เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80 - บทที่ 195 เธอคือภรรยาของหัวหน้ากองพันที่ถือมีดทำครัวไล่ฆ่าคน
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาอ้วนของหัวหน้ากองพันสุดฮอต ยุค 80
- บทที่ 195 เธอคือภรรยาของหัวหน้ากองพันที่ถือมีดทำครัวไล่ฆ่าคน
บทที่ 195 เธอคือภรรยาของหัวหน้ากองพันที่ถือมีดทำครัวไล่ฆ่าคน
ผิงอันเหมือนกับหวาดกลัวว่าเจียงหว่านจะถามอีกครั้ง เขาเลยรีบวิ่งเข้าห้องเรียนทันที
“ผมจะไปเรียนต่อแล้ว คุณกลับไปเลย!”
“แต่คุณอย่าบอกพ่อเรื่องนี้นะ!”
หลังพูดจบ เขาก็หายตัวไป
เจียงหว่านยืนอยู่ตรงนั้น มองร่างของผิงอันที่หายลับไป และตระหนักได้ว่าหมูตัวน้อยของเธอได้โตขึ้นแล้ว และกำลังคิดถึงกะหล่ำปลีในไร่ของคนอื่น[1]*!
ในชั่วพริบตา วันหยุดทั้งเจ็ดวันของเฉียวเหลียนเฉิงก็หมดลง
และตอนนี้เจียงหว่านยังคงไม่คลายกังวล แม้ว่าแขนของเฉียวเหลียนเฉิงจะดูไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหายดี
เขาสามารถขยับมือได้ แต่มันก็ยังเจ็บ
แค่การจะหยิบไข่ขึ้นมาสักใบ ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเลย
ไม่ต้องคิดไปถึงการทำงานเลยด้วยซ้ำ
ก่อนที่วันหยุดกำลังจะหมดลง เจียงหว่านพาเฉียวเหลียนเฉิงเข้าเมืองไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอ่านบันทึกการรักษาของเขา เมื่อเข้าใจสถานการณ์โดยละเอียดแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น เส้นประสาทของเขาเชื่อมกันได้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นข่าวที่ดีมาก”
“แต่จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานสักหน่อยกว่าจะหายเป็นปกติ”
“ตอนนี้คนไข้ต้องดูแลตัวเองให้ดี ห้ามยกของหนัก ออกกำลังกายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างปอกเปลือกไข่ หรือหยิบถั่วนะครับ”
ผู้อำนวยการให้คำแนะนำโดยละเอียด และเจียงหว่านจดจำทุกสิ่งอย่างด้วยความรอบคอบ
ระหว่างทาง เจียงหว่านยังเงียบ
เฉียวเหลียนเฉิงอดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเครียด ไม่ยอมพูดอะไรเลย
เขาดึงแขนเสื้อของเธอ “หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรรึเปล่า? เพราะแขนของผมพิการเหรอคุณถึงหงุดหงิด?”
เจียงหว่านหันมองเขาด้วยความโกรธ “พูดเรื่องไร้สาระอะไร นายไม่ได้พิการนะ!”
“นายขยับมือได้แล้ว นี่ไม่ใกล้เคียงกับการพิการเลยสักนิด!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะหาวิธีช่วยนายฟื้นฟูเอง!”
เฉียวเหลียนเฉิงหลุบตาลงต่ำ ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความสุขในใจ
แต่เจียงหว่านกลับรู้สึกหงุดหงิดที่เขาทำตัวแบบนี้ “ยิ้มอะไร? ไม่เชื่อที่ฉันพูดรึไง!”
เฉียวเหลียนเฉิงส่ายศีรษะ “เชื่อ ผมเชื่อคุณทุกอย่าง”
เจียงหว่านรู้สึกว่าเขากำลังแกล้งเธอ
เฉียวเหลียนเฉิงคล้ายจะรู้สิ่งที่เธอคิด จึงกล่าวขึ้นว่า “ผมรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมเข้าใจคุณผิดเรื่องการพนัน และผมสัญญากับตัวเองแล้วว่า ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ผมก็จะเชื่อคุณทุกอย่าง”
หัวใจเจียงหว่านวูบไหว พริบตาต่อมา เธอก็หันมองเขาด้วยความสงสัย “แล้วถ้าฉันโกหกนายล่ะ!”
เฉียวเหลียนเฉิงตกตะลึง เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย
เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ แล้วพูดว่า
“ตราบใดที่มันไม่ร้ายแรง ผมก็ยินดีที่จะถูกหลอก”
“ทำไม?” เจียงหว่านไม่เข้าใจ
เฉียวเหลียนเฉิงเป็นคนฉลาด เขาไม่ใช่คนโง่ แต่กลับพูดจาโง่เขลาแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
ความรักทำให้คนหูหนวกตาบอดเหรอ?
