เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 59 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
บทที่ 59 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
สวี่ชิงยังคงรอคอยคำตอบจากเขา และคิดว่าจะยังถอยทีถ้อยอาศัยกันได้จึงเจรจากับเขา เธอมองผู้อำนวยการด้านการขนส่งด้วยรอยยิ้ม “ฉันอยากขอร่วมลงทุนกับสถานี คุณต้องการสร้างรายได้จากการขนส่งเพิ่มหรือเปล่าคะ?”
ผู้อำนวยการด้านการขนส่งมองสวี่ชิงด้วยความสงสัย “ร่วมลงทุนหรือ?”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ธุรกิจประเภทไหนกันเล่าที่ทางสถานีจะสามารถร่วมลงทุนได้?
สวี่ชิงเริ่มกล่าวโน้มน้าว “ฉันเห็นว่ามีแผงขายของในสถานีที่ยังว่างอยู่สองสามแผง ว่ากันว่าสถานีแห่งนี้เป็นสถานีใหญ่ในเมืองหลวงประจำมณฑล ทำให้ต้องรองรับผู้โดยสารจำนวนมหาศาล ดังนั้นจึงไม่ควรอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย ท่านผู้อำนวยการเคยคิดหรือเปล่าคะว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจอาจมีปัญหา? ถ้าเราตกลงร่วมมือกันและลงนามในสัญญา ฉันจะทำให้ธุรกิจที่สถานีของเราเจริญขึ้นแน่นอนค่ะ”
แผนการของเธอเรียบง่ายมาก คือการให้สถานีมอบสิทธิ์จัดการให้กับเธอ จากนั้นก็รับผิดชอบเรื่องสร้างธุรกิจที่ดึงดูดลูกค้าเพื่อหารายได้ และหักรายได้บางส่วนให้สถานี
เมื่อเห็นว่าธุรกิจร้านบะหมี่ค่อนข้างซบเซาในตอนนี้ เธอก็เกิดความคิดใหม่ เธอไม่ได้ต้องการแค่เฝ้าแผงขายหมูตุ๋น ต่อให้มันจะสามารถทำเงินได้ แต่ก็อาจใช้เวลานานเกินไป
ผู้อำนวยการด้านการขนส่งครุ่นคิด ราวกับว่ากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในคำพูดของสวี่ชิง
เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของสวี่ชิง และหน้าตาท่าทางที่จริงจังผิดปกติ เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย ปกติแล้วการเปิดให้เช่าแผงลอยที่สถานีไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ด้วยค่าเช่าที่สูงเกินไปจึงทำให้หลายคนขยาด
สวี่ชิงยังคงชักจูงต่อไป “การร่วมทุนของฉัน ถ้าคุณเห็นด้วย ฉันจะแจ้งรายละเอียดให้คุณทราบในภายหลังค่ะ ฉันรับประกันว่าจะทำเงินได้มากกว่าค่าเช่าแผงที่คุณเก็บได้ ผลประโยชน์สำหรับคุณก็คือคุณสามารถรับส่วนแบ่งได้ด้วย”
ใครจะยอมทำสิ่งที่ตนไม่ได้ผลประโยชน์?
ผู้อำนวยการด้านการขนส่งเริ่มสนใจขึ้นมาทันที “อ้าว แล้วทำไมคุณไม่พูดเรื่องนี้เลยล่ะ?”
สวี่ชิงส่ายหัว “ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้เพราะต้องคิดดูก่อน ฉันจะแต่งงานสิ้นเดือนนี้ และฉันยังไม่มีเวลาลงมือจนกว่างานแต่งจะเสร็จสิ้นไป”
ผู้อำนวยการด้านการขนส่งไม่ได้หักหน้าสวี่ชิง “เอาล่ะ แล้วกลับมาอีกนะ ฉันอยากได้ยินว่าการร่วมลงทุนของคุณเป็นอย่างไรกันแน่”
สวี่ชิงออกจากสำนักงานอย่างอารมณ์ดี เมื่อแต่งงานแล้ว สิ่งต่าง ๆ จะง่ายขึ้นมาก
เดิมทีคิดว่าจะไปหาฉินเสวี่ยเหมย แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับฉินเสวี่ยเหมยระหว่างทาง
ฉินเสวี่ยเหมยกำลังจูงจักรยานออกมาจากซอย และรู้สึกประหลาดใจที่เห็นสวี่ชิง “สวี่ชิงเหรอ? พวกเธอย้ายเข้าบ้านใหม่กันแล้วเหรอ?”
