เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 99 ให้ฉันชิมดูว่าหวานหรือไม่หวาน
บทที่ 99 ให้ฉันชิมดูว่าหวานหรือไม่หวาน
สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ “ฉินกุ้ยจือร้ายกาจปานนั้นเลยเหรอ”
ฉินเสวี่ยเหมยได้ยินผู้ใหญ่ในบ้านคุยกัน จึงนำมาพูดกับสวี่ชิงว่า “ที่ฉินกุ้ยจือเข้าทำงานที่โรงอาหารได้ ส่วนสามีหล่อนก็สามารถทำงานในโรงงานเนื้อได้ ก็ล้วนเป็นเส้นสายภายในครอบครัวทั้งนั้น ได้ยินว่าญาติของฉินกุ้ยจือน่ะไม่ธรรมดาเชียวล่ะ ตอนนี้สวี่หรูเยว่เลยได้แต่กินขี้และต้องยอมแต่งงานไป!”
สวี่ชิงได้ยินการเปรียบเปรยฉินเสวี่ยเหมยก็รู้สึกว่าไอศกรีมในมือไม่อร่อยแล้ว “ต่อให้พรุ่งนี้ยังมีพิธีแต่งงานอยู่ ก็เกรงว่าคงเป็นการแต่งแบบจำใจไม่น้อย”
ฉินเสวี่ยเหมยพยักหน้า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ตอนนี้ทั้งบ้านนั้นเหมือนโดนระเบิดลง ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันทั้งนั้น”
สวี่ชิงหรี่ตาลง กลับคิดว่าบทสรุปเช่นนี้มันยังเบาเกินไปสำหรับฟางหลานซินกับสวี่หรูเยว่
เพราะเธอต้องเสียลูกไปทั้งคน ขนาดชดใช้ด้วยชีวิตของพวกหล่อนทั้งสองก็ใช้ให้ไม่ไหว
ฉินเสวี่ยเหมยทิ้งไม้ไอศกรีม ก่อนไปล้างมือแล้วกลับมา “จริงสิ ฉันได้ยินว่าพ่อกับแม่เลี้ยงของเธอยังทะเลาะกันอยุ่ในบ้านด้วย แม่เลี้ยงเธอบอกว่าพ่อเธอไม่ช่วยห้ามไม่พอ ยังเชื่อเรื่องที่ผู้หญิงบ้าคนหนึ่งพูดอีก ส่วนพ่อเธอคิดว่าแม่เลี้ยงเธอทำให้เขาขายหน้า สองคนนั้นทะเลาะกันหนักมากเลยล่ะ พังข้าวของในบ้านไปไม่น้อย”
สวี่ชิงนึกถึงรอยแผลเป็นบนใบหน้าของสวี่จื้อกั๋ว ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของฟางหลานซิน
พวกเขาเปรียบเสมือนคู่สามีภรรยาตัวอย่างของหมู่บ้านเขตโรงงาน ทะเลาะกันน้อยมาก ๆ
ขณะที่คู่สามีภรรยาบ้านอื่นทะเลาะกันเป็นปกติเหมือนกินข้าว ดังนั้นการทะเลาะกันครั้งนี้ของสวี่จื้อกั๋วกับฟางหลานซินจึงสะดุดตาคนอย่างมาก
พวกเขายังเคยได้รับการชมเชยจากสมาคมแม่บ้านกับสหพันธ์โรงงานด้วย
กลับคิดไม่คิดว่าคนดีของทุกคนจะถูกทำลายภาพลักษณ์เสียย่อยยับแบบนี้
ฉินเสวี่ยเหมยคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก “ถ้าสวี่หรูเยว่เป็นลูกของศาสตราจารย์ติงจริง แม่เลี้ยงของเธอก็ร้ายใช่ย่อยเลยนะ”
สวี่ชิงเองก็นับถือฟางหลานซินในจุดนี้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกลับมาเกิดใหม่และรู้เรื่องราวภายใน เธอก็คงตามเกมของฟางหลานซินไม่ทันเช่นกัน