ใครจะรู้ว่าผู้ชายเย็นชาคนนี้จะมีด้านอ่อนโยนและหลงใหลผู้หญิงคนหนึ่งได้มากขนาดนี้
เฉียวเหลียนเฉิงฟังคำถามของเธอ ก่อนจะตอบกลับด้วยสายตาที่อบอุ่น
“เพราะว่าผมโง่และไม่เข้าใจความเป็นไปต่าง ๆ แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าผมเข้าใจมันดี”
“แม้หนึ่งชีวิตของมนุษย์นั้นยืนยาว แต่การได้รักใครสักคนก็เพียงพอแล้ว”
“หากได้เจอคนที่รักแล้ว ก็จะต้องรักให้สุดหัวใจ”
“ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องทรยศต่อประเทศชาติ ผมยินดีทำทุกอย่างที่คุณต้องการ”
หัวใจของเจียงหว่านเต้นเร็วราวกับรัวกลอง เธอรีบหันหน้าไปทางอื่น
ใจของเธอรู้สึกวูบไหวอย่างน่าประหลาด
เธอไม่คิดมาก่อนว่า เฉียวเหลียนเฉิงที่ดูซื่อบื้อคนนี้จะพูดสาธยายความรักได้หวานเลี่ยน
เจียงหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์วุ่นวายภายใน
เมื่อหันกลับมา แววตาของเธอก็สงบนิ่งอีกครั้ง
“ฉันจะไปดูฟาร์มของนาย”
เฉียวเหลียนเฉิงถึงกับประหลาดใจ “คุณจะไปทำอะไร? มันทั้งไกลนะ แล้วยังกันดารมากด้วย”
ฟาร์มนั่นอยู่เชิงเขาห่างจากค่ายทหารกว่าสี่สิบกิโลเมตร!
ทว่าเจียงหว่านไม่สนใจคำพูดของเฉียวเหลียนเฉิง
พรุ่งนี้เฉียวเหลียนเฉิงจะต้องไปรายงานตัวที่ฟาร์ม นั่นทำให้เจียงหว่านรู้สึกไม่ไว้ใจหากปล่อยให้เขาไปคนเดียว เธอเลยตัดสินใจจะตามไปด้วย
หลังกลับมาถึงบ้าน เจียงหว่านจัดเสื้อผ้าเก็บข้าวของทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นคร่อมจักรยาน เป็นการยืนยันว่าจะไปกับเฉียวเหลียนเฉิงให้ได้
“ถึงคุณจะขี่จักรยานไป แต่ผมก็เป็นตัวถ่วงของคุณอยู่ดี” เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวอย่างโศกเศร้า
เจียงหว่านไม่ได้พูดอะไร เพียงหันมองแขนซ้ายของเขา และเข้าใจว่าเฉียวเหลียนเฉิงกังวลอะไร
เขาทำได้เพียงนั่งซ้อนเจียงหว่านอยู่เบาะหลังของจักรยานเท่านั้น
โชคดีที่ขาของเขายาว ถ้าจักรยานรับไม่ไหว ก็สามารถใช้ขายันพื้นช่วยพยุงได้
เจียงหว่านปั่นจักรยานออกไปด้วยความแข็งแรง
ภาพหญิงอ้วนหนักร้อยกิโลกรัมปั่นจักรยาน โดยมีชายสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรซ้อนท้าย… ดึงดูดความสนใจของผู้คนระหว่างทาง
ผู้คนอดไม่ได้ที่จะมองพวกเขา และชี้มือชี้ไม้
คราวแรกเฉียวเหลียนเฉิงอับอายจนหน้าแดง
แต่ไม่นานเขาก็เริ่มชินชากับสิ่งนี้ และเริ่มทำใจรับมันได้
เมื่อคิดว่าภรรยาของตนกำลังพาไปยังจุดหมาย เฉียวเหลียนเฉิงก็ละลายความอับอาย และเปลี่ยนเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจแทน
เจียงหว่านปั่นจักรยานพาเฉียวเหลียนเฉิงมาที่ฟาร์ม กว่าจะถึงก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว
ทันทีที่เฉียวเหลียนเฉิงลงจากจักรยาน เจียงหว่านก็รู้สึกราวกับว่ากำลังจะเป็นอัมพาตจากความเหนื่อยล้า
“หว่านหว่านให้ผมเข็นก็ได้นะ ผมเข็นจักรยานมือเดียวได้ คุณพักสักหน่อยเถอะ” เฉียวเหลียนเฉิงกล่าวด้วยความเป็นห่วง
แต่เจียงหว่านส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร อาการของนายจะต้องใช้เวลารักษา และต่อไปงานของนายก็ยังต้องใช้มืออย่างหนักอีก”
เฉียวเหลียนเฉิงลังเลที่จะพูดต่อ แต่พอได้ยินว่าภรรยากำลังปกป้องเขา ใจก็พลันอุ่นวาบขึ้นมา เขากำลังได้สัมผัสกับความรู้สึกหอมหวาน!