สวี่ชิงจอดรถจักรยานข้างทาง “ยังเลย วันนี้แค่มาทาสีบ้าน เธอกำลังจะไปทำงานเหรอ? ฉันคิดจะมาเจอเธออยู่พอดี”
ฉินเสวี่ยเหมยหันไปมองจักรยานคันใหม่ของสวี่ชิงอีกครั้ง สายตาของหล่อนเต็มไปด้วยความชื่นชม “เธอซื้อจักรยานคันใหม่แล้ว ดูของฉันสิ ทุกที่ส่งเสียงดังยกเว้นกระดิ่ง พี่ชายของฉันให้มาเพราะเขาไม่ต้องการมันแล้ว”
หล่อนจอดรถแล้วแตะกระดิ่งจักรยานของสวี่ชิงด้วยความอิจฉา ก่อนจะถามว่า “เธอมาหาฉันทำไมเหรอ?”
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันมีเรื่องให้เธอช่วย”
ฉินเสวี่ยเหมยถามโดยไม่ต้องคิดว่า “เรื่องอะไร?”
สวี่ชิงกวักมือเรียกฉินเสวี่ยเหมยให้มายืนใกล้ขึ้น แล้วกระซิบเบา ๆ ข้างหูหล่อน
ฉินเสวี่ยเหมยยกยิ้มทันทีขณะกลอกตาไปมาครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าหลายครั้ง “ได้เลย ฉันจะทำให้เธอแน่นอน”
พอถึงตอนเย็น ข่าวซุบซิบก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งซอยอีกครั้ง ผู้คนต่างพูดกันว่าศาสตราจารย์ติงมีความสัมพันธ์ไม่เหมาะสมกับนักศึกษาหญิงที่มหาวิทยาลัย และมักพาไปที่หอพักของเขา
ในยุคนี้ไม่มีรายการบันเทิง และไม่มีแรงกดดันในการใช้ชีวิตการทำงานมากนัก สุดท้ายวิถีชีวิตของคนรอบข้างจึงมีความคล้ายคลึงกัน ทำให้คนตอบสนองกับเรื่องเช่นนี้ได้ง่ายมาก
เมื่อมีเวลาว่างชาวบ้านต่างก็สนใจแต่เรื่องนินทาคนอื่น และเมื่อได้ยินข่าวฉาวของใครบางคน ก็จะรู้สึกเพลิดเพลินอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อหวังไก๋ฮวาไปเข้าห้องน้ำ หล่อนก็ได้ยินคนกระซิบคุยกัน และมองหล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนจะเดินจากไป หล่อนเห็นแล้วก็รู้สึกสงสัยจึงเดินไปหลังห้องน้ำเงียบ ๆ
จากนั้นก็ได้ยินผู้หญิงสองสามคนพูดกันด้วยเสียงเบา “…ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคู่รักที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ”
“ก็นั่นน่ะสิ อีกอย่างคือรูปร่างหน้าตาของหวังไก๋ฮวา ผู้ชายคนไหนจะอยากนอนร่วมเตียงกับหล่อนบ้าง”
“ใช่ แถมหล่อนยังชอบกินกระเทียมแล้วไม่แปรงฟันอีก ศาสตราจารย์ติงจะทนได้ยังไง?”
“เพราะงั้นศาสตราจารย์ติงจึงเกลี้ยกล่อมให้หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วปกปิดหล่อนไม่ให้รู้ว่าเขานอนกกนักศึกษาสาวอยู่ที่หอพัก”
“เห็นคนบอกว่านักศึกษาสาวคนนั้นสวยมากเลยนะ”
เมื่อหวังไก๋ฮวาได้ยินดังนั้น ปอดของหล่อนก็แทบจะระเบิด พวกผู้หญิงปากยื่นปากยาวพวกนี้แอบด่าหล่อนลับหลัง!
หล่อนหันซ้ายหันขวาและเห็นอิฐครึ่งก้อนวางอยู่ด้านข้าง หล่อนหยิบมันขึ้นมาขว้างเข้าไปในห้องน้ำ ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ในห้องน้ำกรีดร้องทันที “ใครวะ ไอ้สารเลวหน้าไหนทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้”
หวังไก๋ฮวาโยนอิฐอีกก้อนเข้าไปในห้องน้ำด้วยความโกรธจัด “พวกแกน่ะสิไร้ยางอาย! ปากเน่าปากหนอนเหมือนกินขี้ คราวนี้พวกแกกินกันให้หนำใจเลย”
หลังจากด่าทอรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง หล่อนก็วิ่งออกไปอย่างโกรธเคือง
หล่อนเชื่อคำพูดของคนเหล่านี้ มันต้องมีนังโสเภณีไร้ยางอายซ่อนตัวอยู่ในหอพักของติงชางเหวินแน่
หล่อนไม่คิดจะกลับบ้าน แต่ขึ้นรถบัสไปที่อาคารผู้เชี่ยวชาญ
หล่อนกับติงชางเหวินแต่งงานกันมายี่สิบปีแล้วแต่ยังไม่มีลูก สาเหตุคือพวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยมาก
เมื่อติงชางเหวินไปทำงาน หล่อนก็ต้องคอยรับใช้พ่อที่เป็นอัมพาตของติงชางเหวินที่บ้านเกิดของเขา เมื่อพ่อของเขาจากไปแล้ว หล่อนจึงตามติงชางเหวินมาอยู่ที่นี่
แม้ว่าทั้งสองจะพบกันบ่อยขึ้น แต่ก็แทบไม่ได้ร่วมหลับนอนกันเลย เพราะติงชางเหวินมักเอาแต่บ่นว่าเขาเหนื่อยและปวดหลังมาก
แล้วแบบนี้ทั้งสองจะมีลูกด้วยกันได้อย่างไร
หวังไก๋ฮวาโกรธจัดจนหัวร้อนแทบจะลุกเป็นไฟ ขณะลงจากรถและวิ่งไปที่หอพักของติงชางเหวิน
มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สวี่หรูเยว่บังเอิญมาหาติงชางเหวินพอดี
คราวนี้ฟางหลานซินไม่ได้ตามมาด้วย เพราะกลัวว่าจะต้องโต้เถียงกับติงชางเหวินอีก
ติงชางเหวินก็ปวดหัวเช่นกันเมื่อเห็นสวี่หรูเยว่มา หล่อนเป็นลูกสาวคนเดียวของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยได้ แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงทำได้เพียงพูดปลอบโยน “ไม่ต้องห่วง ฉันกำลังหาทางอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ข่าวเร็วขนาดนั้น เธอควรรออย่างใจเย็น”
แม้สวี่หรูเยว่จะพบกับติงชางเหวินมาหลายครั้งแล้ว แต่หล่อนก็ยังไม่คุ้นเคยกับเขาอยู่ดี เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันหล่อนก็ตาแดงก่ำ “ลุงติง ลุงช่วยรีบหน่อยได้ไหมคะ? เทอมนี้ใกล้จะจบแล้ว ถ้าฉันไม่กลับไป แล้วเพื่อนร่วมชั้นจะคิดอย่างไรกับฉันล่ะคะ? อีกอย่างคือฉันไม่อยากเลิกกับจินซวนด้วยค่ะ”
ติงชางเหวินไม่อาจพูดอะไรมากต่อหน้าสวี่หรูเยว่ แม้เขาจะไม่พอใจท่าทางของลูกสาวคนนี้มาก แต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง เขาจึงทำได้เพียงขมวดคิ้ว “หรูเยว่ อย่าเพิ่งร้องไห้เลย ตราบใดที่ฉันทำได้ ฉันจะช่วยเธออย่างแน่นอน รีบเช็ดน้ำตาเร็ว แล้วทีหลังถ้ายังไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามาที่นี่อีก เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะเข้าใจผิดได้ง่าย…”
หวังไก๋ฮวารีบวิ่งเข้ามา และแนบหูเข้ากับรอยร้าวตรงประตู หล่อนได้ยินคำสำคัญสองสามคำ : อย่าร้องไห้ เข้าใจผิดได้ง่าย
ทั้งตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธทันที และหัวก็ร้อนจนลุกเป็นไฟ!
การใช้เท้าเตะประตูไม่ใช่ปัญหา หล่อนทำงานในชนบทมายี่สิบปีแล้วจึงยังคงแข็งแกร่งมาก
หล่อนเตะประตูให้เปิดออกด้วยเท้าข้างหนึ่ง แล้วยืนจังก้าอยู่หน้าประตูราวกับเทพเจ้าหน้าดำ ขณะจ้องไปยังติงชางเหวินและสวี่หรูเยว่ที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนโซฟา ผมเผ้าของหล่อนกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งทำอะไรไม่ดีบางอย่างลงไป
“นังเด็กสารเลว ฉันจะสอนบทเรียนให้กะหรี่อย่างแก!”
หวังไก๋ฮวาจ้องมองสวี่หรูเยว่แล้วกระโจนเข้าหาทันที ร่างของสวี่หรูเยว่ถูกมือแข็งแรงยกขึ้นเหมือนไก่ตัวเล็ก ๆ แล้วมือใหญ่ก็ตบลงบนใบหน้าของหล่อนอย่างแรง “ถ้าวันนี้ฉันไม่ถลกหนังแกทั้งเป็น ก็อย่ามาเรียกฉันว่าหวังไก๋ฮวา!!”
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อูยยย แซบมาก เป็นการแก้แค้นที่เผ็ดแสบมาก นังหรูเยว่โดนเข้าใจผิดว่าเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของพ่อตัวเองไปซะแล้ว
ไหหม่า(海馬)