ปากของหล่อนหวานราวกับน้ำผึ้ง ทว่าลับหลังกลับถือมีดเตรียมเชือดอย่างโหดร้าย
ฉินเสวี่ยเหมยอยู่คุยสักพักจึงรีบร้อนกลับบ้านไปทำกับข้าว กลัวว่าพ่อแม่เลิกงานกลับมาแล้วเห็นหล่อนยังอยู่กับสวี่ชิงแล้วจะด่าว่าเอา
สวี่ชิงรอจนกระทั่งฉินเสวี่ยเหมยกลับไปแล้วก็นั่งพักหนึ่งคิดถึงเรื่องในชีวิตชาติก่อนที่เลือนรางไปแล้ว คิดถึงตอนตัวเองยังเด็ก แล้วคิดถึงแม่แท้ ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
จากนั้นถึงค่อยลุกขึ้นไปทำกับข้าวในห้องครัว มองไอศกรีมในชามที่ละลายไปแล้ว จู่ ๆ ก็คิดแผนร้ายออก
เธอยกชามนั้นกลับเข้าไปในห้องหาโจวจินหนานที่ยังคงคลำท่อนไม้ไปด้วยแกะสลักไปด้วย
“พักผ่อนสักเดี๋ยวสิคะ ฉันรินน้ำเย็นมาให้คุณชามหนึ่ง คุณดื่มก่อนเถอะ”
โจวจินหนานไม่สงสัยเลยสักนิดเดียว ยื่นมือไปรับชามใบนั้นจากสวี่ชิง แล้วยกดื่มเข้าไปคำโต จากนั้นความหวานและเย็นก็เข้าสู่โพรงปาก
เขาหยุกชะงัก ลูบลำคอและฝืนกลืนเข้าไป
สวี่ชิงกดไหล่ของเขาไว้แล้วยืนข้างกาย “หวานมากเลยใช่ไหมคะ คุณต้องดื่มให้หมดนะคะ”
โจวจินหนานยิ้มมุมปาก ยกไอศกรีมที่ละลายแล้วดื่มจนหมด ความเย็นและหวานไหลลงผ่านลำคอทำให้รู้สึกมีความสุขและสบายมาก
เขาเม้มปากล่างเบา ๆ แล้วใช้ลิ้นไล่เลียความหวานที่ติดอยู่บนริมฝีปาก
“ขอฉันชิมหน่อยค่ะว่าหวานหรือว่าไม่หวาน” น้ำเสียงสวี่ชิงแฝงความยั่วเย้า หยอกล้อโจวจินหนานอยู่ในที
โจวจินหนานใบหูแดงอย่างอดไม่อยู่ ในใจเอ่อล้นไปด้วยรสหวานของความสุขระคนกับกังวลใจเล็กน้อย
เขากลัวว่าตนจะจับความสุขนี้เอาไว้ไม่อยู่!
สวี่ชิงหยอกล้อโจวจินหนานเสร็จก็เดินไปทำกับข้าวอย่างอารมณ์ดี
เธอนำมันฝรั่งไปต้มให้สุกดีก่อน จากนั้นก็ปอกเปลือกมันฝรั่งออก แล้วเริ่มทุบมันฝรั่งด้วยค้อนไม้ ทุบจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกันจึงค่อยหยุดมือ
มันฝรั่งเป็นอาหารจานหลักเมื่อตอนที่ทั้งมณฑลขาดแคลนอาหาร เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะกินแต่มันฝรั่งทั้งฤดู คนทางนี้จึงเรียกมันว่า หยางยู่
และเจียวทวน*ก็ถือว่าเป็นอาหารสามัญประจำบ้าน ดังนั้นไม่ว่าบ้านไหนต่างก็มีรางไม้ไว้สำหรับทุบมันฝรั่ง
สวี่ชิงทุบอีกสองสามครั้ง โจวจินหนานก็เดินเข้ามา “ทำเจียวทวนหรือ ให้ผมทุบให้ไหม”
การทุบมันฝรั่งนั้นต้องใช้แรงค่อนข้างมาก สวี่ชิงทุบอยู่สองสามครั้งก็เริ่มมีเหงื่อออกแล้ว จึงส่งค้อนไม้ให้โจวจินหนานอย่างไม่เกรงใจ ดึงเขามายืนที่ตำแหน่งค้อนไม้สำหรับทุบมันฝรั่ง “ยืนตรงนี้ค่ะ คุณค่อย ๆ ทุบก็พอ”
หลังจากโจวจินหนานทุบอยู่สองสามครั้ง ก็สามารถหาตำแหน่งดี ๆ ได้ทุบลงไปอย่างแรง
สวี่ชิงยืนมองข้าง ๆ สักพัก พอเห็นว่าโจวจินหนานทำได้ไม่มีปัญหาแล้ว ก็ไปหั่นผักกาดดองและผักดองอื่น ๆ เตรียมทำหลู่เว่ย
ตอนเกาจ้านมาถึงก็มองเห็นภาพตรงหน้านี้เข้าพอดี ว่าโจวจินหนานกับสวี่ชิงสองคนยืนอยู่ในห้องครัวไม่ใหญ่นี้ด้วยกัน
คนหนึ่งทุบค้อนไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า คนหนึ่งสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้ายืนหั่นผักหน้าโต๊ะอีกด้านหนึ่ง
ทั้งบ้านอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
เกาจ้านมองแล้วจู่ ๆ ก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบเรื่องแต่งงานขึ้นมาเสียดื้อ ๆ การใช้ชีวิตด้วยกันกับคนสองคนก็ดูจะดีเหมือนกัน
ตอนเขาเข้ามาในห้องครัวเงียบ ๆ โจวจินหนานก็หยุดการเคลื่อนไหวหมุนตัวกลับมา “ในเมื่อมาแล้วงั้นมาช่วยกันหน่อย”
เกาจ้านด่าออกไปคำหนึ่ง “หูของนายนับวันยิ่งเหมือนไป๋หลางเข้าไปใหญ่ กลับฟังออกว่าฉันมาแล้วได้ด้วย”
สวี่ชิงได้ยินโจวจินหนานทักจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเกาจ้านมาหา ตอนนี้พอได้ยินเขาพูดถึงไป๋หลาง ก็พูดอีกว่า “พวกเราสามารถไปหาเจ้าไป๋หลางได้หรือยังคะ”
เกาจ้านพยักหน้า “ได้แล้ว แต่ว่าตอนนี้เจ้านั่นขี้เหร่มากนะ”
สวี่ชิงคิด “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงฉันติดธุระนิดหน่อย ตอนบ่ายไปเยี่ยมได้ไหมคะ ถึงตอนนั้นจะได้ซื้อซาลาเปาเนื้อไปให้ไป๋หลางด้วยสองลูก”
เกาจ้านหัวเราะเหอะ ๆ “อาหารของไป๋หลางยังดีกว่าผมซะอีกนะเนี่ย”
พูดแล้วก็หยิบไม้ทุบมันฝรั่งอย่างว่าง่าย
ยังดีที่สวี่ชิงเตรียมอาหารไว้เยอะมาก ดังนั้นเมื่อรวมเกาจ้านด้วยคนมื้อเย็นนี้จึงกินได้เพียงพอ
ซุปเปรี้ยวใส่ผักดองหั่นเป็นเส้น เพิ่มน้ำมันพริกสีแดงหอม ๆ พอกินเข้าไปแล้วชวนให้คนรู้สึกสดชื่นและอยากอาหาร
เกาจ้านกินแล้วก็ถอนหายใจไปด้วย “เธอคงยังไม่รู้ โจวจินหนานชอบกินอาหารรสชาติแบบนี้แหละ ตอนนั้นพวกเราไปฝึกอบรมที่ไห่หนานหนึ่งปี แต่เขาโลภมากบอกว่า ถ้าไม่มีผักดองก็ไม่มีอารมณ์จะกินข้าว”
สวี่ชิงตกตะลึง “ชอบกินเจ้านี่หรือคะ แล้วทำไมไม่บอก ต่อไปพวกเราจะได้ทำบ่อย ๆ ”
นอกจากทุบมันฝรั่งจะเปลืองแรงไปหน่อย อาหารอย่างอื่นก็ทำง่ายมาก
โจวจินหนานไม่ส่งเสียง เพียงยัดเข้าปากกินเงียบ ๆ ทุกคำที่กินดูตั้งอกตั้งใจอย่างมาก
ที่จริงเมื่อก่อนเขาไม่เพียงเคยเจอสวี่ชิง ยังเคยกินเจียวทวนที่เธอทำอีกด้วย เพียงแค่เธอจำไม่ได้ก็เท่านั้น
เกาจ้านกินมื้อเย็นไปด้วยแล้วก็เริ่มพูดเรื่องซุบซิบกับโจวจินหนาน “ได้ยินว่าต้องเปลี่ยนฐานทัพอีกครั้ง ครั้งนี้กองทัพของพวกเรากับกองทัพใหญ่ต้องไปที่ซีเป่ย สถานที่ก็ยิ่งลำบากขึ้นหน่อย”
โจวจินหนานไม่ส่งเสียง ตอนนี้ดวงตาของเขายังรักษาไม่หายดี อย่างไรก็คงไปไม่ไหว
เกาจ้านมองตาของโจวจินหนานแล้วจู่ ๆ ก็ถอยหายใจ “ตอนนี้พวกเรากลับหวังว่าตาของนายจะรักษาไม่หาย พวกเราจะได้ไม่ต้องไปที่ทิเบตนั่น”
สวี่ชิงฟังพอเข้าใจนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ควรถาม จึงเก็บถ้วยชามไปในครัว
ในใจกลับคิดหากดวงตาของโจวจินหนานหายดีแล้ว เขายังต้องไปเข้าร่วมกองทัพอีกใช่หรือไม่?
ต่อไปพวกเขาก็จะยิ่งเจอกับยากขึ้น แล้วก็อดคิดถึงโจวจินหนานในชาติก่อนนั้นเขาไม่ได้แต่งงานใหม่มาโดยตลอด แต่ว่ามันเพราะอะไรกันล่ะ ที่ทิเบตเขาหาผู้หญิงที่เหมาะสมไม่ได้อย่างนั้นหรือ
หล่อนล้างจานไปด้วยในหัวก็คิดวุ่นวายไปด้วย แม้แต่ตอนที่เกาจ้านกลับไปตอนไหนเธอก็ยังไม่รู้ตัว
เรื่องนี้สวี่ชิงเองก็ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ เพราะตอนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นนั้น เกี่ยวพันกับเรื่องของประเทศชาติ เธอก็ไม่อาจขัดขวางได้เช่นกัน ดังนั้นรอให้เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนค่อยว่ากัน
จึงรีบเตรียมตัวไปพบเถ้าแก่จากตลาดมืดคนนั้นในวันพรุ่งนี้จากกระตือรือร้น
เช้าวันวันพรุ่งนี้ สวี่ชิงไม่ได้ไปดูเรื่องสนุกที่งานแต่งงานของสวี่หรูเยว่ เธอคิดว่าถึงตอนบ่ายเดี๋ยวฉินเสวี่ยเหมยก็มาเล่าให้เธอฟังทั้งหมดเอง
เธอเก็บข้าวของในบ้านเสร็จในเวลาอันสั้น ทั้งยังทำความสะอาดห้องทางทิศตะวันออกรอบหนึ่ง เตรียมไปรีบคุณย่ามาอยู่ด้วยกันในสองวันนี้
เมื่อถึงเวลาบ่ายโมง ก็เตรียมตัวพาโจวจินหนานไปซอยหลี่โค่ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่จากตลาดมืดได้ยืนไพล่หลังรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้วที่หน้าร้านไก่ย่าง….
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ร้ายกาจซุกซนมากเลยชิงชิง แกล้งพี่หนานแบบนี้ระวังเป็นเหยื่อหมาป่านะ
ออกมาเจอเถ้าแก่ตลาดมืดครั้งนี้จะมีเรื่องไหมหนอ
ไหหม่า(海馬)