เมื่อทั้งสองมาถึง สุนัขในฟาร์มก็เห่าเสียงดัง เจียงหว่านมองดู และเห็นว่ามันเป็นหมาป่าสีดำตัวใหญ่ แม้จะผอมไปสักหน่อย แต่ก็ดูแข็งแรงดี
เพราะมีสุนัขเฝ้าอยู่หน้าประตู เฉียวเหลียนเฉิงกับเจียงหว่านจึงไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เพราะเกรงว่าจะถูกกัด
ฟาร์มนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้ยืนอยู่ด้านหน้าก็ยังไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้
มีกำแพงสูงสองเมตร ก่อด้วยอิฐ และมีคำขวัญเขียนไว้บนผนังเด่นชัด
‘ชูธงให้สูง เชื่อมั่นการนำของพรรค เสริมกำลังให้ประเทศด้วยทหาร และการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ’!
ไม่นานนัก ทหารนายหนึ่งก็วิ่งออกมา “พวกคุณเป็นใคร? โอ้ นี่หัวหน้ากองพันเฉียวหรือเปล่า!”
ก่อนเฉียวเหลียนเฉิงจะพูดอะไร ทหารนายนั้นก็ตะโกนเข้าไปด้านใน
“เฮ้! หัวหน้ากองพันเฉียวมาแล้ว!”
พอตะโกนแล้ว เขาก็หันกลับมาหาเฉียวเหลียนเฉิง พร้อมกล่าวทักทาย “หัวหน้าเฉียว ผมชื่อหลี่จ้วงจ้วง พลทหารของกองพันที่ 1 ของกองร้อยที่ 1 ครับ!”
“แต่ตอนนี้ถูกย้ายมาเลี้ยงหมูครับ อิอิ!”
เฉียวเหลียนเฉิงยกยิ้มอย่างขมขื่น “ผมไม่ใช่หัวหน้ากองพันอีกแล้ว ไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นหรอก”
หลี่จ้วงจ้วงยิ้ม “ครับ คุณไม่ใช่หัวหน้ากองพัน แต่คุณคือผู้บัญชาการภาคสนามของพวกเรา สวัสดีครับผู้บังคับบัญชาภาคสนาม!”
หลังพูดอย่างนั้น เขาก็ยืนตัวตรงทำความเคารพ และเฉียวเหลียนเฉิงก็ทำตามเคารพกลับเช่นกัน
ตอนนี้เองก็มีทหารสามหรือสี่นายวิ่งออกมา ทันทีที่พวกเขาเห็นเฉียวเหลียนเฉิง ทั้งหมดก็ยืนตรง และทำความเคารพ พร้อมแนะนำตัวเองเสียงดังฟังชัด
ส่วนใหญ่แล้วทั้งหมดเป็นทหารจากกองพันที่ 1 ของกองร้อยที่ 1 มีเพียงคนเดียวที่มาจากกองพันที่ 2 ของกองร้อยที่ 3
พวกเขามีทั้งหมดแปดคน
“หัวหน้าเฉียว ในที่สุดคุณก็มา”
“หัวหน้าเฉียว เราได้ยินว่าคุณได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้หายดีหรือยังครับ?”
“ไม่ต้องห่วงนะครับหัวหน้าเฉียว พวกเราจะไม่ให้คุณทำงานหนัก คุณพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายอย่างเดียวก็พอ!”
พวกเขาเข้ามาล้อมเฉียวเหลียนเฉิง พร้อมกับตะโกนโวกเหวกเสียงดัง
เฉียวเหลียนเฉิงทำตัวนอบน้อม ไม่ได้บ้าอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น
เห็นว่าเฉียวเหลียนเฉิงเป็นแบบนี้ เจียงหว่านจึงตระหนักได้ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่หล่อเหลาเพียงหน้าตา แต่นิสัยของเขายังหล่อมากด้วย!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีคนชื่นชอบเขามากมาย
และขณะนั้น ใครคนหนึ่งก็สังเกตเห็นเจียงหว่าน
“เฮ้ สหายคนนี้เป็นใครกัน? สวัสดีครับ คุณมาหาใครเหรอ?” หลี่จ้วงจ้วงถามด้วยความสงสัย
เพื่อนที่อยู่ด้านข้างตบศีรษะเขาอย่างแรง “ไอ้โง่เอ๊ย นั่นภรรยาของผู้บังคับบัญชาภาคสนามของพวกเราไงเล่า!”
ทันใดนั้นหลี่จ้วงจ้วงก็ตะโกนขึ้น “อ้อ! เธอคือภรรยาของหัวหน้ากองพันที่ถือมีดทำครัวหลายสิบเล่มไปไล่ฆ่าคนสินะ อื้ม เธอน่าเกรงขามจริง ๆ!”
[1] คิดถึงกะหล่ำปลีในไร่ของคนอื่น หมายถึง เป็นห่วงคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว