังก็เตรียมตัวจะกลับ
แต่มู่เหย่กลับดึงจินกังออกมา
เจียงเฉิงมองไปที่เจียงหว่านแล้วถาม “ผมเห็นแขนของเหล่าเฉียวขยับไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ฟื้นตัวแล้วเหรอ!”
เจียงหว่านประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเจียงเฉิงจะสังเกตเห็น
เจียงหว่านตอบไปตามความจริง
และสุดท้ายพูดเสริมว่า “รอให้เท้าของฉันหายดีก่อน ฉันจะพาเขากลับไปตรวจที่โรงพยาบาล”
เจียงเฉิงพยักหน้า “แบบนี้ก็ดี พวกคุณก็รีบ ๆ ไปล่ะ ผมจะจัดการเรื่องขอลาให้”
“ตอนนี้เหล่าเฉียวไม่อยู่ ผมจะบอกคุณเรื่องของเหล่าเฉียวแล้วกัน”
“สถานการณ์ตอนนี้ของเหล่าเฉียวยังไม่ค่อยดีมากนัก แม้ว่าแขนจะรักษาหายดีแล้ว แต่คงขยับได้ลำบาก”
“ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ตอนนี้ เขาคงกลับไปทำตำแหน่งเดิมได้ยาก”
เจียงหว่านโกรธมากหลังจากที่ได้ยิน “คุณหมายความว่ายังไง ตอนแรกไม่ใช่ตกลงกันแล้วเหรอ เฉียวเหลียนเฉิงมาที่ฟาร์มหมูด้วยความไว้วางใจ บอกว่ารอแค่ไม่กี่เดือนก็จะได้กลับไป”
“หัวหน้าของพวกคุณจะกลับคำพูดได้ยังไง?”
เจียงเฉิงรีบพูดปลอบใจ “ไม่ใช่แบบนั้น และไม่ใช่ปัญหาของหัวหน้าด้วย”
“ตอนนี้เขตทหารถูกรวมเข้าด้วยกัน เขตทหาร 11 แห่งในตอนแรกจะถูกรวมกันเหลือ 7 แห่ง ตำแหน่งเดิมจึงอาจมีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย”
เจียงหว่านยังไม่เข้าใจ “งั้นก็ไม่ควรทำกับเหล่าเฉียวสิ เขาทำคุณงามความดีมาตั้งนับไม่ถ้วน”
เจียงเฉิงพูด “ผมรู้ แต่เขายังไม่เคยเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร!”
“ตอนนี้เขาอยู่ในระดับกองพันก็จริง แต่หลังจากจัดระเบียบกองทัพใหม่ กฎระเบียบก็จะเพิ่มขึ้น ในอนาคตทหารจะต้องมีคุณวุฒิการศึกษา แต่เหล่าเฉียวไม่มีประวัติการศึกษา ผมเกรงว่า…”
เจียงเฉิงไม่ได้พูดต่อ แต่เจียงหว่านก็เข้าใจ
เฉียวเหลียนเฉิงเป็นเด็กที่มาจากชนบท ประวัติการศึกษาจึงไม่ค่อยดี
ถ้าหากไม่มีการศึกษา และยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งต่อไปก็ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎ
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขแล้ว คงไม่มีโอกาสให้เขาสร้างผลงานได้มากนัก
เจียงเฉิงพูดต่อว่า “ผมมาบอกคุณตรง ๆ เพื่อหวังว่าคุณจะสามารถโน้มน้าวใจเขาได้ เพราะคุณที่อยู่ในใจเขาสำคัญมาก ๆ ”
เจียงหว่านขมวดคิ้ว “คุณจะบอกว่า อยากให้ฉันโน้มน้าวเฉียวเหลียนเฉิงเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารเหรอ? เขาจะเรียนทันเหรอ?”
เจียงเฉิงถอดใจ “ถ้าเขาอยากเรียนให้ทันก็ต้องเริ่มเรียนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเขา…”
“แน่นอนว่ายังมีอีกวิธี”
“ผมได้ยินมาว่าช่วงครึ่งปีหน้ากองกำลังตำรวจติดอาวุธจะมาคัดเลือกคนที่เขตทหารของเรา เขาจะต้องผ่านการคัดเลือกเข้ากองกำลังตำรวจติดอาวุธให้ได้ นี่นับเป็นทางออกนึง”
เจียงหว่านเข้าใจ “งั้นก่อนคัดเลือกก็ต้องรักษาแขนเขาให้หายดี”
เจียงเฉิงพยักหน้า “ไม่ว่าจะไปเรียนหรือเข้ารับการคัดเลือก แขนก็ต้องหายดี”
“หากแขนอยู่ในช่วงรักษา และแค่พอสามารถใช้ชีวิตประจำวัน ก็ให้ไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร แต่หากแขนรักษาจนกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่างได้ ก็สามารถเข้าร่วมคัดเลือกกองกำลังตำรวจติดอาวุธได้เลย!”
การเลือกหนึ่งในสองวิธีนี้ก็เหมือนการเลือกเส้นทางในอนาคตของเฉียวเหลียนเฉิง
เจียงหว่านหัวใจหนักอึ้ง
หลังจากพวกเจียงเฉิงกลับไป เฉียวเหลียนเฉิงก็ตักน้ำมาให้เจียงหว่านล้างหน้า
ตอนนี้เจียงหว่านใจลอยเล็กน้อย หลังล้างหน้าเสร็จแล้ว เฉียวเหลียนเฉิงก็ยกกะละมังน้ำ กำลังจะเดินออกไป เธอจึงถามขึ้นมา
“เฉียวเหลียนเฉิง นายสอบผ่านเข้าโรงเรียนเตรียมทหารหรือยัง?”
เฉียวเหลียนเฉิงหยุดชะงัก มือข้างหนึ่งถือกะละมังอยู่ เขานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเดินออกไป
ใจของเจียงหว่านเริ่มสับสน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในสองตัวเลือก แต่เธอรู้ดีว่าแขนซ้ายของเฉียวเหลียนเฉิงจะกลับมาใช้งานได้นั้นเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึงการรักษาจนกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมเลย
ดังนั้น การไปโรงเรียนเตรียมทหารจึงเป็นวิธีที่ดีกว่า
นอกจากนี้ แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมกองกำลังตำรวจติดอาวุธ ประวัติการศึกษาก็ยังไม่เพียงพอ และคงไม่สามารถผ่านไปต่อได้อยู่ดี
เมื่อเฉียวเหลียนเฉิงล้างหน้าเสร็จ และกลับเข้ามา เขาก็เอาแต่เม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
เจียงหว่านซักถาม “ไม่อยากผ่าน หรือว่าไม่คิดจะผ่าน”
เฉียวเหลียนเฉิงเงียบไป แต่สุดท้ายก็ตอบ “อยากสิ แต่ผมไม่มีพื้นฐาน จะเรียนก็ไม่ทันแล้ว!”
เจียงหว่านนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เฉียวเหลียนเฉิงขยับปูเสื่อบนพื้น เตรียมตัวนอน
ตอนนั้นเอง เจียงหว่านก็พูดขึ้นว่า “งั้นฉันจะสอนนาย!”
เฉียวเหลียนเฉิงตกตะลึง จากที่ล้มตัวลงนอนไปแล้ว พอได้ยินแบบนั้น ชายหนุ่มก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที
“คะ คุณพูดว่าอะไรนะ?”
ตอนนี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดมาก ไฟในบ้านก็มืดสนิท
มีเพียงแสงจันทร์จากข้างนอกที่ส่องเข้ามากระทบร่างของทั้งสองคน
แม้ว่าจะมองเห็นร่างของกันและกัน แต่กลับมองสีหน้าได้ไม่ชัดเจน
ทว่าเจียงหว่านยังคงได้ยินเสียงหายใจอันหนักอึ้งของเฉียวเหลียนเฉิง
และรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขาตื่นเต้นแค่ไหน
เจียงหว่านค่อย ๆ คลี่ยิ้มมุมปาก “ฉันบอกว่า ฉันจะสอนนาย แบบนี้นายก็สามารถไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารได้แล้ว”
เมื่อคุณสมบัติของเฉียวเหลียนเฉิงเพียงพอ เขาก็สามารถไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารได้
เจียงหว่านรู้ดีว่าอีกไม่นานกองทัพจะไม่ส่งคนไปเรียนด้วยวิธีนี้แล้ว
ตอนนั้นถ้าอยากจะไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารก็ต้องใช้ความสามารถของตัวเองในการสอบ
เฉียวเหลียนเฉิงรู้สึกดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก
ทว่าเจียงหว่านไม่เห็นสีหน้าของเขา และเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอเลยคิดว่าเขาคงไม่เต็มใจ
หญิงสาวจึงถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม นายไม่เห็นด้วยเหรอ?”
“นายไม่เชื่อว่าฉันสามารถสอนนายได้เหรอ? หรือไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถเรียนได้?!”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายหัว รีบระงับความตื่นเต้นภายในใจลง ก่อนพูดว่า “ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ แต่คุณจะไม่หย่ากับผมใช่ไหม?”
“อย่างน้อยเมื่อครบกำหนดหนึ่งปีแล้ว คุณจะไม่ขอหย่ากับผมตามที่ตกลงกันไว้ใช่ไหม”
เจียงหว่านรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย “นี่คือเหตุผลที่นายตื่นเต้นเมื่อกี้เหรอ?”
เฉียวเหลียนเฉิงยิ้มบาง “ก็ใช่น่ะสิ ต่อไปถ้าคุณสอนผม เวลาแค่ หนึ่งหรือสองเดือนก็อาจไม่พอ เพราะผมมันโง่มาก และพวกบทเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายก็คงต้องใช้เวลาสอนราวสามถึงสี่ปีเลยล่ะ”
“ดังนั้น คุณก็หย่ากับผมไม่ได้สิ”
แม้ว่าจะยังไม่ได้รับคำตอบในทันที แต่เขาก็รู้สึกดีใจจนตัวแทบลอย รอไม่ไหวที่จะนับถอยหลังเพื่อเฉลิมฉลอง
แต่น่าเสียดายที่เขาดีใจได้ไม่นาน เจียงหว่านก็พูดบั่นทอนจิตใจเขาแล้ว
“นายเป็นคนของเจียงหว่าน ทำไมถึงคิดจะเรียนตั้งสามสี่ปี”
“หนึ่งปี ฉันให้เวลานายอีกหนึ่งปี ฤดูร้อนในปีหน้านายต้องเข้าสอบข้อเขียน ขอแค่คะแนนผ่าน ในฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารได้แล้ว”
เฉียวเหลียนเฉิงชะงักไป รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว
อย่างกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน*[1]แน่ะ (หมายถึงมีเรื่องที่ไม่คาดฝันทำให้ตกใจอย่างมาก)
เฉียวเหลียนเฉิงได้ฟังคำเจียงหว่าน เขาได้แต่ต้องลองสู้เพื่อตัวเอง “เวลาน้อยขนาดนั้น ผมไม่มีพื้นฐานอะไรสักอย่าง คงไม่ทันหรอก”
เจียงหว่านแค่นเสียง “เฉียวเหลียนเฉิง ตอนนี้นายไม่ต้องไปนำกองทัพ งานที่ต้องรับผิดชอบก็ไม่มี ทุก ๆ วันก็แค่เรียนกับเลี้ยงหมู ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ”
“คนของเจียงหว่านไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ต้องพูดว่าทำได้สิ”
*[1]ฟ้าผ่าตอนกลางวัน หมายถึง มีเรื่องที่ไม่คาดฝันทำให้ตกใจอย่างมาก